กุญแจสำรองของพ่อ
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073.jpg@nกุญแจสำรองของพ่อ
ก่อนหน้าจะได้คำชี้แนะจากหลวงพ่อโดยตรงนั้น ก็ได้รับคำเตือนที่ท่านฝากอาจารย์มาบอกพวกเราว่า “ชีวิตเราไม่ได้มีไว้ยอมแพ้ ...แต่ลูกๆของพ่อ พอประสบกับเรื่องราวต่างๆ แล้วเกิดปัญหา ตาก็ฝ้าฟางมืดมัว มองหากุญแจไม่เจอ ...ไม่เป็นไร บอกพวกเขาด้วยว่า แล้วพ่อจะเอากุญแจสำรองมาให้”
และแล้วเมื่อถึงวันมาฆบูชาที่ผ่านมานี้ พวกเราต่างก็ได้รับกุญแจสำรองจากหลวงพ่อโดยถ้วนหน้า โดยหลวงพ่อประเดิมด้วยคำกล่าวว่า
“...ชีวิตของลูกๆ ไม่ต่างไปจากการถูกต้อนขึ้นสังเวียน นักมวยที่ขึ้นเวทียังมีเสียงระฆังให้หยุดพักได้ แต่ชีวิตลูกเมื่อขึ้นสังเวียนแล้วย่อมไม่มีโอกาสได้พัก ลูกจะต้องสู้ตลอดไปจนตาย ดังนั้นลูกพ่อจะต้องรู้จักหลักในการสู้ ต้องสู้อย่างมีระบบ....”
ทำให้นึกภาพออกว่า ที่ผ่านๆ มานั้น พอห่างคำสอนของหลวงพ่อแล้ว เราถูกคู่ต่อสู้(วิบาก) ต้อนเข้ามุม จนเสียคะแนน ต้องถูกปรับแพ้อยู่ตลอดเวลา …เมื่อฟังพ่อจึงรู้และต้องยอมรับว่า เพราะเราสู้อย่างไม่มีหลัก ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านๆมา เราทุกคนต่างเคยได้รับคำแนะนำมา เหมือนได้รับมอบกุญแจจริงมาแล้ว แต่เรากลับทำหล่นหาย หรือลืมทิ้งไว้ในห้องที่บ้าน (อย่างที่ท่านเคยบอกว่าจดจบอยู่แค่ในสมุด)ไม่ได้พกติดตัว พอถึงเวลาเผชิญเรื่องราวต่างๆเราจึงไม่มีกุญแจไขแก้ปัญหาที่ประสบนั้นได้ ครั้งนี้หลวงพ่อจึงต้องนำกุญแจสำรองมาให้
ท่านบอกว่า แต่ละคนมีเรื่องราวเข้าสู่ชีวิตมากมาย แล้วแต่ละเรื่องที่เข้ามาควรจำไหม …ไม่ควรจำ แต่เมื่อเจอแล้วเราก็เก็บความรู้สึก(ชื่นชม/ขมขื่น)ไว้ ปัญหาจึงเกิด แล้วปัญหาจะแก้ได้ก็ด้วยปัญญา คือ สติ-สัมปชัญญะ ซึ่งเป็นเสมือนกุญแจที่จะไขปัญหาได้ แต่เพราะเราฝึกฝนสติ-สัมปชัญญะมาน้อย แต่กลับปล่อยชีวิตไปกับเรื่องราว ทำให้ชีวิตไหลไปกับคลื่นกิเลส คิดไม่ทัน กุญแจดอกสำคัญจึงหล่นหายไปเลย วันนี้พ่อเอากุญแจสำรองมาให้ แต่กุญแจดอกจริงพวกเราลูกๆต้องสร้างกันเอง
และทุกวันนี้...สิ่งที่ทำให้คนเรามีความทุกข์คือ ความอยากได้ เมื่อไม่ได้ตามที่อยากก็เกิดทุกข์ เพราะไม่ได้ดังใจ แล้วตลอดชีวิตกว่าจะถึงวันนี้ เรามีความอยากกันกี่ครั้ง (นับไม่ถ้วน) บางอย่างได้มาแล้วเราก็ใช้แค่ชั่วคราว บางอย่างก็ไม่ได้ใช้เลย
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073-1.gif@n
“...พ่อเคยถามตนเองนะว่า สิ่งที่เราอยากได้ในแต่ละวันๆ นั้น ถ้าเราได้ครบ สมปรารถนาทุกอย่าง แล้วเราจะเอาสิ่งที่ได้มาเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่ไหน แค่ทุกวันนี้ลูกบางคนก็มีกันเต็มจนรกบ้านไปหมดแล้ว ฉะนั้นจะทำอะไร ก็ให้หมั่นตั้งคำถามกับคนเอง ต้องการสิ่งนั้นๆไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะไปทำอะไร จะออกไปไหน ถามตนเองก่อนซิว่า
- ที่จะไปทำนี้ เพราะเคยทำ หรือเพราะต้องทำ ...แล้วลูกพ่อแทบทุกรายทำไปด้วยความเคยชิน
- แต่ถ้าหากลูกลองตั้งคำถามเสียใหม่ว่า งานที่จะไปทำนี้จะช่วยทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า มีคุณภาพขึ้นบ้างไหม เห็นไหม งานเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่ให้ต่างกันนั้น ย่อมทำให้เกิดผลแตกต่างกัน เพราะถ้าเรารู้ว่างาน(อาชีพ)ที่เราไปทำนั้นดี(สุจริต) เราย่อมมีความเต็มใจเพราะเห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่ทำเพราะเคยชิน หรือทำแบบเสียไม่ได้ ซึ่งอกุศลก็เกิดอยู่ร่ำไป”
ลูกศิษย์บางคนมาเรียนธรรมะแล้ว...เกิดปัญหาเพราะคิดว่า ๕ วันต้องไปอยู่กับภารกิจทางโลก พอถึงวันศุกร์ก็รู้ว่าเดี๋ยวเสาร์-อาทิตย์เราต้องไปเรียนพระอภิธรรมแล้ว รู้สึกว่าทำไปตามหน้าที่ แต่บอกตัวเองไม่ได้ว่า ชีวิตได้อะไรจากการกระทำแบบนี้
หลวงพ่อแนะให้สำรวจดูใจตนเองว่าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่หลังจากที่มาเรียนแล้ว ช่วง ๕ วันที่ดำเนินชีวิตอยู่กับการงานทางโลกนั้น ความรู้สึกตัว ดี ชั่ว บุญ บาป มีมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ความเท่าทันในอารมณ์ที่มากระทบเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกที่ถูกผลักไปด้วยกิเลสมีมากเท่าเดิมหรือไม่ ...ซึ่งบางครั้งสิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่สังเกต เราก็จะไม่เห็นว่าเรามีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า เรามีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าก่อนที่เราจะมาเรียนธรรมะ ...นี่ไงธรรมะที่ซึมเข้าไปในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัว
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073-2.gif@n
หลวงพ่อท่านเมตตายกตัวอย่างว่า...
เช่น โลภะ ที่เราเรียน ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้จัก แต่เมื่อมาเรียน ก็รู้ว่ามันให้ผลที่น่ากลัวมาก (มาถึงตอนนี้หลวงพ่อบอกว่าเมื่อท่านเห็นโลภะ ๘ ดวงนี้แล้ว ท่านรู้สึกสะเทือนใจ จนกลัวเกิดมาก แต่ถึงอย่างไรท่านก็ยังอยากเกิดอยู่ ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ที่ท่านต้องการเกิดก็เพื่อความปรารถนาที่จะมาช่วยเหลือลูกๆ ทุกคนนั่นเอง !... )
ท่านเน้นให้เห็นว่า หากเรายังไม่รู้จักโลภะ เราก็จะส่งเสริมความอยากได้ ความไม่รู้จักพอ หยุดไม่เป็น ห้ามใจไม่เป็น แต่เมื่อได้ศึกษาแล้วรู้ว่าโลภะให้ผลอย่างไร ...เป็นผลที่น่ากลัว เพราะให้ผลเป็นภพชาติ นั่นคือความทุกข์ เมื่อมีชีวิตก็คือความทุกข์ ....
ฉะนั้นเมื่อเราเรียน เราก็จะแจ้งแก่ใจว่าสภาพนี้นี่เองที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด ถึงจะเกิดดีก็ยังมีชีวิตที่ต้องแบกขันธ์ ต้องแก้ไขตลอดไป ความแจ้งแก่ใจนี้ จะช่วยให้เราสลดจิตกับการที่เรา(คนเดียว)ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปในแหล่งต่างๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น ความสลดจิตนี้จะทำให้เราเปลี่ยนชีวิตจากเดิมเป็นคนที่โลภะมาก ก็มาเป็นคนมักน้อย สันโดษ ยินดีกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ได้ มันช่วยบรรเทากิเลส ทำให้เราหยุดเป็น คิดเป็น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะหยุดไม่เป็นคิดไม่เป็น นี่ไง ! เรากำลังคุ้นกับงานใหม่ที่เราเลือก เมื่อทำต่อๆไป กิเลสที่เคยมีหนาแน่นก็จะค่อยๆ เบาลงๆ แล้วในที่สุดก็จะมีชีวิตที่ไม่กลับคืนไปสู่สภาพเดิมเอง
เมื่อเรียนเรื่องโทสะ เราก็จะเห็นความร้ายกาจที่เราเคยมีมาในอดีต แล้วถ้าเราปล่อยให้โทสะเกิดต่อไป ชีวิตเราก็จะเวียนต่ำ เป็นการทำร้ายตัวเอง ความรู้จากการเรียนนี้จะช่วยให้เราเกิดสติ เมื่อระลึกได้ ใจก็จะเย็นลง มีความสุขุมขึ้น ควบคุมโทสะได้แม้จะไม่หมด (เพราะพระอนาคามีเท่านั้นถึงจะไม่มีโทสะแล้ว)
ฝ่ายกุศลก็เช่นกัน เรียนแล้วก็จะรู้ว่าธรรมที่สัมปยุตกับปัญญาย่อมมีคุณค่า และคุณภาพต่อชีวิตมาก เพราะเราทุกคนยังต้องเดินทางไกล เมื่อเรารักชีวิตเราก็ต้องเติมสิ่งที่ดีให้กับชีวิต เพราะแม้บุญก็มีแตกต่างกัน และให้ผลที่ต่างกัน
ฉะนั้น ๕ วันที่ลูกไปทำงาน อำนาจพระธรรมก็จะรักษาทำให้เราไม่พลาดไปทำชั่ว ….๕ วันที่ลูกดูเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่แท้ที่จริงแล้ว เราได้เป็นคนดีมากขึ้น (รู้จักคิด รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว) เท่ากับว่า ๕ วันลูกได้เอาธรรมะไปคุ้มครองป้องกันตัวเอง
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073-3.gif@n
ส่วนอีก ๒ วัน กุศลจิตเกิดกับการมาศึกษาความจริง เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เราก็จะได้ปฏิบัติถูก เท่ากับว่าเรากำลังสร้างอำนาจ สร้างฐานธรรม ซึ่งสิ่งนี้เองจะอุปถัมป์ให้เราได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และเจริญเติบโตไปด้วยพระธรรม
พยายามนะลูก หมั่นระลึกว่า วันนี้ทำอะไร มีอะไรเกิดขึ้น เอาธรรมะเข้าไปส่อง อย่างเช่นวันนี้โกรธ ต้องรู้สภาวธรรมมีอะไรเกิดขึ้น (ไม่ใช่รู้เรื่องราว) ดีหรือชั่ว ใครเป็นผู้ได้รับ เป็นการบอกตนเอง ถ้าดีก็ทำต่อ ถ้าไม่ดีก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำ ...พระอริยบุคคลท่านก็พัฒนามาจากความรู้ถูก ลูกต้องพยายามให้กำลังใจตนเอง ชีวิตแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน แค่ความคิดคือปัญญามีไม่เท่ากัน เราต้องพัฒนาความคิด และสติปัญญา หมั่นทำไป ระลึกไป แล้วจิตใจจะเบิกบาน
ในขณะที่ลูกศิษย์บางคนตั้งคำถามว่า ...เรียนมาแล้วรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี มีความตั้งใจจะทำความดีหนีจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอกุศล และพยายามสร้างอำนาจใจโดยการอธิษฐานต่อรูปหลวงพ่อ แต่แล้วเมื่อถึงเวลากลับไม่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองแย่มากๆ ต้องทำผิดซ้ำๆ ซากๆ แล้วชีวิตก็ต้องจมปลักอยู่กับกิเลสเหมือนเดิม ควรแก้ไขตนเองอย่างไรดี
(คำตอบของหลวงพ่อนั้นทำให้พวกเรารู้ตัวว่าที่ผ่านๆมา เราคิดผิด ใช้ชีวิตผิด....) ท่านตอบว่า เรื่องนี้การอยู่ในสิ่งแวดล้อม การที่เราไม่เลือกสังคม เป็นส่วนสำคัญ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าจิตคนเรานี้ห้ามยาก แล้วพอเรามาเรียนธรรมะ รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดเลว แต่คนเราชอบโหดร้ายกับตนเองและทำชีวิตตนเองให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ ทำให้ต้องมีชาติ ชรา มรณะ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าอุบัติมากี่พระองค์แล้ว โปรดสัตว์ไปมากเท่าไรแล้ว แต่เพราะเราโหดร้ายกับตนเอง เราจึงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่การมาเรียนพระอภิธรรม เท่ากับว่าเรามีสปอร์ทไลท์ แต่เรากลับส่องไปทางทิศเดียว มิหนำซ้ำเป็นทิศที่ส่องไปทางที่ผิดเท่านั้น ประกอบกับพวกเราชอบย้ำคิดย้ำทำ ความจำดีมีแต่เรื่องอกุศล ก่อนหน้านี้พ่อเคยสอนลูกทุกคนว่า ดูดี มาใช้ ดูชั่วมาละ แต่ตอนนี้พ่อไม่สอนอย่างนั้นแล้ว แต่จะสอนว่าให้ลูกทำตัวให้เหมือนฟองน้ำดูดซับน้ำ แต่ต้องเป็นฟองน้ำที่มีประสิทธิภาพรู้ว่าสิ่งใดควรดูดซับเก็บไว้ สิ่งใดควรจะบีบออก
ประการสำคัญลูกต้องหัดให้เกียรติแก่ตนเอง (หัดคิดเสียใหม่) ...คนเราเกิดมามีคุณค่า และมีคุณภาพ ที่เรารู้ว่า วันนี้เราไม่ดี เราก็ต้องบอกว่า ขอความรู้ที่เกิดขึ้นตอนนี้จงมาสกัดกั้นให้เราไม่เดินไปในเส้นทางเก่า(อกุศลนั้น)อีก ต้องพยายามเอาใจออกไปจากเรื่องราวร้ายๆ นั้น จงจำไว้ว่า ไม่มีใครทำอะไรครั้งเดียวได้สำเร็จ
พอเรียนมาว่า โทสะไม่ดี ไม่เอาเราจะไม่ทำแล้ว ไม่มีแล้ว เป็นไปไม่ได้ เราต้องค่อยๆ ทำ เหมือนค่อยๆ ขึ้นบันได แล้วลูกต้องอย่าลืมว่า ผิดใหม่ไม่เหมือนผิดเก่า พ่อเคยบอกแล้วว่าทุกอย่างไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม และเหมือนกัน เพียงแต่ให้รู้ว่านั่นเป็นกิเลส แล้วพยายามหลีกจากการยุ่งไม่เข้าเรื่อง หลีกแล้วก็ลด เมื่อรู้ว่าที่ตรงไหน อะไรที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้ เราก็ลดตรงนั้น ลดในสิ่งที่ตนเองแพ้ หัดหักห้ามใจตนเองก่อนไป ค่อยๆ ทำ เราถึงจะเลิกได้
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073-4.gif@n
หมั่นเตือนตนเองบ่อยๆ ว่า
...อดีตคือความปด อนาคตคือความฝัน ปัจจุบันคือความจริง
...จงเดินหน้า ไม่ว่าของเก่า ไม่เล่าอดีต
...คิดแก้ไข ใจให้มีกุศล มองตนให้มาก เรื่องยุ่งยากจะหมดไป
หลวงพ่อยังย้ำว่า ก่อนนอนให้พวกเราทำกุศล โดยใช้สปอร์ทไลท์ฉายตนเองให้ทั่วดังนี้
ขั้นที่ ๑ สำรวจว่าวันนี้เราทำอะไรมาบ้าง มีชั่ว มีดีไหม ทุกคนต้องมีแน่
_ วันนี้เรามีกิเลสอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น พอใจ (โลภะ) ไม่พอใจ(โทสะ)- ไม่ต้องคิดเรื่องราว แต่ให้รู้ว่าเป็นกิเลสอะไร ตัวไหน แล้วบอกตนเองว่ากิเลสเป็นโรคร้าย แล้วขอกุศลคุ้มครองให้ในวันพรุ่งนี้จงมีกิเลสที่เบาบางลง มีขันติ มีสติสกัดกั้น อดกลั้นการมีชีวิตที่จะไปกับกิเลสให้ได้
-วันนี้เรามีชีวิตที่ดีอะไรบ้าง มีคุณค่า และคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นไหม ระลึกได้แล้วอธิษฐานขอให้กุศลเพิ่มอำนาจให้จิตข้าพเจ้าใฝ่ในความดีต่อไปได้อีกฉะนั้นสปอร์ทไลท์ที่มีอยู่ ฉายให้ทั่วทั้งทิศที่ดี และทิศที่ไม่ดี ....ที่สำรวจตนเองเช่นนี้ดี แต่ที่ดีกว่านี้ยังมี คือ
ขั้นที่ ๒ ให้สวดมนต์ อาจสั้นๆเพียงแค่ พุทธัง วันทามิ ธัมมัง วันทามิ สังฆัง วันทามิ มาตาปิตุรัง วันทามิ อุปการะคุณะวันทัง วันทามิ แต่ละครั้งต้องมีจิตน้อมไปถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า บิดามารดา ครูอาจารย์ผู้มีอุปากระต่อเรา ด้วยกุศลที่ทำนี้จะทำให้จิตเราตื่น แล้วบอกตนเองว่า สิ่งนี้ดี แต่ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก
ขั้นที่ ๓ ให้ทำสมาธิสักพักหนึ่ง แล้วจึงแผ่เมตตาให้แก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย แล้วบอกตนเองว่ากุศลที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ขั้นที่ ๓ ให้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ง่วงก็กำหนดรูปนอนจนหลับไป ข้อสำคัญการกระทำอะไรก็ตาม หากทำไปด้วยความเคยชิน มนสิการก็จะมีน้อยหรือไม่มีเลย
การกระทำที่จะได้บุญมากมนสิการต้องมีให้มากๆ เช่นกราบหมอนเราต้องรู้ว่าทำไมต้องกราบ สวดมนต์ทำไมดี เพราะดีได้ทั้งกาย วาจา และใจ ฉะนั้นต้องรู้ว่าที่เราจะทำเพราะสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นสร้างคุณภาพให้เรา และยังมีคุณค่าต่อเราด้วย
ทุกวันนี้ที่เราท้อแท้เบื่อหน่าย เพราะเราไม่ได้ดังใจ เวลาเราลงมือทำอะไรก็มักจะคิดว่าลงทุนและทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น เมื่อคิดเช่นนี้การถอนทุนก็จะเกิดขึ้น แล้วถ้าไม่ได้ก็จะรู้สึกขาดทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ควรแก้ไขความคิดเสียใหม่ …จะไปที่ไหน ไปทำอะไร ต้องมองว่าเราได้อะไรจากที่นั่น จากสิ่งนั้น อย่ามองว่าเราเสียอะไร อย่างเช่น ไปทำงาน เราได้อะไร ได้ใช้ชีวิตที่มีประโยชน์ ได้ค่าของความเป็นคน หรือสถานที่ที่เราไป เช่นที่มูลนิธิแห่งนี้ เมื่อมาแล้วได้อะไร ที่ตรงนี้เปิดโอกาสให้เราเป็นคนที่มีคุณภาพ (จากการมาเรียนพระอภิธรรม) และมีคุณค่าจากการมีโอกาสช่วยงานพระพุทธศาสนา ทุกคนเมื่อคิดว่าเราได้ ก็จะไม่น้อยเนื้อต่ำใจ
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14073-5.gif@n
เรื่องการปฏิบัติ ท่าก็เตือนว่าให้พยายามตั้งใจทำวันละนิด ทำไปเรื่อยๆ เพราะทางของพระบรมศาสดานั้น มีผู้ปฏิบัติและเดินผ่านทางนี้มาแล้ว และถึงนิพพานแล้ว ยิ่งเดินยิ่งไกล ไม่มีในโลก เพราะยิ่งเดินยิ่งใกล้ ยิ่งเดินยิ่งถึง
มีบางท่านที่มาใหม่พกพาความทุกข์ใจพร้อมน้ำตามาหาหลวงพ่อ แต่เมื่อได้ฟังธรรมะในวันนั้นแล้วก็บอกว่ารู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องทุกข์นั้น นอกจากหลวงพ่อได้แนะนำว่า ทางโลกให้มองทางต่ำ ทางธรรมให้มองทางสูง แล้วยังได้ให้เคล็ดลับการแก้ไขใจตนเอง โดยเมื่อเกิดความรู้สึกว่าเราแย่แล้วก็ให้ไปนั่งบอกตนเองว่า
...ในขณะที่เราแย่ ก็ยังมีคนอื่นที่แย่มากกว่าเราอีก
...ในขณะที่เราแย่มากแล้ว ก็ยังมีคนอื่นที่แย่มากๆกว่าเราอีก
...ในขณะที่เราแย่มากๆแล้ว ก็ยังมีคนอื่นที่แย่มากๆๆกว่าเราอีก
...ในขณะที่เราแย่มากๆๆแล้ว ก็ยังมีคนอื่นที่แย่มากๆๆๆกว่าเราอีก
เวลากลุ้มก็เอาวิธีนี้ไปคิด เมื่อคิดแล้วทุกข์ก็จะเบาลง เพราะขณะที่เรากำลังบอกตนเองว่ามาก ..มากๆ ...มากๆๆ เราต้องคอยระวังว่าตอนที่พูดไปมีกี่มากแล้ว ความระวังนี่ก็คือ สติ เมื่อสติเกิด อกุศลก็เกิดไม่ได้ เพราะขณะนั้นเรื่องราวต่างๆ ที่เรารู้สึกว่าตนเองแย่นั้นก็เข้ามาไม่ได้เอง
แล้วในความเป็นจริงทุกคนเป็นทุกข์กันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์แสนสาหัส ทุกข์จะร้ายแรงแค่ไหน ทุกข์เหล่านั้นก็ต้องผ่านเป็นอดีตไปเสมอ ไม่มีที่จะหยุดนิ่งอยู่ที่เราตลอดเวลา ขอเพียงลูกเข้มแข็ง อดทน มีสติ-สัมปชัญญะ แก้ไข ขยันหมั่นเพียร รู้ว่าควรแก้อย่างไร ควรใช้ชีวิตอย่างไร ในเมื่อเราจะต้องทำงาน(สู้)ไปจนตาย เราก็ต้องรู้จักเลือกงานทำ บอกตนเอง…วันนี้ยังมีลมหายใจอยู่ – ชีวิตที่มีคุณค่าและคุณภาพต้องเกิดกับเราแน่ แล้วไปทำงาน รับผิดชอบต่อหน้าที่ ศีลเราก็มี ไม่คดโกงใคร ให้กำลังใจตัวเอง ลูกพ่อต้องหวังให้ถูก สร้างกำลังใจให้เป็น พ่ออยู่ใกล้ลูกเสมอ แล้วอย่าลืมออกเดินกันซะที จงจำไว้ว่ายิ่งเดินยิ่งไกลไม่มีในโลก
วันนั้นห้องหัวใจ(ที่ภายในถูกอัดแน่นด้วยปัญหา) ก็ถูกกุญแจสำรองของพ่อไขออก เคลียร์สิ่งที่รกออกไปได้ ถึงอย่างไรหลวงพ่อก็กำชับว่า
“ถ้าลูกมัวแต่จะคอยกุญแจดอกสำรองของพ่อ ก็หาไม่เจอหรอก แต่วันนี้ที่พ่อเอากุญแจสำรองมาให้ก็เพื่อให้ลูกไขไปหยิบดอกจริงออกมาใช้ด้วยตนเอง”
ก็ได้แต่ตั้งความหวังว่า ต่อไปนี้พวกเราคงจะไม่ทำกุญแจดอกจริงหล่นหายอีก ด้วยการพยายามกระทำชีวิตให้มีสติ-สัมปชัญญะให้มีมากขึ้น …เป็นการเริ่มต้นออกเดินตามที่พ่อปรารถนา ที่ท่านอุตส่าห์มาให้กำลังใจพวกเราในวันนั้นว่า ยิ่งเดินยิ่งไกล ไม่มีในโลก เพราะเมื่อยิ่งเดินก็ต้องยิ่งใกล้จุดหมายปลายทางที่เราต้องการไปให้ถึงคือ การสิ้นสุดทุกข์นั่นเอง
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/abhidhamonline.org/flower.gif
หน้า:
[1]