Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
ขันติวาทิชาดก
สลักธรรม 1เมื่อโตขึ้นได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักศิลา
แล้วรวบรามทรัพย์สมบัติตั้งตัว
เมื่อบิดามารดาล่วงลับไปจึงมองดูกองทรัพย์แล้วคิดว่า...
ญาติทั้งหลายของเรา
ทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นแล้วไม่ถือเอาไปเลย
แต่เราควรจะถือเอาทรัพย์นั้นไป
จึงจัดแจงทรัพย์ทั้งหมดให้ทรัพย์แก่คนที่ควรให้
ด้วยอำนาจการให้ทาน แล้วเข้าไปบวชที่ป่าหิมพานต์
เลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปด้วยผลาผลไม้อยู่เป็นเวลาช้านาน
เมื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยวจึงไปยังถิ่นมนุษย์
ถึงนครพาราณสีโดยลำดับ แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน.
วันรุ่งขึ้น เที่ยวภิกขาจารไปในนคร
ถึงประตูนิเวศน์ของเสนาบดี
เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของพระโพธิสัตว์นั้น
จึงให้เข้าไปยังเรือนโดยลำดับ
ให้บริโภคโภชนะที่เขาจัดไว้เพื่อตน
ให้รับปฏิญญาแล้วให้อยู่ในพระราชอุทยานนั้นนั่นเอง.
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์
มีนางนักสนมห้อมล้อมเสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่
ให้ลาดพระที่บรรทมบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล
แล้วบรรทมเหนือตักของหญิงที่ทรงโปรดคนหนึ่ง
หญิงนักฟ้อนทั้งหลายผู้ฉลาดในการขับร้อง การประโคม และการฟ้อนรำ
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 08:55:40 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
สลักธรรม 2พระเจ้ากลาปุได้มีสมบัติดุจของท้าวสักกเทวราช
ก็ทรงบรรทมหลับไป ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นพากันกล่าวว่า
พวกเราประกอบการขับร้องเป็นต้น
เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด
พระราชานั้นก็ทรงบรรทมหลับไปแล้ว
ประโยชน์อะไรแก่พวกเรา ด้วยการขับร้องเป็นต้น
จึงทิ้งเครื่องดนตรีมีพิณเป็นต้นไว้ในที่นั้น ๆ เอง
แล้วหลีกไปยังพระราชอุทยาน ถูกดอกไม้ ผลไม้
และใบไม้เป็นต้นล่อใจ จึงอภิรมย์อยู่ในพระราชอุทยาน.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ดุจช้างซับมันตัวประเสริฐ
ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในบรรพชาอยู่ ณ โคนต้นสาละ
มีดอกบานสะพรั่งในพระราชอุทยานนั้น.
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นหลีกไปยังพระราชอุทยาน
แล้วเที่ยวไปอยู่ ได้เห็นพระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวกันว่า
มาเถิดท่านทั้งหลาย
พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราเป็นบรรพชิตนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
พวกเราจักนั่งฟังอะไร ๆ ในสำนักของพระผู้เป็นเจ้านั้น
ตราบเท่าที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม
จึงได้ไปไหว้นั่งล้อมแล้วกล่าวว่า
ขอท่านโปรดกล่าวอะไร ๆ ที่ควรกล่าวแก่พวกดิฉันเถิด
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 09:01:39 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
สลักธรรม 3พระโพธิสัตว์จึงกล่าวธรรมแก่หญิงเหล่านั้น
ครั้งนั้นหญิงคนนั้นขยับตัวทำให้พระราชาตื่นบรรทม
พระราชาทรงตื่นบรรทมแล้วไม่เห็นหญิงพวกนั้น จึงตรัสว่า
พวกหญิงถ่อยไปไหน ? "
หญิงคนโปรดนั้นกราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง"
พระราชาทรงกริ้ว ถือพระขรรค์ได้รีบเสด็จไปด้วยตั้งพระทัยว่า
จักตัดหัวของชฎิลโกงนั้น"
ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นเห็นพระราชาทรงกริ้วกำลังเสด็จมา
ในบรรดาหญิงเหล่านั้น หญิงคนที่โปรดมากไปแย่งเอาพระแสงดาบ
จากพระหัตถ์ของพระราชาให้พระราชาสงบระงับ
พระราชานั้นเสด็จไปประทับยืนในสำนักของพระโพธิสัตว์แล้วตรัสถามว่า
สมณะ แกมีวาทะว่ากระไร ?
พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ"
พระราชา ที่ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร ?"
พระโพธิสัตว์ คือความไม่โกรธในเมื่อเขาด่า ทำร้าย หรือเย้ยหยัน"
พระราชาตรัสว่า ประเดี๋ยวเราจักเห็นความมีขันติของแก
แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมา
เพชฌฆาตนั้นถือขวานและแซ่หนามตามจารีตของตน
นุ่งผ้ากาสาวะสวมพวงมาลัยแดงมาถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จะทำอะไร พระเจ้าข้า ?
พระราชาตรัสว่า เจ้าจงจับดาบสชั่วเยี่ยงโจรนี้
ฉุดให้ล้มลงพื้นแล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้งในข้างทั้งสี่
คือข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้าง ๆ ทั้งสองด้าน
เพชฌฆาตนั้นได้กระทำเหมือนรับสั่งนั้น
ผิวของพระโพธิสัตว์ขาด หนังขาด เนื้อขาดโลหิตไหล
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 09:04:50 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
สลักธรรม 4พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร ?"
พระโพธิสัตว์ทูลว่ามหาบพิตร อาตมามีวาทยกย่องขันติ
ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมาหรือ ?
ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของอาตมา,
มหาบพิตร ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย
ซึ่งพระองค์ไม่อาจแลเห็น
เพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าพระองค์จะทำอะไร ?
พระราชาตรัสว่า จงตัดมือทั้งสองข้างของดาบสโกงผู้นี้
เพชฌฆาตนั้นจับขวานตัดมือทั้งสองข้างแต่ข้อมือ.
ทีนั้น พระราชาตรัสกะเพชฌฆาตนั้นว่า จงตัดเท้าทั้งสองข้าง
เพชฌฆาตก็ตัดเท้าทั้งสองข้าง
โลหิตไหลออกจากปลายมือและปลายเท้า
เหมือนรดน้ำครั่งไหลออกจากหม้อทะลุฉะนั้น
พระราชาตรัสถามอีกว่า
เจ้ามีวาทะว่ากระไร ?"
พระโพธิสัตว์ทูลว่า
มหาบพิตรอาตมามีวาทะยกย่องขันติ
ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมาหรือ ?
ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้ เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันสถานที่ลึกซึ้ง.
พระราชานั้นตรัสว่า จงตัดหูและจมูกของดาบสนี้
เพชฌฆาตก็ตัดหูและจมูก ทั่วทั้งร่างกายมีแต่โลหิต
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 09:07:57 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
สลักธรรม 5พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะกระไร ?
พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ
แต่พระองค์ได้สำคัญว่า ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหูปลายจมูก
ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก
พระราชาตรัสว่า เจ้าชฏิลโกง เจ้าจงนั่งยกเชิดชูขันติของเจ้าเถิด
ว่าแล้วก็เอาพระบาทกระทืบยอดยกแล้วเสด็จหลีกไป
เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว
เสนาบดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระโพธิสัตว์
แล้วเก็บรวบรวมปลายมือปลายเท้า ปลายหู และปลายจมูกไว้ที่ชายผ้าสาฎก
ค่อย ๆ ประคองให้พระโพธิสัตว์นั่งแล้วไหว้
ได้นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจะโกรธ ควรโกรธพระราชาผู้ทำผิดในท่าน ไม่ควรโกรธผู้อื่น
เมื่อจะอ้อนวอนจึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ผู้ใดให้ ตัดมือ เท้า หู และจมูกของท่าน
ท่านจงโกรธ ผู้นั้นเถิด อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของอาตมภาพ
ขอพระราชา พระองค์นั้นจงทรงพระชนม์ยืนนาน
บัณฑิต ทั้งหลาย เช่นกับอาตมภาพย่อมไม่โกรธ เคืองเลย.
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 09:11:22 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
สลักธรรม 6ในกาลที่พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ลับสายตาของพระโพธิสัตว์เท่านั้น มหาปฐพีอันหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์นี้ก็แยกออก ประดุจผ้าสาฎกทั้งกว้างทั้งแข็งแตกออกฉะนั้น.
เปลวไฟจากอเวจีนรก แลบออกมาจับพระราชา เหมือนห่มด้วยผ้ากัมพลแดงที่ตระกูลมอบให้ พระราชาเข้าสู่แผ่นดินที่ประตูพระราชอุทยานนั่นเอง แล้วตั้งอยู่เฉพาะในอเวจีมหานรก
แม้พระโพธิสัตว์(ขันติวาทีดาบส)ก็มรณภาพในวันนั้นเอง
ราชบุรุษและชาวนครทั้งหลายถือของหอม ดอกไม้ ประทีปและธูป มากระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์.
มีอภิสัมพุทธคาถาทั้งสองคาถานี้อยู่ว่า
สมณะผู้สมบูรณ์ด้วยขันติ ได้มีมาใน อดีตกาลนั้นแล้ว
พระเจ้ากาสีได้รับสั่งให้ห้ำหั่นสมณะนั้นผู้ดำรงอยู่เฉพาะในขันติธรรม พระเจ้ากาสีหมกไหม้อยู่ในนรก เสวย วิบากอันเผ็ดร้อนของกรรมที่หยาบช้านั้น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ขี้โกรธบรรลุพระอนาคามิผล.
พระเจ้ากาสีพระนามว่ากลาปุในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต
เสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร
ส่วนดาบส ผู้มีวาทะยกย่องขันติในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
โดย พี่เณร...นำมาฝาก [2 ม.ค. 2557 , 09:16:55 น.] ( IP = 58.9.203.52 : : )
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |