การมองชีวิตและการใช้ชีวิตเป็น
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14560.jpg@nในที่สุด...ช่วงเวลาของความร้อนก็สิ้นสุดไปพร้อมกับสายฝนแรกที่สาดละออง ภาพของฝนที่หลั่งเส้นสาย แม้จะยังไม่มากระทบผิวกาย แต่ก็ทำให้ใจเกิดความชื่นเย็นอย่างประหลาด แม้ในขณะนั้นจะอยู่ในห้องที่มีอากาศอบอ้าวก็ตาม ไม่ต่างกันเลยกับเมื่อครั้งที่มองฝ่าเปลวแดดไปในหน้าร้อน แม้จะอยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ แต่ใจนั้นก็รู้สึกไม่ชอบที่ได้รับรู้ว่า... แดดแรงและอากาศร้อนจัดในวันนี้
การเปิดทวารเพื่อรับสิ่งต่างโดยขาดการพิจารณา ทำให้มองข้ามความจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะตน แล้วตัดสินใจเชื่อผิดๆซึ่งนำความทุกข์และความสุขอันจอมปลอมมาให้.... ภาพของสายฝนที่ภายนอก เพียงทำให้ความร้อนหายไปในช่วงนั้น เมื่อฝนหยุดตก และตะวันทอแสงฉาย ความร้อนก็ยังคงเกิดขึ้นได้ในหน้าฝน โดยเฉพาะในช่วงก่อนฝนตกแต่ละคราว แต่เพราะเราไม่ใส่ใจ ด้วยมองเป้าหมายที่ไกลกว่า ...ความร้อนอบอ้าวนั้นจึงดูเหมือนมิใช่อุปสรรคของชีวิต
ชีวิตของเราก็เช่นกัน..ในคราวที่ประสบปัญหาชีวิตทั้งการงานและครอบครัวการมองไปให้ไกลจากตัวเอง มองโลกในมุมกว้าง มองไปยังสภาพแวดล้อมภายนอกที่สวยงาม ดุจเดียวกับการมองสายฝนความทุรนทุรายใจก็จะคลายลง แต่เมื่อใดที่ละสายตา..จากสายฝนมาอยู่กับความเป็นจริง ความรู้สึกของผิวกายที่ได้สัมผัสความร้อนก็จะเด่นชัดยิ่งขึ้นจนทำให้ใจรู้สึกได้
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14560-1.jpg@n
การมองชีวิตเช่นนี้เป็นการแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว ไม่ต่างกับการทำสมาธิด้วยวิธีต่างๆ ที่สร้างอารมณ์ขึ้นมาใหม่ด้วยคำภาวนาเพื่อให้ใจสงบ เป็นการย้ายอารมณ์จากความเร่าร้อนไปสู่ความเยือกเย็นนั่นเอง
การแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริงก็คือ เผชิญกับความทุกข์นั้นด้วยการยอมรับเพื่อลดความรุ่มร้อนในใจ และแก้ไขด้วยความสามารถเท่าที่มี โดยมีความเข้าใจว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ย่อมมีขึ้นมาจากสาเหตุ และก็มีผลปรากฏอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นดังเช่น ฤดูร้อนที่ผ่านพ้นไปเพราะสายฝนที่พร่างพรำ
การกำหนดรู้ด้วยสติปัญญาอย่างเท่าทัน สภาพธรรมที่มาปรากฎตามความเป็นจริง สภาพการรู้นั้น...จะยุติความฟุ้งซ่านทั้งหมดทั้งมวลให้คงอยู่ ณ จุดแห่งความรู้ที่กำหนดได้ สงบและผ่อนคลายจากความยึดมั่นที่เกิดขึ้นใจก็ไม่กระเพื่อมไปในทุกข์และสุข เหมือนกับเราได้พบหน้าคนทั่วไปที่มิใช่มิตรและศัตรู
เส้นทางสายชีวิตที่เดินร่วมทางไปกับความทุกข์ ด้วยความรู้จักกันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ทำให้ชีวิตไร้ภาพลวงตาและอารมณ์ลวงใจได้ในที่สุด..
ท่ามกลางเหล่าชนที่มากมากหลากหลายความคิด ท่ามกลางกระแสเสียงที่บอกกล่าวออกไป ในสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่น...ความคิดที่ต่างมุ่งหวัง เพื่อจะพาชีวิตของตนให้พ้นภัยไปกันถ้วนทั่วนั้น ต่างก็นิยมชมชื่นในอุดมการณ์อันเกิดขึ้นจากอุปาทาน ความเร้าร้อนจึงรุมเร้าชีวิตของคนเราอย่างไม่มีทางหยุดสนิทลงได้
สำหรับคนจำนวนมาก สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้คับข้องใจเป็นอย่างยิ่งในชีวิตก็คือ การไม่สามารถ เข้าใจ พฤติกรรมของผู้อื่นได้ เรามักมองพฤติกรรม ที่ขึ้นว่าเป็นความตั้งใจมากกว่าความบริสุทธิ์ใจ เรามีแนวโน้มที่จะใสใจ ในพฤติกรรมไร้เหตุผลของคนและเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองใจ
เป็นต้นว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำต่างๆ ความหยาบคาย ความเห็นแก่ตัว ถ้าเราถือสาพฤติกรรมต่างๆ มากเกินไป เราจะรู้สึกว่าใครต่อใครสามารถทำให้ชีวิตของเรามืดมนได้โดยง่าย ด้วยเพราะความมืดบอดแห่งอารมณ์ที่มีอยู่อย่างซ้ำซากเช่นนั้น กระไรเลย เรายังมามัวเพิกเฉยต่อแสงสว่างที่ยังอำไพ เพื่อสาดทอดทางเดินอันเยือกเย็น สงบอันมีสุดทางที่..อมตะมหานิพพาน
หยุดความหลงทางที่ถูกอำพร่างด้วยสุขวิปลาสกันเสีย แล้วหันกลับเข้ามาสู่เส้นทางอันสงบสุขกันเถิด เพียงลงทุนสร้างเข็มทิศ..คือ..สัมมาทิฎฐิให้มีเกิดขึ้น เพียรอาศัยทางบ่งชี้จากเข็มทิศนั้นไปสู่แสงสว่างกันเถิดคะ
เสียงกระซิบนี้คงจะมีส่วนก้องกังวานในใจของทุกท่าน ให้บุกบั่นฟันฝ่าความร้อนแห่งชีวิต ได้รับพระธรรมคุ้มครอง ประดุจสายฝนที่ปะพรมลงบนดวงใจให้ชุ่มเย็นทั่วกันทุกท่านนะคะ
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/i732.photobucket.com/albums/ww322/piyada3/FLOWER/WhiteRose.jpg
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
บุษกร เมธางกูร.
http://webboard.abhidhammaonline.org/old/i554.photobucket.com/albums/jj409/somjai100/line/line233.gif
หน้า:
[1]