สังฆานุสสติ
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14121.jpg@nสังฆานุสสติ
จิตนั้นเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ต่างๆ ที่มีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย ความฟุ้งซ่านหวั่นไหวไปในอารมณ์ทั้งหลายที่มากระตุ้นจึงเป็นปัญหาเสมอกับผู้ที่ไม่รู้จักควบคุมจิต เพราะเมื่อกระทบกับอารมณ์เหล่านั้นแล้วก็มักจะขาดหลักในการพิจารณาที่ดีทำให้เกิดการกระทำที่คล้อยตามหรือขัดขืนไปในทางที่ดีและไม่ดีตามความเคยชิน
หลายครั้งที่เราอาจจะได้รับฟังเรื่องราวที่พรั่งพรูออกมาด้วยความไม่พอใจในเรื่องของพระสงฆ์ในสมัยนี้ จนกระทั่งบางคนถึงขนาดออกปากว่า จะไม่ทำบุญตักบาตรอีกต่อไป เพราะไม่ศรัทธาในพระสงฆ์ที่มีข้อวัตรปฏิบัติรุ่มร่ามไม่เรียบร้อย บางรายถึงกับทำผิดวินัยอย่างไม่สะทกสะท้าน สถานการณ์เหล่านี้เป็นวิกฤติศรัทธาอย่างหนึ่งที่สั่นคลอนความมั่นคงของพระพุทธศาสนา เพราะผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็จะพากันจ้วงจาบกล่าวตำหนิ ลบหลู่ดูหมิ่นพระสงฆ์ไปเสียทั้งหมด ทั้งๆ ที่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีก็มีอยู่มาก
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพุทธศาสนิกชนบางคนมีการกำหนดใจไว้ผิดที่ ยึดมั่นเฉพาะภาพที่ไม่งามของพระสงฆ์ที่ปรากฏในปัจจุบัน โดยขาดความรอบคอบที่จะพิจารณาถึงคุณที่แท้จริงของคำว่า "พระสงฆ์" ตามที่มีปรากฏในคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็เกิดความเศร้าหมองใจติดตามมาด้วยการระลึกถึงอารมณ์ที่ไม่ใช่อนุสติ จึงพลอยทำให้กุศลของตนต้องเสียหายไปอย่างไม่สมควร และนี่ก็เป็นโทษอย่างหนึ่งของความยึดติดในบุคคล
ความมีสติจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ในกุศลเพื่อความเจริญคือมุ่งตรงต่อความสุขอันประณีต เพราะความมีสติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จะทำให้เกิดความเคยชินในการนำสติมาคุ้มครองใจได้ง่ายและรวดเร็ว
พระพุทธองค์ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายจะเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายจะบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว ”
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนอกุศล ที่เป็นไปในฝักฝ่ายอกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมเกิดขึ้นทีหลัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนกุศล ที่เป็นไปในฝักฝ่ายกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น กุศลธรรมเกิดขึ้นทีหลัง "
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14121-1.gif@n
ในพระพุทธศาสนานั้นมีการสอนวิธีอบรมจิตให้มีสติอยู่หลายวิธี ทั้งในด้านสมถะและวิปัสสนา ซึ่งวิธีการและคำอธิบายทั้งหลายที่นำความรู้ความเข้าใจมาสู่พุทธศาสนิกชนในวันนี้ล้วนได้รับความอนุเคราะห์จากพระสงฆ์สาวกผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ที่ได้จัดทำพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และตำราต่างๆ เพื่อขยายความให้ผู้ที่มีปัญญาน้อยได้เข้าใจในอรรถะและพยัญชนะแห่งธรรมของพระบรมศาสดา
นอกจากพระสงฆ์จะเป็นผู้สืบทอดพระธรรม และถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจมาสู่พุทธสาสนิกชนแล้ว ท่านยังเป็นเนื้อนาบุญอันเอกเหมาะแก่การเพาะปลูกกุศลกรรมของปุถุชนอย่างเราๆ การระลึกถึงพระคุณแห่งสงฆ์จึงเป็นอารมณ์แห่งกุศลที่จะนำพาจิตใจให้มีความอ่อนโยนและน้อมไปในการปฏิบัติธรรมให้เจริญยิ่งขึ้น
อนุสสติ คือ ความระลึกถึงอารมณ์ที่ควรระลึกถึงบ่อยๆ และในอันดับต่อไปนี้ คือ สังฆานุสติ คือ สติอันปรารภพระสังฆคุณให้เกิดขึ้น มีสติเจตสิกอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์
ในปัจจุบันนี้ได้มีผู้อธิบายถึงสังฆคุณไว้ตามมติของตนเองว่า เป็นการระลึกถึงคุณพระสงฆ์ที่หมายถึง สมมติสงฆ์ และพระอริยสงฆ์ ที่มีพระคุณ ๙ ประการ คือ สุปฏิปนฺโน, อุชุปฏิปนฺโน , ญายปฏิปนฺโน, สามีจิปฏิปนฺโน, อาหุเนยฺโย, ปาหุเนยฺโย, ทกฺขิเณยฺโย , อญฺชลีกรณีโย , อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส
สมมติสงฆ์ เป็นกัลยาณปุถุชน คือปุถุชนผุ้มีกัลยาณธรรมงามเรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง ถือพระวินัยตามสิกขาบทนั้น ๆ ตามสมควร กิริยามารยาทภายนอกงามทุกสิ่งทุกประการ ถึงแม้ไม่เป็นอริยบุคคล แต่เป็นคนงาม เรียกว่า กัลยาณปุถุชน
พระอริยสงฆ์ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และในสมมติสงฆ์ผู้ที่มีข้อวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใสศรัทธา ก็ให้อนุโลมตามคุณของพระอริยสงฆ์ได้
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14121-2.gif@n
สังฆานุสสติ ๙ ประการ
สุปฏิปนฺโน หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฟังพระโอวาทานุสาสนีของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยเคารพ มีการปฏิบัติดีคือตั้งอยู่ในมรรค ปฏิบัติชอบคือตั้งอยู่ในผล ปฏิบัติสมควรแก่พระนิพพาน ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม
อุชุปฏิปันโน หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรง ละเสียซึ่งลามกปฏิบัติทั้ง ๒ คือ อัตตกิลมภานุโยคและกามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติโดยมัชฌิมปฏิบัติ คือพระอัษฏางคิกมรรค ละเสียซึ่งความคดอันประกอบในกายแลวาจาจิต
ญายปฏิปันโน หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติถูกทางเป็นไปเพื่อได้ให้สำเร็จพระนิพพาน
สามีจิปฏิปันโน หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติสมควรสามีกรรม คือ เป็นผู้น่านับถือ สมควรได้รับความเคารพ เพราะมีการปฏิบัติชอบอย่างยิ่ง
อาหุเนยโย หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่สิ่งของคำนับ(อาหุนะ) คือ ควรได้รับสิ่งของที่เขานำมาถวาย เพราะทำอาหุนะนั้นให้มีผลมาก ด้วยท่านมีคุณสมบัติ ๔ ประการดังกล่าวข้างต้นนั้น
ปาหุเนยโย หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เพราะแขกผู้ทรงคุณดังเช่นพระสงฆ์นั้นมิใช่จะหาได้ง่าย เพราะหนึ่งพุทธันดรจึงจะได้พบสักครั้ง และท่านเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมทั้งหลายที่ทำความที่เป็นที่รักที่ชอบใจจึงชื่อว่า ปาหุเนยยะ ผู้ปฏิบัติงามเช่นนี้เมื่อที่ใดก็ย่อมเป็นผู้สมควรแก่การต้อนรับ
ทักขิเณยโย หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา พระสงฆ์ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวย่อมอยู่ในฐานะที่ควรแก่การรับทักษิณาทานที่เขาถวาย ควรแก่สิ่งของทำบุญ คือเพราะเกื้อกูลทักษิณานั้นให้มีผลมาก เพราะผู้ถวายทานแก่ท่านย่อมได้รับประโยชน์ตามที่ปรารถนา
อัญชลีกรณีโย หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ควรแก่การทำ อัญชลี คือ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงนั้นย่อมมีคุณความดีอยู่ในฐานะที่ควร แสดงความเคารพด้วยการกราบไหว้ ทั้งเป็นการช่วยให้ผู้ไหว้เจริญด้วยพรทั้ง ๔ ประการ
อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ หมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลก คือ พระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ ทักษิณาที่บริจาคแก่พระสงฆ์ ย่อมมีอานิสงส์มาก บุญทั้งหลายอันเป็นเครื่องบันดาลประโยชน์เกื้อกูล และความสุขนานาประการของชาวโลกจึงได้งอกขึ้นเพราะได้กระทำกับพระสงฆ์นั้น
เมื่อพระโยคาวจรผู้นั้นระลึกถึงพระสังฆคุณทั้งหลายแล้วจิตย่อมไม่มีราคะโทสะโมหะกลุ้มรุม ย่อมดำเนินไปตรงแน่วแน่ในการปรารภพระคุณมีประการต่างๆ จนกระทั่งความสงบเกิดขึ้นอุปจารฌานที่เกิดขึ้นนี้ก็ถึงซึ่งความนับชื่อว่า สังฆานุสสติเพราะเป็นฌานที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการระลึกถึงพระสังฆคุณ
อานิสงส์เจริญสังฆานุสสติ
ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งสังฆานุสสตินี้ ย่อมเป็นผู้มีความเคารพยำเกรงในพระสงฆ์ ได้ความไพบูลย์แห่งคุณมีศรัทธาเป็นต้น เป็นผู้มากไปด้วยปีติและปราโมช ทนต่อความกลัวและความตกใจ สามารถอดกลั้นทุกข์ มีความรู้สึก เสมือนว่าได้อยู่กับพระสงฆ์
แม้ร่างกายของผู้มีสังฆคุณานุสสติประทับอยู่นั้น ย่อมเป็นร่างควรแก่การบูชา ดุจโรงอุโบสถ อันมีสงฆ์ประชุมกันอยู่ฉะนั้น หากเมื่อมีการประจวบ เข้ากับวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิดศีลเมื่อใด หิริโอตตัปปะย่อมจะปรากฏให้รู้สึกราวกับเห็นพระสงฆ์อยู่ต่อหน้า
อนึ่งเล่า เมื่อยังไม่บรรลุคุณอันยิ่งขึ้นไป ย่อมเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้นแล ผู้มีปัญญาดี พึงทำความไม่ประมาทในสังฆานุสสติ อันมีอานุภาพมากอย่างนี้ทุกเมื่อเทอญ
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/abhidhamonline.org/line.gif
หน้า:
[1]