บุษกร โพสต์ 2016-11-25 20:35:20

คำถาม..จากพ่อเสือ


“ ลูกพ่อ….เมื่อไรจะปฏิบัติเพื่อไม่เกิดกันจริงๆซักทีล่ะ ? ” ฟังแล้วต้องอึ้ง…เมื่อท่านอาจารย์นำคำที่หลวงพ่อฝากมาถามกับพวกเรา

แม้แต่ละคนจะให้คำตอบที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่ออาจารย์นำมาวิเคราะห์ให้ฟังแล้ว ข้อสรุปก็ได้เหมือนกันหมด คือ “ตัดไม่ขาด” …..ตัดอะไร ๆ (อาลัย) ไม่ขาดกับสิ่งที่เราเอาใจเข้าไปยึด …ทำให้ต้องกลับมาทบทวนความเป็นไปในการใช้ชีวิตของตนเอง

เรื่องการเรียนธรรมะ….เรียนมาก็มากแล้ว หลายๆ อย่างดูเหมือนจะรู้ ….แล้วแค่รู้จริงๆ แต่ไม่ได้รู้สึก ยิ่งเรื่องการปฏิบัติ …ตั้งใจก็หลายครั้ง แม้จะเคยปฏิบัติมาหลายหน แต่เมื่อฟังคำถามจากหลวงพ่อในครั้งนี้ ก็ต้องกลับมาย้อนถามใจตนเองว่า จริงจังแค่ไหน

ยิ่งช่วงที่ผ่านมานี้ พวกเราให้ความสำคัญกับการสวดนมัสการอรหันต์แปดทิศ โดยท่านอาจารย์ได้พยามโน้มน้าวจิตใจพวกเราทุกคนให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้ไปกราบพระอรหันต์จริงๆ …ได้อยู่ท่ามกลางพระอรหันต์ที่รายล้อมรอบตัวเรา โดยมีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขอยู่ท่ามกลาง

นับเป็นกลยุทธที่เยี่ยมยอดของท่านอาจารย์ เพราะนอกจากท่านลงทุนถ่ายเอกสารประวัติและความเป็นไปของพระอรหันต์ทั้ง ๘ องค์ที่อยู่ประจำทิศต่างๆ มาแจกพวกเรากันโดยถ้วนหน้าแล้ว เวลาที่ท่านนำพวกเราสวดก็พยายามเน้นให้เราได้ทำความรู้สึกตัวว่า ณ ที่ตรงนั้น อิเม โข มังคลา พุทธา สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา ท่ามกลางพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย…. มีเราอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยังเป็นปุถุชนอยู่

บุษกร โพสต์ 2016-11-25 20:36:02

มันน่าละอายแค่ไหน ถ้าเราไม่คิดที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วยังคงพอกพูนกิเลสให้กับตนเองตลอดเวลา โดยที่หลวงพ่อเสือ…พ่อผู้ที่ห่วงใยในความเป็นไปของชีวิตลูกๆ พ่อที่ยังคอยติดตามเฝ้าดูพวกเราอยู่ทุกวิถีก้าว

และคงเป็นเพราะหลวงพ่อท่านรู้ ท่านเห็น ท่านจึงฝากท่านอาจารย์มาบอกว่า…..ให้พวกเราเอาความมีโชค มาทำให้ดีที่ตนเอง อย่าคิดแต่เพียงว่า เราโชคดี เท่านั้นเพราะทุกวันนี้เราก็มีโชคมากพออยู่แล้ว ได้มีโอกาสเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสเกิดอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาธรรม ฉะนั้นเวลาเรียนธรรมะ อย่าแค่เรียนธรรมะเพื่อรู้ (อย่างที่เราเรียนไปค้นคว้ากันไป) แต่ให้เรียนแล้วนำธรรมะนั้นมารู้สึกที่ตนเอง

จะเห็นได้ว่าเรื่องบางเรื่อง เช่นเรื่องบุญ-บาป ที่หลายๆ ท่านมองดูว่าเป็นเรื่องพื้นๆ …แต่ทว่า หลวงพ่อท่านยังต้องมาเตือนพวกเราผ่านท่านอาจารย์มาทางกระทู้ตอนหนึ่งว่า

บาปคือสภาพธรรมะที่ไม่ดีงาม
บุญคือสภาพธรรมะที่ดีงาม

ธรรมะเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เพราะเกิดดับเร็ว (อย่างจิตเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน) บางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศลแล้วก็สลับกัน บางครั้งบอกไม่ถูกว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล จึงต้องอาศัยการศึกษาให้ละเอียดพอสมควร ถึงจะรู้ว่า ขณะใดที่เป็นบาป หรืออกุศล (จิตที่มีอกุศลเจตสิกเข้าปรุงแต่ง) ถ้าเป็นกุศลหรือเป็นบุญ ก็ตรงกันข้าม คือเป็นธรรมะที่ดีงาม คือขณะที่จิตเจตสิกที่ดีงามเกิดร่วมกัน

และเป็นเพราะเหตุว่าไม่มีแต่จิตเท่านั้น แต่เรามีรูปด้วย ถ้ามีแต่จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลคนอื่นจะเดือดร้อนไหม? (ไม่เดือดร้อน) แต่เพราะว่าเรามีรูปด้วย เวลาที่อกุศลจิตเกิดก็มีทางคือ กาย วาจา ที่ไม่ดี ซึ่งเกิด จากอกุศลนั้น เบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน แต่ ความจริง เวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น เบียดเบียนเราก่อน

….แต่ว่าขณะที่เป็นโลภะ เรากลับคิดว่าดี เวลาที่ได้มาแล้ว ดีใจมาก เพลิดเพลินเป็นสุข สนุกสนาน คิดว่าขณะนั้นก็ดี

บุษกร โพสต์ 2016-11-25 20:37:06

.เพราะฉะนั้นดีของเรา กับ ดีของธรรมะ เป็นคนละอย่าง

ดีของเราคือความรู้สึกเป็นสุข แต่จริงๆ แล้วคือ อกุศล เพราะว่าขณะนั้นเป็นสภาพที่ติดข้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆว่า ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ จะเข้าใจธรรมะผิดๆ

อย่างเวลาที่เราสบายใจ ไปนั่งสมาธิ เราก็คิดว่า ขณะนั้นเป็นกุศลแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้นมีโลภะ แล้วก็มีโมหะ มีความไม่รู้และมีความติดข้อง …ถ้าศึกษาธรรมะแล้ว จะทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า..ขณะที่เป็นกุศล ต้องไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แล้วเป็นไปในขณะไหนบ้าง ….

วันนี้กุศล..หรือ...อกุศลมาก ? ผู้ที่เข้าใจดีคือถูกตรง เป็นสัมมาทิฏฐิ จะได้สาระในพระธรรมมาก และก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างบารมีธรรม คืออำนาจเหนือกิเลสทั้งหลายได้ถูก …….เป็นต้น

นอกจากนี้ท่านจะพยายามชี้ให้เห็นการมีโชคที่ยิ่งใหญ่ของเราที่ไม่เพียงแค่เป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น แต่ยังได้รู้หนทางเดินที่พระอรหันต์ทั้งหลายได้เดินผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพวกเราต่างยังไม่นำโชคนั้นมาทำให้มีดีที่ตนเอง ท่านจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจลูกๆ ทุกวิถีทาง เป็นต้นว่า…

…พยายามแจกแจงเพื่อให้พวกเรารู้สึกกลัวการมีชีวิตว่า….
เราต่างก็มีชีวิตกันมานานนับภพชาติไม่ได้เลย
เราต่างมีชีวิตตั้งอยู่บนความทุกข์กันมานาน..นับภพชาติไม่ได้เลย
เราต่างก็หลงไหลในเรื่องไร้สาระ เหนื่อย หนัก และถูกหน่วงด้วยความโง่เขลากันมานาน .นับภพชาติไม่ได้เลย

… อีกทั้งยังปลอบประโลมด้วยคำพูดต่างๆ นานา

….วันไหนเวลาใดที่ ลูกๆจะเชื่อฟังและทำจริงๆจัง ไม่ใช่เชื่อและเพียงรักพ่อ

เชื่อและ...พร้อมจะตามมากับสิ่งที่ พ่อชวนลูกๆเสมอจริงๆละก้อ.....พ่อจะมีความสุขใจมากเลยลูกพ่อ

พ่ออยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง แต่ลูกจงอย่าทิ้งคำสอนของพ่อ

ขอให้ลูกทุกคนบรรลุธรรมอันเป็นเครื่องรู้ …เป็นลูกที่ประเสริฐ …เป็นลูกที่สืบทอดทายาทพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอให้ลูกของพ่อทุกคน เป็นผู้บุกเบิกทางชีวิตของตนเองได้...... คือทางที่ตรงต่อ มรรค ผล นิพพาน

ขอให้ลูกทุกคนเป็นผู้มีขันติ …อดทน อดกลั้น ต่อความยากลำบาก …อดทนต่อสิ่งที่มากระทบ …อดทนต่ออารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ สมเจตนาที่พ่อต้องการ นั่นคือ..... พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทุกคนเป็น “พระอรหันต์” พ่อไม่ต้องการให้เป็นอย่างอื่นเลย และขอให้เป็นพระอรหันต์ได้โดยไวทุกๆคน.

บุษกร โพสต์ 2016-11-25 20:38:26

อย่าลืม....หน้าที่ของลูก เมื่อมีเวลา จงเริ่มต้นงานที่ประเสริฐ คือ งานสร้างสรรค์ทางมรรคผล และจงอย่าลืมว่า..... ความปรารถนาของพ่ออย่างที่สุด คือ ลูกของพ่อทุกคนเป็น.... “พระอรหันต์”

หลวงพ่อเสือจะบอกความปรารถนาของท่านแทบทุกครั้งที่สอน จะกี่ปีกี่ปี ความปรารถนาของพ่อก็มีเพียงแค่นี้ วันนี้พวกเราจึงได้รับคำถามที่พ่อเพียงแค่เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เท่านั้นว่า ลูกพ่อ….เมื่อไรจะปฏิบัติเพื่อไม่เกิดกันจริงๆซักทีล่ะ ?

แม้ท่านอาจารย์จะสรุปว่า เพราะเรายัง ตัดไม่ขาด ก็ยังได้นำข้อคิดจากเรื่องที่หลวงพ่อฝากบอกมาว่า…

หอย….ที่มันทิ้งเปลือกไว้ ก็ไม่ได้ทิ้งไว้เพื่อใคร หรือไว้ให้เป็นมรดกแก่ใคร แต่ทิ้งเพื่อความอยู่รอด(ของตัวมันเอง)

ข้อความแค่ประโยคเดียวที่หลวงพ่อให้มานี้….ทำให้นึกไปถึงสัตว์ที่มีการลอกคราบ (ทิ้งเปลือกเก่า) ก็เพราะว่าถ้ามันยังอยู่ในเปลือกหรือคราบอันเก่าแล้ว มันจะไม่มีวันเจริญเติบโตขึ้นมาได้

เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง …..เราก็เป็นคนมีคราบ…คราบที่ทำให้ตนเองไม่สามารถเจริญพัฒนาขึ้นได้ มีทั้งคราบกิเลสที่เป็นนามธรรม ยังไม่พอ ! ยังมีคราบในรูปธรรมคือห่วงต่างๆ (ลูก สามีภรรยา ทรัพย์สมบัติ ญาติพี่น้อง ฯลฯ) ที่เราเอาตัวเข้าไปข้องจนทำให้เกิดการ ตัดไม่ขาด

หลวงพ่อจึงต้องมาบอกพวกเราว่า…

จงเดินนำชีวิต ทั้งทางกาย วาจา ใจ ของเราไปด้วยบุญ
จงมีการดำริอันถูกต้อง ที่จะไม่ข้องอยู่กับกิเลส รีบหัดปฏิเสธเรื่องอันวุ่นวาย ที่ไม่ใช่กิจ
และคิดสร้างสรรค์ทางมรรคผลให้กับตนเอง ด้วยการเริ่มต้นทุกวัน แล้วคิดว่าเราเริ่มต้นได้แล้ว
แต่ถ้าคิดว่าได้แล้ว...ไม่ทำต่อ เท่ากับทิ้งไปแล้ว
...ฉะนั้นหน้าที่ของเรา เมื่อมีเวลา เริ่มต้นงานที่ประเสริฐกัน ทำไว้ให้สม่ำเสมอ

พลานุภาพใดที่เป็นสิ่งที่มีแรงอำนาจอันสามารถช่วยเปลี่ยนวิถีทางแห่งความดีต่างๆ ให้ดำรงอยู่ ปลีกจากความชั่วออกให้ได้....

พลานุภาพใดอันเกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลพิภพนี้ และอำนาจอันเกื้อกูลขององค์พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นที่พึ่งสรณะอันเอกของเราพุทธศาสนิกชน

… จงคุ้มครองลูกของพ่อทุกคน ที่พ่อคิดว่าเป็นลูกในอุทร ซึ่งจะต้องดูแลและเกื้อหนุน ค้ำจุนตลอดไป

จงจำไว้นะลูก
อย่าขาดสติขาดปัญญา เพราะจะทำให้วงล้อแห่งวัฏฏะน่ากลัวยิ่ง ใช้ชีวิตให้รู้ค่า..ปรารถนาให้เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางไกลนะลูก พ่อยังรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับลูกเสมอมาและจะตลอดไป

ขอธรรมะ…ที่ได้รับจากพ่อ และจากการนำธรรมนั้นมาทบทวนกับความเป็นไปในชีวิตของลูกเอง จนทำให้นึกถึงคำที่พ่อว่า อย่าเรียน(ฟัง) ธรรมะเพียงเพื่อแค่รู้ แต่ให้นำมารู้สึกที่ตนเอง โดยเฉพาะข้อความที่พ่อบอกว่า

พ่ออยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง แต่ลูกจงอย่าทิ้งคำสอนของพ่อ

จึงได้นำมาเขียนเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา…. เพื่อเป็นข้อเตือนใจตนเองว่า

หากลูกเชื่อฟังคำสอนจากพ่อเสือ และทำจริงๆจัง ในงานอันประเสริฐที่ พ่อชวนลูก

.....นอกจากคงจะทำให้พ่อจะมีความสุขใจที่ลูกได้ทำตามแล้ว ลูกคงมีเส้นทางชีวิตที่ไม่ต้องจากพ่อเสือไประหกระเหินเดินอยู่ในสังสารวัฏที่ยาวไกลอันน่ากลัว

และในทางกลับกัน …หากลูกยังไม่เริ่มต้นทำตามที่พ่อเตือน นั่นคงหมายถึงการลิขิตเส้นทางของชีวิตที่อาจจะทำให้ลูกต้องห่างไกลจากพ่อเสือ….ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกไม่ต้องการ และไม่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

ลูกจึงสัญญาว่า จะไม่ทิ้งคำสอนของพ่อ และจะกระทำด้วยการเริ่มต้นทุกวัน แล้วขอให้ลูกคิดได้ว่าเริ่มต้นได้แล้ว ...และจะถือเป็นหน้าที่ ด้วยการทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

ขอกุศลที่บังเกิดขึ้นในครั้งนี้….จงช่วยอุดหนุนและส่งเสริมให้การเริ่มต้น(งานที่ประเสริฐ)ทุกวันของลูกมีกำลังมากขึ้นๆ จนตัดอะไรๆ(อาลัย)ได้ขาด จนสามารถลอกคราบ ทิ้งเปลือก และบรรลุในสิ่งที่พ่อปรารถนาจากลูกๆ ทุกคนได้ในที่สุด และ ลูกขอน้อมกราบถวายกุศลอันเกิดจากความรู้สึกในครั้งนี้แด่หลวงพ่อเสือ


หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: คำถาม..จากพ่อเสือ