คำถาม..จากพ่อเสือ
“ ลูกพ่อ….เมื่อไรจะปฏิบัติเพื่อไม่เกิดกันจริงๆซักทีล่ะ ? ” ฟังแล้วต้องอึ้ง…เมื่อท่านอาจารย์นำคำที่หลวงพ่อฝากมาถามกับพวกเรา
แม้แต่ละคนจะให้คำตอบที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่ออาจารย์นำมาวิเคราะห์ให้ฟังแล้ว ข้อสรุปก็ได้เหมือนกันหมด คือ “ตัดไม่ขาด” …..ตัดอะไร ๆ (อาลัย) ไม่ขาดกับสิ่งที่เราเอาใจเข้าไปยึด …ทำให้ต้องกลับมาทบทวนความเป็นไปในการใช้ชีวิตของตนเอง
เรื่องการเรียนธรรมะ….เรียนมาก็มากแล้ว หลายๆ อย่างดูเหมือนจะรู้ ….แล้วแค่รู้จริงๆ แต่ไม่ได้รู้สึก ยิ่งเรื่องการปฏิบัติ …ตั้งใจก็หลายครั้ง แม้จะเคยปฏิบัติมาหลายหน แต่เมื่อฟังคำถามจากหลวงพ่อในครั้งนี้ ก็ต้องกลับมาย้อนถามใจตนเองว่า จริงจังแค่ไหน
ยิ่งช่วงที่ผ่านมานี้ พวกเราให้ความสำคัญกับการสวดนมัสการอรหันต์แปดทิศ โดยท่านอาจารย์ได้พยามโน้มน้าวจิตใจพวกเราทุกคนให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้ไปกราบพระอรหันต์จริงๆ …ได้อยู่ท่ามกลางพระอรหันต์ที่รายล้อมรอบตัวเรา โดยมีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขอยู่ท่ามกลาง
นับเป็นกลยุทธที่เยี่ยมยอดของท่านอาจารย์ เพราะนอกจากท่านลงทุนถ่ายเอกสารประวัติและความเป็นไปของพระอรหันต์ทั้ง ๘ องค์ที่อยู่ประจำทิศต่างๆ มาแจกพวกเรากันโดยถ้วนหน้าแล้ว เวลาที่ท่านนำพวกเราสวดก็พยายามเน้นให้เราได้ทำความรู้สึกตัวว่า ณ ที่ตรงนั้น อิเม โข มังคลา พุทธา สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา ท่ามกลางพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย…. มีเราอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยังเป็นปุถุชนอยู่
มันน่าละอายแค่ไหน ถ้าเราไม่คิดที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วยังคงพอกพูนกิเลสให้กับตนเองตลอดเวลา โดยที่หลวงพ่อเสือ…พ่อผู้ที่ห่วงใยในความเป็นไปของชีวิตลูกๆ พ่อที่ยังคอยติดตามเฝ้าดูพวกเราอยู่ทุกวิถีก้าว
และคงเป็นเพราะหลวงพ่อท่านรู้ ท่านเห็น ท่านจึงฝากท่านอาจารย์มาบอกว่า…..ให้พวกเราเอาความมีโชค มาทำให้ดีที่ตนเอง อย่าคิดแต่เพียงว่า เราโชคดี เท่านั้นเพราะทุกวันนี้เราก็มีโชคมากพออยู่แล้ว ได้มีโอกาสเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสเกิดอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาธรรม ฉะนั้นเวลาเรียนธรรมะ อย่าแค่เรียนธรรมะเพื่อรู้ (อย่างที่เราเรียนไปค้นคว้ากันไป) แต่ให้เรียนแล้วนำธรรมะนั้นมารู้สึกที่ตนเอง
จะเห็นได้ว่าเรื่องบางเรื่อง เช่นเรื่องบุญ-บาป ที่หลายๆ ท่านมองดูว่าเป็นเรื่องพื้นๆ …แต่ทว่า หลวงพ่อท่านยังต้องมาเตือนพวกเราผ่านท่านอาจารย์มาทางกระทู้ตอนหนึ่งว่า
บาปคือสภาพธรรมะที่ไม่ดีงาม
บุญคือสภาพธรรมะที่ดีงาม
ธรรมะเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เพราะเกิดดับเร็ว (อย่างจิตเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน) บางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศลแล้วก็สลับกัน บางครั้งบอกไม่ถูกว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล จึงต้องอาศัยการศึกษาให้ละเอียดพอสมควร ถึงจะรู้ว่า ขณะใดที่เป็นบาป หรืออกุศล (จิตที่มีอกุศลเจตสิกเข้าปรุงแต่ง) ถ้าเป็นกุศลหรือเป็นบุญ ก็ตรงกันข้าม คือเป็นธรรมะที่ดีงาม คือขณะที่จิตเจตสิกที่ดีงามเกิดร่วมกัน
และเป็นเพราะเหตุว่าไม่มีแต่จิตเท่านั้น แต่เรามีรูปด้วย ถ้ามีแต่จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลคนอื่นจะเดือดร้อนไหม? (ไม่เดือดร้อน) แต่เพราะว่าเรามีรูปด้วย เวลาที่อกุศลจิตเกิดก็มีทางคือ กาย วาจา ที่ไม่ดี ซึ่งเกิด จากอกุศลนั้น เบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน แต่ ความจริง เวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น เบียดเบียนเราก่อน
….แต่ว่าขณะที่เป็นโลภะ เรากลับคิดว่าดี เวลาที่ได้มาแล้ว ดีใจมาก เพลิดเพลินเป็นสุข สนุกสนาน คิดว่าขณะนั้นก็ดี
.เพราะฉะนั้นดีของเรา กับ ดีของธรรมะ เป็นคนละอย่าง
ดีของเราคือความรู้สึกเป็นสุข แต่จริงๆ แล้วคือ อกุศล เพราะว่าขณะนั้นเป็นสภาพที่ติดข้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆว่า ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ จะเข้าใจธรรมะผิดๆ
อย่างเวลาที่เราสบายใจ ไปนั่งสมาธิ เราก็คิดว่า ขณะนั้นเป็นกุศลแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้นมีโลภะ แล้วก็มีโมหะ มีความไม่รู้และมีความติดข้อง …ถ้าศึกษาธรรมะแล้ว จะทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า..ขณะที่เป็นกุศล ต้องไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แล้วเป็นไปในขณะไหนบ้าง ….
วันนี้กุศล..หรือ...อกุศลมาก ? ผู้ที่เข้าใจดีคือถูกตรง เป็นสัมมาทิฏฐิ จะได้สาระในพระธรรมมาก และก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างบารมีธรรม คืออำนาจเหนือกิเลสทั้งหลายได้ถูก …….เป็นต้น
นอกจากนี้ท่านจะพยายามชี้ให้เห็นการมีโชคที่ยิ่งใหญ่ของเราที่ไม่เพียงแค่เป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น แต่ยังได้รู้หนทางเดินที่พระอรหันต์ทั้งหลายได้เดินผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพวกเราต่างยังไม่นำโชคนั้นมาทำให้มีดีที่ตนเอง ท่านจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจลูกๆ ทุกวิถีทาง เป็นต้นว่า…
…พยายามแจกแจงเพื่อให้พวกเรารู้สึกกลัวการมีชีวิตว่า….
เราต่างก็มีชีวิตกันมานานนับภพชาติไม่ได้เลย
เราต่างมีชีวิตตั้งอยู่บนความทุกข์กันมานาน..นับภพชาติไม่ได้เลย
เราต่างก็หลงไหลในเรื่องไร้สาระ เหนื่อย หนัก และถูกหน่วงด้วยความโง่เขลากันมานาน .นับภพชาติไม่ได้เลย
… อีกทั้งยังปลอบประโลมด้วยคำพูดต่างๆ นานา
….วันไหนเวลาใดที่ ลูกๆจะเชื่อฟังและทำจริงๆจัง ไม่ใช่เชื่อและเพียงรักพ่อ
เชื่อและ...พร้อมจะตามมากับสิ่งที่ พ่อชวนลูกๆเสมอจริงๆละก้อ.....พ่อจะมีความสุขใจมากเลยลูกพ่อ
พ่ออยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง แต่ลูกจงอย่าทิ้งคำสอนของพ่อ
ขอให้ลูกทุกคนบรรลุธรรมอันเป็นเครื่องรู้ …เป็นลูกที่ประเสริฐ …เป็นลูกที่สืบทอดทายาทพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอให้ลูกของพ่อทุกคน เป็นผู้บุกเบิกทางชีวิตของตนเองได้...... คือทางที่ตรงต่อ มรรค ผล นิพพาน
ขอให้ลูกทุกคนเป็นผู้มีขันติ …อดทน อดกลั้น ต่อความยากลำบาก …อดทนต่อสิ่งที่มากระทบ …อดทนต่ออารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ สมเจตนาที่พ่อต้องการ นั่นคือ..... พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทุกคนเป็น “พระอรหันต์” พ่อไม่ต้องการให้เป็นอย่างอื่นเลย และขอให้เป็นพระอรหันต์ได้โดยไวทุกๆคน.
อย่าลืม....หน้าที่ของลูก เมื่อมีเวลา จงเริ่มต้นงานที่ประเสริฐ คือ งานสร้างสรรค์ทางมรรคผล และจงอย่าลืมว่า..... ความปรารถนาของพ่ออย่างที่สุด คือ ลูกของพ่อทุกคนเป็น.... “พระอรหันต์”
หลวงพ่อเสือจะบอกความปรารถนาของท่านแทบทุกครั้งที่สอน จะกี่ปีกี่ปี ความปรารถนาของพ่อก็มีเพียงแค่นี้ วันนี้พวกเราจึงได้รับคำถามที่พ่อเพียงแค่เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เท่านั้นว่า ลูกพ่อ….เมื่อไรจะปฏิบัติเพื่อไม่เกิดกันจริงๆซักทีล่ะ ?
แม้ท่านอาจารย์จะสรุปว่า เพราะเรายัง ตัดไม่ขาด ก็ยังได้นำข้อคิดจากเรื่องที่หลวงพ่อฝากบอกมาว่า…
หอย….ที่มันทิ้งเปลือกไว้ ก็ไม่ได้ทิ้งไว้เพื่อใคร หรือไว้ให้เป็นมรดกแก่ใคร แต่ทิ้งเพื่อความอยู่รอด(ของตัวมันเอง)
ข้อความแค่ประโยคเดียวที่หลวงพ่อให้มานี้….ทำให้นึกไปถึงสัตว์ที่มีการลอกคราบ (ทิ้งเปลือกเก่า) ก็เพราะว่าถ้ามันยังอยู่ในเปลือกหรือคราบอันเก่าแล้ว มันจะไม่มีวันเจริญเติบโตขึ้นมาได้
เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง …..เราก็เป็นคนมีคราบ…คราบที่ทำให้ตนเองไม่สามารถเจริญพัฒนาขึ้นได้ มีทั้งคราบกิเลสที่เป็นนามธรรม ยังไม่พอ ! ยังมีคราบในรูปธรรมคือห่วงต่างๆ (ลูก สามีภรรยา ทรัพย์สมบัติ ญาติพี่น้อง ฯลฯ) ที่เราเอาตัวเข้าไปข้องจนทำให้เกิดการ ตัดไม่ขาด
หลวงพ่อจึงต้องมาบอกพวกเราว่า…
จงเดินนำชีวิต ทั้งทางกาย วาจา ใจ ของเราไปด้วยบุญ
จงมีการดำริอันถูกต้อง ที่จะไม่ข้องอยู่กับกิเลส รีบหัดปฏิเสธเรื่องอันวุ่นวาย ที่ไม่ใช่กิจ
และคิดสร้างสรรค์ทางมรรคผลให้กับตนเอง ด้วยการเริ่มต้นทุกวัน แล้วคิดว่าเราเริ่มต้นได้แล้ว
แต่ถ้าคิดว่าได้แล้ว...ไม่ทำต่อ เท่ากับทิ้งไปแล้ว
...ฉะนั้นหน้าที่ของเรา เมื่อมีเวลา เริ่มต้นงานที่ประเสริฐกัน ทำไว้ให้สม่ำเสมอ
พลานุภาพใดที่เป็นสิ่งที่มีแรงอำนาจอันสามารถช่วยเปลี่ยนวิถีทางแห่งความดีต่างๆ ให้ดำรงอยู่ ปลีกจากความชั่วออกให้ได้....
พลานุภาพใดอันเกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลพิภพนี้ และอำนาจอันเกื้อกูลขององค์พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นที่พึ่งสรณะอันเอกของเราพุทธศาสนิกชน
… จงคุ้มครองลูกของพ่อทุกคน ที่พ่อคิดว่าเป็นลูกในอุทร ซึ่งจะต้องดูแลและเกื้อหนุน ค้ำจุนตลอดไป
จงจำไว้นะลูก
อย่าขาดสติขาดปัญญา เพราะจะทำให้วงล้อแห่งวัฏฏะน่ากลัวยิ่ง ใช้ชีวิตให้รู้ค่า..ปรารถนาให้เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางไกลนะลูก พ่อยังรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับลูกเสมอมาและจะตลอดไป
ขอธรรมะ…ที่ได้รับจากพ่อ และจากการนำธรรมนั้นมาทบทวนกับความเป็นไปในชีวิตของลูกเอง จนทำให้นึกถึงคำที่พ่อว่า อย่าเรียน(ฟัง) ธรรมะเพียงเพื่อแค่รู้ แต่ให้นำมารู้สึกที่ตนเอง โดยเฉพาะข้อความที่พ่อบอกว่า
พ่ออยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง แต่ลูกจงอย่าทิ้งคำสอนของพ่อ
จึงได้นำมาเขียนเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา…. เพื่อเป็นข้อเตือนใจตนเองว่า
หากลูกเชื่อฟังคำสอนจากพ่อเสือ และทำจริงๆจัง ในงานอันประเสริฐที่ พ่อชวนลูก
.....นอกจากคงจะทำให้พ่อจะมีความสุขใจที่ลูกได้ทำตามแล้ว ลูกคงมีเส้นทางชีวิตที่ไม่ต้องจากพ่อเสือไประหกระเหินเดินอยู่ในสังสารวัฏที่ยาวไกลอันน่ากลัว
และในทางกลับกัน …หากลูกยังไม่เริ่มต้นทำตามที่พ่อเตือน นั่นคงหมายถึงการลิขิตเส้นทางของชีวิตที่อาจจะทำให้ลูกต้องห่างไกลจากพ่อเสือ….ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกไม่ต้องการ และไม่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
ลูกจึงสัญญาว่า จะไม่ทิ้งคำสอนของพ่อ และจะกระทำด้วยการเริ่มต้นทุกวัน แล้วขอให้ลูกคิดได้ว่าเริ่มต้นได้แล้ว ...และจะถือเป็นหน้าที่ ด้วยการทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
ขอกุศลที่บังเกิดขึ้นในครั้งนี้….จงช่วยอุดหนุนและส่งเสริมให้การเริ่มต้น(งานที่ประเสริฐ)ทุกวันของลูกมีกำลังมากขึ้นๆ จนตัดอะไรๆ(อาลัย)ได้ขาด จนสามารถลอกคราบ ทิ้งเปลือก และบรรลุในสิ่งที่พ่อปรารถนาจากลูกๆ ทุกคนได้ในที่สุด และ ลูกขอน้อมกราบถวายกุศลอันเกิดจากความรู้สึกในครั้งนี้แด่หลวงพ่อเสือ
หน้า:
[1]