รอยเท้าพ่อ
"จึงเตือนตัวเองเสมอว่า...
ถอยเมื่อไรเราก็แพ้ คือ แพ้อารมณ์ตัวเอง เมื่อเราแพ้อารมณ์ตัวเองแล้ว
เป้าหมายของชีวิตก็จะหายไป"
ชีวิตนั้นอยู่ยาก...ในขณะที่โลกกำลังวิกฤติ ใจของเราต้องหนักแน่นไม่วิกฤติตามไปด้วย ต้องรู้จักอยู่อย่างพอเพียงและแบ่งปันน้ำใจแก่กัน เพราะหากขาดเมตตาแล้ว ความร้อนระอุก็จะแผดเผาทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะส่งผลให้ความวิกฤตแผ่ขยายมากขึ้น
วันนี้ไม่ค่อยสบาย แต่ก่อนที่จะเกิดความหงุดหงิดใจ ได้ใช้กุศโลบายให้จิตมีงานทำในกุศล มีการสวดมนต์ การเจริญอยู่ในกรรมฐาน และการเสวนาธรรม ซึ่งเป็นการใช้ธรรมโอสถมารักษาใจให้คลายฟุ้งซ่าน และมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
จึงขอย้ำตรงนี้นะคะว่า ถ้าใครมีธรรมะหรือรู้จักธรรมะพอสมควรแล้ว ก็จะสามารถนำธรรมะนั้นมารักษาตนเองได้
อย่าปล่อยให้ใจป่วยตามร่างกายไปนะคะ เพราะเมื่อใจป่วยแล้วก็จะรักษาหายยาก อาการของโรคก็คือมีความท้อแท้และท้อถอย เบื่อและบ่น พยายามนึกหาสิ่งที่ดีมาบำรุงใจให้ได้นะคะ เช่น ความยิ่งใหญ่ ความดี ความกล้าหาญ หรือการต่อสู้ของบุคคลที่เรารัก ได้แก่ พ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณต่างๆ แล้วก็ตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตไปสู่ความสำเร็จเยี่ยงเดียวกัน
อย่างเช่นตนเองนั้น นึกถึงรอยเท้าของพ่ออยู่เสมอ คุณพ่อได้ทิ้งรอยเท้าที่ย้ำไปบนรอยทางแห่งพระธรรมไว้ ณ ที่นี้ ท่านได้ดำเนินไปแล้วบนเส้นทางแห่งความดี ถ้าเรามัวมานึกท้อถอยไม่ก้าวเดินไปตามรอยเท้าของพ่อ เราก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย
หรืออย่างพระบรมศาสดาได้ทิ้งรอยธรรมไว้ แต่เรามัวไปเดินออกนอกเส้นทางหรือเกียจคร้าน จึงไม่เคยเดินตามท่านทัน และไม่เคยพบท่านสักครั้งด้วยดวงตาแห่งปัญญา
โดยเฉพาะได้เตือนตนเองว่า ถ้าเผื่อท้อก็เหงา ถ้าเผื่อถอยก็แพ้ ถ้าเผื่อท้อแท้จิตใจก็ยิ่งว้าเหว่ เช่น การคบหากับคนบางกลุ่มแล้วไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ ความท้อที่จะคบคน
ความท้อที่จะทำงานก็จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เลยต้องปลีกตัวออกจากกลุ่มที่คบ ก็เลยทำให้เหงาเศร้าสร้อยในอารมณ์ จินตนาการไปอย่างฟุ้งซ่านในอคติ ๔
จึงเตือนตัวเองเสมอว่า ถอยเมื่อไรเราก็แพ้ คือ แพ้อารมณ์ตัวเอง เมื่อเราแพ้อารมณ์ตัวเองแล้ว เป้าหมายของชีวิตก็จะหายไป
สำหรับวันนี้ได้มีโอกาสมาโอภาปราศรัยกันก็อย่าคิดมากในความเจ็บป่วยของผู้พูดนะคะ เพราะการมาบอกความในใจ และความนึกคิดแก่กันนี้ เป็นการเฉลี่ยความสุขให้ทราบ เฉลี่ยความทุกข์ให้รู้เท่านั้นเองค่ะ ให้รู้เพียงแค่นั้นนะคะ อย่าไปคิดมาก เพราะความเจ็บป่วยเป็นวิบากของแต่ละคน การมาให้ความรู้เป็นการกระทำกรรมใหม่ของแต่ละคน อะไรที่ซึมซับไว้จากคุณพ่อและเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะนำมาแบ่งปันทุกท่านผู้มีอุปการะคุณแก่มูลนิธิแห่งนี้
๏ บุษกร เมธางกูร๏
หน้า:
[1]