มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 781|ตอบกลับ: 4

บุญคืออะไร ?

[คัดลอกลิงก์]

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138



เรามาเรียนพระอภิธรรมเพื่ออะไร? เรียนเพื่อให้ทิฏฐิวิสุทธิ หรือทำความเห็นให้ตรงกับความเป็นจริง เช่น เราเห็นว่าเรานั่ง แท้ที่จริงไม่มีเรานั่ง ไหนเรา นี่แขน ขาขวา ไหล่ หัว ตา ตรงไหนคือเรา ลองพูดซิเราอยู่ตรงไหน เราเห็นผิดว่าเรานั่ง แท้ที่จริงคืออาการของรูปปรากฏขึ้น อาการนั้นเรียกว่า "รูปนั่ง" ไม่มีคนไม่มีสัตว์ ทำความเห็นให้ตรงเท่านั้นเอง มองไปเห็นดอกบัว ดอกบัวไม่มี แท้ที่จริงเป็นรูป (รูปารมณ์) มาทำความเห็นให้ตรงว่าเราเห็นรูป ดอกบัวเป็นสมมติ คนเป็นสมมติ

เมื่อเห็นตรงแล้ว เราเอาความรู้นี้คือความเห็นตรง อันเป็นปัญญาโลกีย์ได้เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากการศึกษาวิชาอื่น แต่เกิดจากวิชาพระพุทธศาสนา แล้วไประลึกรู้สึกในความเป็นจริงว่าเรามีชีวิตนี้ เอาความจริงไประลึก ก็ทำลายสัญญาวิปลาส ตอนขณะเรียนทำให้ทิฏฐิวิปลาสเบาบางลง เมื่อปฏิบัติเราก็เอาทำให้จิตวิปลาสเบาบางลง เมื่อทิฏฐิเบาบางลง สัญญาเบาบางลง จนกระทั่งจางหาย ก็ทำให้ทิฏฐิวิสุทธิขึ้นมาตอนหลัง ไม่ได้เรียนเพื่อให้เกิดแสงสว่าง เพราะเปิดไฟก็สว่างได้ แต่ปัญญาเปรียบเหมือนแสงสว่างเท่านั้น

เมื่อเรียนแล้ว ระลึกได้ สัญญาถูกรื้อ สังโยชน์ถูกละไป เพราะสังโยชน์เกิดจากสัญญา เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ครอบครัวหนึ่งนั้น บอกให้เลิกอย่ามีแม่เลย พอแม่มาฟังธรรมทุกครั้ง หงุดหงิดตลอด เลิกเถอะ ลืมเถอะว่ามีแม่ ก็ตอบว่าลืมไม่ได้ ถามว่า รักแม่ไหม ตอบว่า รัก ถาม นี่ใคร เขาคนนี้เคยเป็นแม่เราในอดีตชาติ ให้คอยระวังแม่เราด้วยนะ ตอบว่า แค่รับรู้ แต่ไม่ยอมรับ

นี่คือสัญญาทำให้เกิดสังโยชน์ร้อยรัด แม่เราแม่เขา ตัวเราตัวเขา แล้วต้องตอบสนอง โดยใช้สัญญาทั้งสิ้นเลย การศึกษาจึงมีประโยชน์ ชีวิตอยู่ยาก แต่จะไม่ยากสำหรับผู้มีปัญญา ปัญญาทำให้บุญมีกำลัง ทำให้ทานมีกำลัง ศีลมีกำลัง ภาวนามีกำลัง ถ้าขาดปัญญาแล้วจะทำบุญทำทาน บุญนั้นก็มีกำลังอ่อน

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-1-10 19:14:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แม้กระทั่งการปฏิบัติวิปัสสนา ถ้าไม่เข้าใจว่าปัญญาคืออะไร การปฏิบัติก็มุ่งปรารถนาอยากเห็นนามรูป อยากให้นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้น และจะอยากไปทำไม เพราะเมื่อก่อนที่ไม่เรียนก็ไม่รู้จักนามรูป แต่พอปฏิบัติจะต้องการอยากเห็นปัจจัย จัดเป็นการเอาตัณหาเข้าวัด

คำว่า บุญ คำนี้ตามความหมายก็คล้ายกับสบู่ มีหน้าที่คอยชำระล้าง คอยฝึกฝนอบรมคนหรือพัฒนาคนให้มีความสวยงามยิ่งขึ้น เหมือนสบู่นำมาชำระล้างขี้ไคล ทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้น ยิ่งใช้โฟมล้างหน้า ทำให้ดูดี คือพัฒนากายให้สละสลวย พัฒนาปากคือวาจาให้พูดไพเราะ ฉะนั้นบุญคือสบู่ หรือบุญคือการพัฒนาตนเอง เราอยากจะให้ตนเองดี เราต้องทำบุญ พัฒนาจิตให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต หรือมีหน้าที่ให้จิตบริสุทธิ์และสะอาด ปราศจากทุกข์ความชั่วร้ายทั้งปวง ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเสมอว่า “เกิดเป็นคน ต้องหมั่นทำบุญ และต้องทำบ่อยๆ ด้วย”

ด้วยเหตุนี้มนุษย์ต่างๆ จึงคิดทำบุญ เพราะการทำบุญคือการพัฒนาตนเอง เราไม่มีหน้าที่พัฒนาประเทศชาติ เพราะไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสมาชิก เราจึงมีหน้าที่พัฒนาตนเอง เมื่อเราพัฒนาตนเองแล้วเท่ากับพัฒนาประเทศชาติไปในตัวเลย ถ้าอยากให้ใครก็แล้วแต่เป็นผู้พัฒนาประเทศชาติได้ต้องพัฒนาตนเองเป็น ประเทศชาติก็เป็นผลพลอยได้ที่ดีที่สุด

การทำบุญเป็นการพัฒนาตนเอง ส่วนการให้ทานเป็นการพัฒนาทรัพย์

การทำบุญก็คือการให้ทาน หรือให้สิ่งของต่างๆ ออกไปเรียกว่า เอาการกระทำมาพัฒนาทรัพย์ของตนให้เจริญขึ้น ให้มีความรุ่งเรือง เหมือนเราเอามาขัด ให้ทานทำให้ทรัพย์นั้นรุ่งเรือง พอกพูน และไพบูลย์ขึ้น หรือทำให้เป็นสมบัติของตนเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น เรามีอยู่แค่นี้ แล้วก็แบ่งไปทำบุญ เราดูเหมือนหมด แต่ความจริงมากขึ้นโดยไม่เห็น ผู้มีตาทิพย์คือปัญญาจึงจะเห็น

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-1-10 19:16:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ใครก็แล้วแต่เป็นคนขี้เหนียว ได้ทรัพย์มาแล้ว เก็บไว้หมด ทรัพย์นั้นก็เป็นหมัน เพราะอะไร? ลองพิสูจน์ ให้เอาเงินใส่ผอบทอง ๒๐ บาท ไม่มีดอก เปิดมาอีกครั้งก็เก่าขึ้น ทรัพย์เป็นหมัน ไม่เจริญรุ่งเรือง และไม่มั่งมีศรีสุข หากอยากจะรุ่งเรืองมั่งมีศรีสุขต้องหมั่นทำทาน ยิ่งเก็บยิ่งหมดนะ ไม่งอกเงยขึ้นมา เช่นหยอดกระปุกออมสิน เหมือนกับผู้เฒ่าผู้แก่เก็บซ่อนไว้ตามหลังคาจาก ซ่อนไว้ในหมอน

เพราะเมื่อก่อนนี้ไม่มีเซฟ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ซ่อนไว้ใต้หมอน สมมุติลูกหลานมาค้นเจอก็เอาไปใช้หมด คนขี้เหนียวก็ถูกขโมยหมด ถ้าเก็บทรัพย์นั้นไว้ ทรัพย์นั้นก็มีแต่หมดไป เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากรวย ก็อย่ารวยทางลัดไปเที่ยวงัดเขา เขาก็จับ

การพัฒนาทรัพย์นี้อุปมาว่ามีเงินมีทองเอาไปหว่านในนากล้า ในนาบุญของเราเอง ที่เราโยนออกไป นาเราทั้งนั้น ทุกคนที่ไม่มีที่ไม่มีทาง อย่าไปคิด ความจริงเรามีที่คนละ ๕๐๐ ตารางวา คือศีล ๕ แล้วเราก็หว่านข้าวกล้าพันธุ์ดีไป ลงไปในเนื้อนาบุญ

ที่บอกว่าเป็นเนื้อนาบุญอันเอกของโลก คือพระขีณาสพ ส่วนเราก็เป็นเนื้อนาบุญตรี โทได้ เพื่อจะได้เป็นเอก เราก็เป็นเนื้อนาตรีที่ดีของโลก เพื่อจะได้เป็นเนื้อนาบุญอันเอกของโลก ค่อยๆ เลื่อนขึ้น เราก็เอาไปหว่านในนาบุญของเราเอง พอไปเกิดชาติหน้าก็มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่ต้องออกดอกให้ลำบากยากเข็ญ รอดอกเบี้ยใช้กระเหม็ดกระแหม่ แต่ต่อไปเราก็มีได้เพราะเราทำไว้ ทำนาบุญ บุญย่อมเป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งปวง ธรรมะทำให้เราฉลาด

ทานจัดเป็นการพัฒนาทรัพย์เท่ากับพัฒนาตนเองด้วยได้สองต่อ ส่วนศีลเป็นการพัฒนากาย เพราะการรักษาศีล การทำบุญด้วยการรักษาศีลเรียกว่า ศีลมัย ทำบุญโดยเอากาย วาจามาบูชาพระพุทธเจ้า เช่น เรารักษาศีล เราได้ด้วยเท่ากับเราเอากายและวาจาบูชาพระพุทธเจ้า เป็นการปฏิบัติบูชา ฉะนั้น คนขี้เหนียวร่างกายรักษาศีลไม่ได้ บุญข้อนี้เป็นการพัฒนากายวาจาให้สวยงาม เช่น รักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา รักษาศีล ๘ ในวันพระหรือวันอุโบสถ ผู้ถือศีลรักษาศีลจะทำให้กายสวยงาม วาจาสวยงาม

คนขี้เหนียวตัวหรือร่างกาย เช่น ห่วงนอน ห่วงเที่ยว ไม่อยากให้ตนเองผอม จะถือศีล ๘ ไม่ได้นอกจากนั้นศีลยังทำให้ร่างกายนี้สะอาดและบริสุทธิ์ ต้องทำให้ไม่กุดไม่ด้วน ไม่หูหนวกไม่ตาบอด ไม่ปากแหว่ง ไม่พิกลไม่พิการ เพราะผู้ที่มีร่างกาย (สังขาร) ที่สมบูรณ์ เพราะว่าเคยเอากายไปทำบุญบูชาพระ เพราะถือศีล ก็ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดปด พูดเพ้อเจ้อ เพราะบุคคลที่ปากแหว่ง ทุพพลภาพก็เพราะศีลขาดทั้งสิ้น

เหตุที่ฟันไม่เรียบก็เพราะพูดปด คนหูหนวกตาบอดก็คือคนชอบฆ่าสัตว์ ตั้งใจยิงตาให้บอด บางคนไม่ได้กิน แต่เป็นเกมส์สนุกของชีวิตบนความทุกข์ของผู้อื่น เช่น ไปนั่งบนห้างดักรอ ขึ้นหน้าไม้ไว้ เห็นนกฮูกตาโต ตั้งใจเลยยิงปักลูกตาไป นกฮูกกินไม่ได้ มันก็หนี ก็ล่าเหยื่อ พอได้ก็หยิบขึ้นมาโชว์ พวกนี้ชาติหน้าตาก็เสีย และกรรมที่ไล่ล่าเขา ก็ทำให้เกิดตกบันไดล้มลุกคลุกคลานได้ นี่ไงกรรม มันยุติธรรมนะ เคยทำสัตว์ให้หนีล้มลุกคลุกคลานมันก็ให้ผล จึงบอกว่าเหมือนผีซ้ำด้ามพลอย

ฉะนั้น อย่าไปทำบาป อันตราย เวลาให้ผลนะ ให้ผลยุติธรรม แล้วก็มาคร่ำครวญว่าทำไมชะตาเราไม่เหมือนคนอื่น เพราะเราทำมาเหมือนใครไม่ ใครทำใครได้ ฉะนั้นน่ากลัวมากเหลือเกินบาปกรรม บางคนมากุดๆ แหว่งๆ นิ้วมาไม่ครบ ส่วนคนที่มีอาการครบ ๓๒ เพราะศีลไม่ด่างพร้อย พวกที่เล็บเป็นเชื้อรา กุดถัง ก็จัดอยู่ในทุพพลภาพ เป็นพวกศีลกุดทั้งสิ้น

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-1-10 19:17:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ใครก็แล้วแต่เคยเอาร่างกายรักษาศีล เมื่อสิ้นชาติเกิดใหม่ก็ได้ร่างกายที่สวยงามขึ้น เพราะศีลนั้นเป็นตัวปรุงแต่งเหมือนอาภรณ์ บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินและโทษทั้งปวง ศีลคือการพัฒนากาย ภาวนาที่เราทำสมาธิเจริญวิปัสสนาเพื่อพัฒนาใจ

บุญก็คือภาวนา ทาน ศีล แต่พัฒนาคนละอย่างกัน โยคาวจรทั้งหลาย หรือผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย หรือพุทธบริษัททั้งหลายต้องมีความระลึกรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งให้มั่นคง และเห็นให้ถูกเลยว่า จะมีเงินทองมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ ซื้อบุญคือการเจริญภาวนาไม่ได้เลย เช่น เงินเดือนออก แล้วจ้างคนไปปฏิบัติวิปัสสนาแทนที่อ้อมน้อย ก็ไม่ได้ พอปฏิบัติแล้ว ก็เอาบุญไปให้ผู้จ่ายเงินให้ ก็ไม่ได้ เพราะบุญนี้มีเงินเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ซื้อการเจริญภาวนาไม่ได้ แม้จะมีเงิน ๑๐๐ ล้าน ๑,๐๐๐ ล้าน ก็ซื้อไม่ได้ เพราะการภาวนาเป็นการพัฒนาจิตใจ เราฝากใจใครไปไม่ได้ ถึงแม้จะเอากายไปทำอะไรไม่ได้ก็ตาม เช่น อัมพาต อัมพฤกษ์ เพราะกายพูดไม่ได้ และกายคิดดีคิดชั่วไม่เป็น ร่างกายอย่างเดียวสวดมนต์ไม่ได้

บุญคือทาน เราเอาทรัพย์ภายนอกไปบูชาพระ

บุญคือศีล เราเอากายวาจาไปบูชาพระ

บุญคือภาวนา เราต้องเอาจิตใจของเราไปบูชาพระ
ฉะนั้นต้องทำด้วยตนเอง เพราะจิตของเราเอง จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ จิตใจของเรานี้จึงจะระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณได้ แต่กายระลึกไม่ได้

เมื่อพูดถึงตรงนี้กายกับใจอะไรดีกว่ากัน ทุกคนก็ต้องตอบว่า ใจ แม้ว่าคนเราจะตอบว่าใจดีกว่ากาย แต่ความจริงแล้วแต่ละคนรักกายมากกว่าใจ จะเห็นได้จากการตกแต่งร่างกาย แม้จะสมถะก็เท่ากับรักกาย เอาสบู่มาฟอกมาดูแลกาย ต้องดูแลส้นไม่ให้แตก เอายามาทา แต่ใจไม่ค่อยรัก เพราะฉะนั้นพระภิกษุสงฆ์จึงมีวินัยธรรม ผ้าก็น้อยชิ้นมีสีเดียวก็ครองไปซิ ห้ามปรุงห้ามแต่งน้ำหอม เพราะเหม็นแล้วจะได้รู้ว่ากลิ่นกายในเหม็นจะได้ปลง

แต่นี่เราหลอกกัน ลองดูซิไม่อาบน้ำ ๗ วัน จะเป็นอย่างไร นั่นคือของจริง แต่เราทนตนเองไม่ได้ เพราะเรารักกายมากกว่า นี่พูดให้เห็นภาพพจน์นะ แต่อย่าไปทำนะ เป็นการฝืนธรรมชาติ เราต้องฝืนแต่กิเลส พ่อไม่ได้สอนให้ใครฝืนธรรมชาติ แต่สอนใจให้ฝืนกิเลส และอยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นสวย แต่ธรรมชาตินั้นซวยถ้าเรามีกิเลสด้วย เพราะว่า        คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า        คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน        คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต

ฉะนั้น เรารักสวยรักงามกัน เมื่อพูดถึงตรงนี้เราก็ต้องรีบกลับมารักใจของเราบ้าง ด้วยการเอาใจไปทำบุญคือการเจริญภาวนาเท่านั้นเอง มีอย่างเดียวและทางเดียว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

อตฺตนา ว กตํ อตฺตานา สงฺกิลิสฺสติ แปลว่า ตนทำบาปเอง ตนย่อมเศร้าหมองเอง

อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา วา วิสุชฺฌติ แปลว่า ตนไม่ทำบาปเอง ตนย่อมหมดจดเอง

อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ แปลว่า ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

238

กระทู้

469

โพสต์

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-1-10 19:19:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หากเราอยากเป็นอะไร ก็ต้องทำอย่างนั้น อยากไปไหนก็ได้ อยากเป็นคนรวยก็หมั่นทำทาน อยากไปสวรรค์ ก็ต้องมีหิริโอตตัปปะจาคะ ก็ต้องทำเอง อยากไปพระนิพพานก็ต้องไปเอง ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะไม่มีใครเป็นที่พึ่งของเราได้เลย นอกจากตนเอง

จากพระบาลีจะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ใหญ่ กรรมเป็นใหญ่ จากพระคาถาข้างต้น จึงเป็นข้อยืนยันว่า พระองค์บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น ทำเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แผ่เมตตาบารมีธรรมไปเพื่อเกื้อกูล ชี้ทาง ถ้าตนเองทำชั่ว ตนก็เศร้าหมองเอง ถ้าตนไม่ทำชั่ว ตนก็หมดจดเอง ให้สิทธิเสรีภาพ ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก มีศาสดาไหนไหมที่จะบอกทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงถ่ายทอดหมดจด พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และยื่นความเป็นอรหันต์ให้ทุกคนจึงตรัสว่า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเป็นเราตถาคต คือต้องตรัสรู้เหมือนกันคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ญาณต่างๆ ก็เห็นเหมือนกัน พระองค์ได้แก้วมณีโชติรสอย่างไร ก็ทรงนำมายื่นให้เราท่านทั้งหลายเหมือนกันหมด นี่แหละพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์ตนหรือ ไม่ต้องแล้ว เพราะพระองค์บรรลุแล้ว ทรงทำเพื่อประโยชน์ท่านหรือ ท่านไหนล่ะ ไม่มี เพราะเราไม่มีโคตร เราปราศจากโคตร ทรงทำประโยชน์เกื้อกูลเพื่อเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้น พระธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์นั้นจึงเป็นพุทธภาษิตอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเรียกว่า พระพุทธพจน์ การกล่าวตู่พระพุทธพจน์จึงเป็นบาปอย่างยิ่ง เพราะผู้พูดนั้นสะอาดบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง นอกจากนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นมนุษย์ต้องหมั่นทำบุญบ่อยๆ เพราะว่า บุญคือการพัฒนาตน บุญคือการพัฒนากาย บุญคือการพัฒนาใจ

บุญจึงไม่จำเป็นต้องใช้สตางค์อย่างเดียว ใช้จิตใจสำคัญที่สุด เพราะมีเงินล้นฟ้าก็หาเข้าพระนิพพานไม่ แต่อาศัยให้เป็นเหตุปัจจัย บุญที่เราทำทานได้เป็นเนื้อนาตรี เพื่อจะได้ผลักไปเป็นเนื้อนาบุญอันเอกของโลก เป็นศาสนทายาท น่าชื่นใจ ทุกวันนี้เราเป็นทายาทกรรม ทำกรรมดีก็เป็นทายาทกรรมดี ทำกรรมชั่วก็เป็นทายาทกรรมชั่ว มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แต่ผู้เดินตามทางพระพุทธเจ้า เป็นศาสนทายาท สืบต่อพระพุทธศาสนาคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คนเราก็มีจินตนาการ มีความเพ้อฝัน มีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่ถ้าเราเอาความดีมาคิดว่า เราควรจะเป็นอย่างไร เมื่อมีโอกาสเลือกแล้ว เลือกให้ดีที่สุดซิ ชีวิตมีไว้ให้เลือกทำ ไม่ใช่ให้เลือกใช้ ลองคิดใหม่เราจะเป็นทายาทกรรมต่อไปไหม หรือจะเป็นศาสนทายาท

แล้วในหลักความจริง ไม่มีใครหรอกที่ทำไม่ได้ ผลของความเพียรมีอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าที่มีอยู่ก็เพราะผลของความเพียร เรามีความเพียรเหมือนกัน แต่มีผลของความเพียรไม่เหมือนกัน แต่บัดนี้เราตั้งใจเสียที่จะเพียรละ เพียรระวัง เพียรสร้าง เพียรรักษา แล้วผลของความเพียรจะทำให้เราถึงซึ่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่เกิดอีกต่อไป .


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-4-19 19:41 , Processed in 0.083909 second(s), 19 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้