มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


คนมีครู ผู้มีทาง




คนมีครู ผู้มีทาง


เดือนนี้มีโอกาสได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนา ณ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อยเพียงแค่ ๓ วัน วันสุดท้ายพอออกจากห้องปฏิบัติแล้ว ได้ไปนั่งที่เรือนท่านพระอาจารย์บุญมี นอกจากเพื่อถวายกุศลเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว ก็เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณท่านที่เป็นเสมือนร่มโพธิ์ให้กับพวกเราได้เข้ามาพักอาศัยเพื่อฝึกหัดสร้างสมบ่มสติให้อยู่ในเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์

สำหรับครั้งนี้ความรู้สึกซึ้งใจที่มีต่อท่านอาจารย์นั้นมีมากเป็นล้นพ้น อาจสืบเนื่องมาจากวันอาทิตย์ผ่านมาที่ท่านอาจารย์ได้นำพวกเราไหว้ครูก่อนเปิดเรียนปริเฉทที่ ๑ ของชั้นเรียนใหม่ ซึ่งทุกคนต่างยอมรับว่า พิธีในวันนั้นดูทั้งขลังและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด นับตั้งแต่การสวดพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ ๙ รูป แล้วพอตกบ่ายท่านอาจารย์ได้นำน้ำมนต์นั้นไปประพรมบนใบแก้ว(๓ ใบ)อันเป็นสัญญลักษณ์ของการขอถึงซึ่งพระรัตนตรัยที่พวกเราจะนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

จากนั้นอาจารย์ได้นำพวกเรากล่าวปฏิญาณตนถวายชีวิตแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อความแต่ละตอน ไม่ว่าจะเป็นการขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์....ให้มาเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตจนกว่าจะถึงพระนิพพานนั้น หรือแม้พระบาลีที่พวกเราต่างเปล่งวาจาออกจากใจตามท่านอาจารย์ว่า

อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจฺจะชามิ

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอสละอัตตภาพร่างกายนี้ แด่พระองค์ …


ตลอดจนคำอธิษฐานที่แสนไพเราะและกินใจทุกๆคน (ซึ่งน้องกิ๊ฟได้นำมาลงแล้วในกระทู้ที่ 11111 ) จวบจนกระทั่งพิธีสมัครตนขอเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์บุญมี ด้วยการประกาศให้เหล่าเทพยดาทั้งหลายและครูบาอาจารย์ (มีหลวงพ่อเสือเป็นประธาน) ได้รับรู้และอนุโมทนาว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราทั้งหลายต่างจะทุ่มเทชีวิตมาแสวงหาปัญญา เพื่อนำไปไขปัญหาชีวิตให้กระจ่างแจ้ง ด้วยการมาศึกษาเล่าเรียนเพียรทำความเข้าใจในพระอภิธรรม รวมทั้งจะพยายามกระทำธุระทั้งสอง คือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ ให้เกิดประโยชน์ตนอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้เพื่อมุ่งตรงต่อเส้นทางอันจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน

โดย วยุรี สุวรรณอินทร์ [14 มี.ค. 2557 , 09:10:43 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

ภาพลูกศิษย์แต่ละคนที่ทะยอยเข้าไปกราบ และรับใบแก้วในพานหน้าท่านอาจารย์บุญมีนั้น ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก จนเมื่อถึงคิวของตนเอง... พอรับมาแล้วเกิดความตื้นตันใจอย่างที่สุดเมื่อนึกถึงคำพูดท่านอาจารย์บุญมีที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า

“หนู....ดีนะที่พาชีวิตมาอยู่อย่างนี้ มาศึกษาความจริง พระอภิธรรมสอนให้เรารู้จักความจริง....น้อยคนนักที่จะทำอย่างนี้ได้ คนเราหากไม่มีบุญไม่มีวาสนามาแล้ว จะมาอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก….” น้ำเสียงที่เจือด้วยความกรุณาที่ท่านมีต่อทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน จะมีอายุอ่อน แก่สักเท่าไร ทุกคนต่างเป็น “หนู” (ที่มีบุญ) ของท่านอาจารย์บุญมีทั้งสิ้น

มาวันนี้รู้สึกดีใจที่เราผู้เป็นศิษย์ได้มากระทำตามสัจจะที่ได้อธิษฐานไว้ต่อหน้าพระอาจารย์ผู้ที่เรามอบกายถวายชีวิตไว้เป็นศิษย์แล้ว ยิ่งนึกถึงคำพูดที่อาจารย์บอกว่า สิ่งที่พวกเราได้ทำในวันนั้นเป็นนิมิตหมายบอกให้รู้ว่าทั้งชาตินี้และชาติหน้าเราจะไม่ไกลจากรัศมีพระธรรม เพราะนั่นคือการประกาศใจตนเองว่าเราจะมาคลี่คลายความมืดของชีวิต ด้วยการแสวงหาแต่ความสว่างในเรื่องชีวิต ทั้งสว่างในปัญญา สว่างในเส้นทาง และในที่สุดความสว่างนั้นก็จะพาชีวิตพวกเราให้จบสิ้นจากทุกขเวทนาได้ในที่สุด …

โดย วยุรี สุวรรณอินทร์ [14 มี.ค. 2557 , 09:13:25 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 2

จะว่าไปแล้ว...ได้รู้จักท่านอาจารย์บุญมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๙ และในปีนั้นก็ได้เข้ารับการอบรมพระอภิธรรม หลักสูตรเร่งรัด ๑ สัปดาห์ ที่ทางมูลนิธิจัดให้กับครูกรมสามัญศึกษาและผู้ที่สนใจ ทำให้ได้รู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ผู้บรรยายหลายคนมักเรียกสั้นๆ ว่า จิ เจ รุ นิ และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการสนใจพระอภิธรรม แต่ครั้งนั้นก็เข้าเรียนอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่จะเข้าเรียนแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากับหลวงพ่อเสือมากกว่า แต่ความรู้สึกที่มีต่อท่านอาจารย์บุญมีนั้นเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส เพราะทุกเสาร์อาทิตย์จะติดรถเพื่อนไปรับส่งท่านเป็นประจำ การได้สนทนากับท่านทำให้ประจักษ์ในคุณธรรม และความเมตตาของท่านที่มีต่อเพื่อนมนุษย์มาก

ทุกวันที่ได้ไปมูลนิธิจะเห็นภาพท่านนั่งให้คำปรึกษาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก(นอกเวลาสอนของท่าน)ในห้องเล็กๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีปัญหา ท่านจะใช้เวลาคุยธรรมะจนเขาคลี่คลายความทุกข์ใจลงไปได้ ไม่เคยเห็นท่านมีเวลาว่าง เมื่ออยู่คนเดียวท่านจะใช้เวลาเขียนหนังสือ ต้องบอกว่ายิ่งใกล้ท่านก็ยิ่งซาบซึ้งกับการทุ่มเทชีวิตที่ท่านมีให้กับพระอภิธรรม เพราะ...แม้ในบั้นปลายชีวิตขนาดอาพาธหนักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มือไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ท่านก็ยังสู้อุตส่าห์บอกให้เขียน (ซึ่งตอนนั้นจะใช้เวลาหลังเลิกสอนหนังสือไปช่วยเขียนตามคำบอกของท่าน และทุกครั้งที่ไปจะพบว่าท่านนั่งคอยอยู่แล้ว)

วันนั้น...อดนึกถึงพระอาจารย์บุญมี(สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) ภาพของท่านที่นั่งอยู่หน้ากุฏิที่พัก บนโต๊ะเก่าๆ มีกระดาษปึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายมือของท่านเอง (ที่เขียนเพื่อนำไปพิมพ์ลงวารสาร ก่อนที่จะมาเป็นรูปเล่มของหนังสือต่างๆที่เราเห็นกันในวันนี้)...ก่อนหน้านี้เวลาออกจากห้องปฏิบัติแล้วต้องไปกราบท่าน แล้วท่านก็จะสอบอารมณ์ให้ แม้ช่วงที่ท่านป่วยปีสุดท้ายเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ ยังได้ไปลา และขอพรจากท่านว่าจะไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ จ.กาญจนบุรี และพอวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ท่านก็มรณภาพจากพวกเราไป คงเหลือไว้แต่ร่มโพธิ์ คือมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ (ให้พวกเราได้เข้ามาอาศัยเป็นที่พักใจ และศึกษาหาความจริง) พร้อมอาจารย์บุษกร เมธางกูร บุตรสาวไว้เป็น(ครู)ตัวแทนของท่าน.... ให้กับพวกเราทุกๆ คน

โดย วยุรี สุวรรณอินทร์ [14 มี.ค. 2557 , 09:15:55 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 3

วันนั้น....อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีพระอาจารย์บุญมีแล้ว(ก็คงไม่มีมูลนิธิฯ ...ไม่มีอาจารย์บุษกร ...ไม่มีหลวงพ่อเสือ ....ไม่มีอาจารย์วิชิต) วันนี้ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร คงคลุกเคล้าหลงระเริงอยู่กับกิเลสเช่นเดิมๆ แล้วก็ยังคงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราต่างมี ต่างทำนั้นล้วนเป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น คำว่ามืดบอดต่อรัศมีพระธรรมที่เราต่างไม่ต้องการนั้น กลับกลายเป็นว่าเรากำลังสร้างหนทางนั้นอยู่ ....คิดไปแล้วมันช่างน่ากลัวที่สุด เพราะการกระทำ(กรรมส่วนใหญ่)เหล่านั้นล้วนฉุดเราลงสู่ที่ต่ำทั้งสิ้น

แต่วันนี้(ที่เรามีการไหว้ครู)....ดูน่าภูมิใจยิ่งนักที่ชีวิตของเรา(ลูกศิษย์ทุกคน)ได้แตกหน่อใหม่ที่ต่างไปจากอดีต เพราะบัดนี้เราต่างมาลิขิตชีวิตใหม่ให้เป็น “คน(ที่)มีครู (ศิษย์)ผู้มีทาง” กันแล้ว เมื่อพูดถึงครู หลายๆท่านอาจคิดว่า กว่าจะมาถึงวันนี้คนทุกคนต้องผ่านการมีครูที่สอนวิชาการต่างๆให้กับเราแล้ว ...แต่อยากจะบอกว่าครูเหล่านั้นไม่เหมือนครูที่เรามีในวันนี้ เพราะ ครู (ในอดีต-ทางโลก) ที่เรามีนั้น อาจมากมายนับเป็นร้อยจนจำกันได้ไม่หมด แค่ ๑ ชั้นเรียนก็มีหลายคนที่ผลัดเปลี่ยนกันมาสอนวิชาต่างๆ แค่ครู (ในปัจจุบัน-ทางธรรมของเรา)นั้น หากลองนับเวลาที่เรามามูลนิธิ จะกี่เดือนกี่ปี ครูก็ยังคงเป็นครูคนนี้ คือ ครูคนเดิม ครูหน้าเดิม และเป็นครูที่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้เหมือนเดิม



ยี่สิบสองปีผ่านมาแล้ว ....ยามที่มีทุกข์ ครูคนเดิมหน้าเดิมนี้แหละ ที่คอยมาปลอบปลุกให้คลายเศร้า เร่งเร้าให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้ต่อไป นานาธรรม(มะ)ที่ท่านนำมาสอน เพียงเพื่อให้เรายอมรับความเป็นจริง ท่านคอยเป็นแสงสว่างส่องเข้าสู่ใจในยามที่มืดมน ทำให้เรามองเห็นเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ท่านคอยเป็นราวให้ยึดเกาะในยามที่เรามีพายุวิบากมากระหน่ำ และท่านคอยตอกย้ำให้เราเห็นว่า ความอดทนเท่านั้นจะช่วยให้เราผ่านวิกฤติการณ์ของชีวิตไปได้



หลายๆครั้งที่ท่านนำชีวิตของท่านมาเป็นแบบอย่างให้เราเห็น เพราะแม้ยามเจ็บป่วยท่านก็ยังเป็นผู้นำในการพาเราไปทำกุศลตามที่ต่างๆ บางครั้งพอเสร็จงานลูกศิษย์ต้องช่วยกันหามท่านมาปฐมพยาบาล หรือส่งโรงพยาบาล แม้การผ่าตัดหลายครั้งที่ผ่านมาท่านก็ยังได้นำสิ่งที่ประสบนั้นมาเป็นอุปกรณ์การสอนพระอภิธรรมให้กับพวกเราได้เข้าใจความจริงของชีวิต



ลูกศิษย์หลายๆคน ยอมรับว่า เมื่อได้มีครูผู้นี้ก้าวเข้ามาในชีวิต ท่านทำให้เรามีกำลังใจ มีความอดทน มีเมตตา ฯลฯ ซึ่งสรุปได้ว่า ท่านทำให้พวกเรารักที่จะทำความดี และพร้อมที่จะใช้ชีวิตเดินไปในหนทางที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม ท่านไม่เพียงแค่สอนพระอภิธรรมอย่างที่หลายๆคน(ที่ไม่ได้มาที่มูลนิธิ)นึกคิดเท่านั้น แต่ท่านสอนให้เราได้รู้จัก(กาละเทศะ)ว่า ...เมื่อเราอยู่ในสังคม(ชุมชน)แบบใด เราควรวางตัวอย่างไร ไม่ใช่ว่ามาเรียนธรรมะแล้ว จะต้องปฏิเสธเรื่องทางโลกไปทั้งหมด

โดย วยุรี สุวรรณอินทร์ [14 มี.ค. 2557 , 09:20:27 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 4

มีครั้งหนึ่ง หากจำไม่ผิดคิดว่าวันนั้นเป็นวันเด็ก ในตอนกลางคืนท่านพาสมาชิกชมรมละกิเลสออกปฏิบัตินอกสถานที่ เริ่มจากไปไหว้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ ....แล้วเดินทางไปยังอนุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่สะพานพุทธ....พระบรมรูปทรงม้า (รัชกาลที่ ๕) ในแต่ละที่นั้นท่านได้นำประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่สงคราม ๙ ทัพ เป็นต้น....อีกวีรกรรมต่างๆ รวมทั้งคุณูประโยชน์ที่เหล่าบูรพกษัตริย์ได้สร้างไว้ให้แผ่นดินไทยซึ่งเป็นที่ที่เราได้อาศัยอยู่จนทุกวันนี้ ...

สุดท้ายในคืนนั้น(ประมาณเที่ยงคืน)ท่านได้พาพวกเราพร้อมจิตที่เปี่ยมไปด้วยกุศลไปหมอบกราบที่ข้างวัดเบญจมบพิตรฯ (ด้านคลอง)โดยหันหน้าไปทางสวนจิตรดารโหฐานเพื่อน้อมถวายกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ....



นอกจากในประเทศแล้ว ท่านยังได้พาลูกศิษย์ไปสักการะสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย ตลอดจนสถานที่ต่างๆในประเทศพม่า ซึ่งการนำอธิษฐานของท่านในแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน แต่ทุกที่ล้วนโน้มน้าวจิตใจพวกเราให้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น



ดังนั้นสิ่งที่ท่านนำให้พวกเราได้กระทำต่างๆเหล่านั้น ล้วนกระตุ้นความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจอย่างไม่รู้เลือน ...ทั้งหมดที่กล่าวนี้ คือส่วนที่น้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่ได้รับ(ประโยชน์)จากท่านอาจารย์จริงๆ



ด้วยเหตุนี้เองจึงกล้าที่จะพูดว่า ครูของเราท่านนี้ ไม่เหมือนคุณครูที่ผ่านๆมาในชีวิตที่พวกเราได้พบ ....และแม้ในวันนั้น ครูท่านนี้ก็พาเราไหว้ครู พระผู้ก่อสร้างฯ ผู้ทำให้ชีวิตเราได้สัมผัสกับธุระในทางพระพุทธศาสนา คือคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ เพราะมูลนิธิฯมีครบทั้งสถานที่เรียน คือ สถานที่ของสำนักงานใหญ่ที่พุทธมณฑลสาย ๔ และสถานที่ปฏิบัติ คือ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งว่า ชีวิตเราตอนนี้มีทั้งครู และมีทั้งทาง (แห่งความดี ...ที่ครูเป็นผู้ชี้ให้เราได้เดิน เพื่อเป้าหมายคือความสิ้นสุดทุกข์) ดังชื่อเรื่องที่ว่า คนมีครู ผู้มีทาง (คือพวกเราทุกคน)นั่นเอง

<

โดย วยุรี สุวรรณอินทร์ [14 มี.ค. 2557 , 09:23:58 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 5

คำว่า ..ศิษย์มีครู ผู้มีทาง.. ก่อให้เกิดความอบอุ่นใจอย่างมาก เพราะแสดงถึงความใกล้ชิดและความไม่เปลี่ยวร้างในการศึกษาหาความรู้

พิธีไหว้ครูที่ผ่านพ้นไป...นอกจากจะน้อมใจของศิษย์ทั้งปวงให้เกิดความกตัญญูรู้ในคุณที่แต่ละท่านได้เสียสละ และความปรารถนาดีที่ท่านมีในหัวใจแล้ว ยังเป็นเสมือนการสร้างเข็มทิศให้เหล่าศิษย์ผู้เข้ามาศึกษามีแนวทางการหาความรู้ที่ถูกต้อง และมีกำลังใจที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้นด้วยความหวังอันสดใส

กราบอนุโมทนาในกุศลของทุกท่านที่ได้ร่วมพิธี และขอบพระคุณพี่วยุรีมากค่ะที่นำเรื่องราวมาทบทวนให้อบอุ่นอยู่ในบุญอีกครั้ง

โดย น้องกิ้ฟ [14 มี.ค. 2557 , 09:25:18 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 6

จุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาก็คือ การถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน การที่จะบรรลุเป้าหมายที่ปรารถนานั้นเป็นสิ่งที่ยากเพราะด้วยกำลังสติปัญญาที่มีน้อยนิด ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ด้วยตามกำลังของตนเอง

จึงจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีครู ครูผู้รู้ที่จะถ่ายทอดและสอนให้รู้จักเส้นทางเดินที่ถูกต้อง เป็นแสงสว่างให้กับชีวิตในแต่ละชาติๆ

นับว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสมาที่มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ ทำให้ได้มีโอกาสพบครูหลายๆ ท่าน ที่พร้อมสอนให้ความรู้ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ

กราบขอบพระคุณครูทุกๆ ท่านค่ะ

โดย เซิ่น [14 มี.ค. 2557 , 09:26:51 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )


  สลักธรรม 7


ดีใจที่ได้มีโอกาสเป็นศิษย์มีครู ที่อภิธรรมมูลนิธิแห่งนี้ค่ะ

ครูมีบุญคุณ จะต้องเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า


ขอก้มกราบแทบเท้าบูชาครูทุกท่าน ด้วยสำนึกในพระคุณครู ที่ชี้ทางสว่างให้แก่ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ค่ะ

โดย พี่ดา [14 มี.ค. 2557 , 09:28:14 น.] ( IP = 171.97.91.158 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org