มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


ธรรมนคร (๑๙)








ธรรมนคร (๑๙)

ธรรมบรรยายจากศาลาเสือพิทักษ์ โดย หลวงพ่อเสือ


ธรรมนคร (๑๘)


กรณีที่สังขารุเปกขาญาณของโยคาวจรผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่สามารถจะพบพระนิพพานได้ง่ายๆ ย่อมเป็นเพราะกรณีที่สำคัญที่เป็นเครื่องหมายยืนยันได้ด้วยโอวาทของพระพุทธเจ้าได้ทรงมีความลุ่มลึกสุขุมคัมภีรภาพแสดงอรรถพยัญชนะไว้ แล้วพระสารีบุตรเป็นผู้ปราดเปรื่องมาก รู้ไปร้อยนัยพันนัย ทำไมพระสารีบุตรสำเร็จหลังลูกน้อง ก็เพราะพระสารีบุตรเป็นพหูสูตร ฟังอะไรคราวเดียวไม่ได้ตัดสินใจเชื่อ ฟังอะไรก็พิจารณาใคร่ครวญมาก ว่าเป็นอย่างนั้นได้ไหม อย่างนี้ได้ไหม

ฉะนั้น ด้วยบารมี และแรงอธิษฐานมาประกอบกัน แต่เวลาพระองค์รู้ก็จะรู้มากกว่าคนอื่นไป เหมือนกรรมใดที่พระพุทธองค์กล่าวว่าเป็นอันตรายต่อมรรคผลนิพพาน กรรมนั้นจะปรากฏเป็นพญามารทันที คอยห้ามมรรคผลนิพพาน ไม่ให้อุบัติเกิดขึ้น คอยเป็นอุปสรรคขัดขวางเต็มที่เอาในตอนนี้ เช่นใน ปริกุปปสูตร

สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อน เธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคล ๕ พวก ผู้ต้องไปอบาย ต้องไปนรก ต้องเดือดร้อน แก้ไขไม่ได้ บุคคล ๕ พวกนี้คือ

บุคคลผู้ที่ฆ่ามารดา

บุคคลผู้ที่ฆ่าบิดา

บุคคลผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์

บุคคลผู้ประพฤติทุจริตทำพระโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ

บุคคลผู้ทำสังฆเภท คือ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 06:52:42 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1




ดูก่อน เธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคล ๕ จำพวก ผู้ต้องไปอบาย ต้องไปนรก ต้องเดือดร้อน แก้ไขไม่ได้นี้เป็นผู้มีวาสนาชะตาเสียอย่างร้าย จะต้องตามพุทธฏีกาที่ว่าไว้อย่างนี้ แม้จะมีศรัทธามากมายมาอุดหนุนจุนเจือ แม้จะมีอุตสาหะวิริยะ บำเพ็ญตบะเดชะพลวปัจจัยอย่างไรก็แล้วแต่เพื่อพระวิปัสสนากรรมฐาน อย่างอาจหาญไม่กลัวเอาชีวิตเข้าแลกเปลี่ยนเลย ยิ่งยวดเพียงใด ก็ไม่สามารถผ่านสังขารุเปกขาญาณเข้าสู่สันติบทได้ง่ายเลย

เพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นเป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม) ห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามนิพพานอย่างเด็ดขาด ตรงนี้แหละจึงไม่สามารถ จะผ่านพระวิปัสสนาญาณนี้ไปสู่พระนิพพานได้ง่ายๆ

กรรมชั่วเช่นนี้ เรียกว่า กัมมันตรายคือ กรรมที่ทำอันตรายต่อมรรคผลนิพพาน เป็นกรรมหยาบช้า เลวมาก ที่เคยทำ และนำสู่อบายแน่นอน แต่ก็มีโอกาสมรรคผล นิพพาน โดยเวียนว่ายตายเกิดไป ค่อยๆ แก้ไข ค่อยๆ แก้ปม แต่ก็ต้องหมั่นคบคนดี ฟังธรรม มาหลายๆ ชาติ แต่เศษกรรมยังอยู่ เวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้เท่าไหร่ คือ ตกนรกก่อนแล้วเวียนว่ายตายเกิดไป แต่มีโอกาสถึงมรรคผลในอนาคตอันไกลโพ้น แต่นิยตมิจฉาทิฏฐิ น่ากลัวกว่า

ฉะนั้น เป็นบุญเท่าไหร่แล้วที่ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี้ ได้มีโอกาสฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือสร้างสัมมาทิฏฐิ ที่เรามาเรียนรู้กัน เรื่อง จิต เจตสิก รูป นี่คือ เรียนรู้ เรื่องตัวเองทั้งสิ้น เรียนเรื่องสภาวธรรม เรียนทางที่ทำให้เกิดพันธะระหว่างเรากับพระธรรม ทำให้เห็นถูก ทำลายนิยตมิจฉาทิฏบิออกไป เพราะก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้ามีทิฏฐิตั้ง ๖๒ ชนิด

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 06:54:02 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : )


  สลักธรรม 2




ส่วนกรรมที่มีโทษรองลงมาจากอนันตริยกรรม ท่านกล่าวว่า คือ การที่ทุบตีพ่อแม่เอาไว้ บิดามารดา มีไว้ยกมือไหว้ ไม่ถึงกับฆ่าให้ตายด้วยความโหดร้าย ก็เป็นอันตรายต่อมรรคผลนิพพานเหมือนกัน มีความสามารถกางกั้นให้โยคาวจรบุคคล ไม่สามารถพ้นไปจากสังขารุเปกขาญาณได้ วนอยู่ตรงนี้ เรียกว่า ขมาปนกิจ คือมีทางแก้ไขได้ คือ เมื่อรู้ว่าตนเองประพฤติ บาปหยาบช้า ก็ไปทำขมาปนกิจซะ ไปขอขมาท่าน ไปกราบเท้า ขอให้ท่านงดโทษให้ แล้วตั้งตนเองไว้ชอบ ตั้งแต่นั้นจะไม่ทำอีกเลย แล้วอุปการะเลี้ยงดูท่าน เช่นนี้เรียกว่าทำขมาปนกิจ

โยคาวจรผู้ประสบอุปสรรคเช่นนี้ จะต้องออกจากห้องกรรมฐาน ถ้าเผื่อรู้นะ เช่น ขณะนั้นกำลังได้สังขารุเปกขาญาณอยู่ แล้วนึกขึ้นได้ว่าทำไม จิตแล่นไปแล้วก็กลับมาทบทวนอยู่กับที่ โยคาวจรผู้นั้นจะรู้ว่าเรามีอุปสรรคแล้ว จะรู้เฉพาะตนเลย จึงต้องออกจากห้องปฏิบัติไปขอขมา แม้จะเป็นกองกระดูกก็ต้องขอขมาไปบอกกล่าวเสีย แล้วกลับมาปฏิบัติต่อ แม้ท่านตายแล้ว ก็ให้ไปที่ป่าช้า โกฏิ เมรุ เจดีย์ หรือหลุมศพท่าน ไปขอขมา

หากไม่รู้เลยว่าท่านอยู่ที่ไหน ตายแล้วอัฐิอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้า แนะนำว่าให้ไปหาองค์พระปฏิมา พระพุทธรูป

ฉะนั้น เราทุกคนไม่รู้ เวลานั่งหน้าพระพุทธรูป อย่าวอกแวก บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สร้างสรณะ ตั้งจิตชอบประกอบไปด้วยความเพียร ในการตั้งเจตนาเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วกล่าวคำขอขมาหน้าพระพุทธรูป อ้างพระรัตนตรัยเป็นพยานในการทำดี แล้วตั้งใจขอขมาลาโทษ บิดา มารดา ที่ตนได้เคยล่วงเกินไว้ทั้งที่ระลึกรู้ได้และระลึกรู้ไม่ได้ ได้เคยประพฤติกรรมทำชั่ว ผิดบาปหยาบช้ามาในอดีต

ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า เป็นอำนาจกรรมอันยิ่งใหญ่ที่จะกางกั้น มรรค ผล นิพพาน ขอนำพระนิพพานที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายนี้แล และพระคันถะธุระที่ข้าพเจ้าพยายามศึกษาเล่าเรียนนี้ และพระวิริยะอุตสาหะที่ปฏิบัติวิปัสสนานี้ เป็นเครื่องขมาลาโทษ (กล่าวแล้วจบลงไปกับธรณีแล้วกราบซึมซับลงไปว่า ไม่มีใครไม่เคยเป็นพ่อ เป็นแม่ ไม่มีใครไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ กราบขอโทษไปทุกชาติ)

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 06:55:37 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : )


  สลักธรรม 3




ฉะนั้น ไหว้พระให้งาม อย่าทราม แล้วกราบขอขมาไปด้วย..ไม่ใช่ล้างโทษ แล้วก็กลับไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่อ หลังจากนั้น ถ้าไม่มีอุปสรรค อะไรมาขัดขวาง สภาวะญาณก็จะย่างเข้าสู่พระวิปัสสนาญาณเบื้องสูงได้ต่อไป

ดูแล้วเป็นเรื่องไม่ค่อยน่าเชื่อสำหรับผู้มีปัญญาทรามและไม่เคยทำความเพียรทางด้านจิตใจมาก่อน ในเรื่องการขมาปนกิจ หรือการขอขมาอย่างที่กล่าวมานี้ จะมีน้ำหนักในการให้เชื่อถือ ที่จริงพูดอย่างไรก็เชื่อน้อยอยู่ ส่วนผู้ที่เคยปฏิบัติ เคยฝึกหัดทางด้านจิตใจมาก่อน ย่อมไม่มีความสงสัย ว่าทำไมเราทำอะไรต้องมีอุปสรรค เพราะเราเคยทำกรรมอะไรไว้ไม่รู้ นานากรรมเลย แล้วเรียนเรื่องกรรมแล้ว กรรมวิจิตร กรรมที่เบาบางที่สุด...อาจินณกรรม แต่ถามว่าเวลาไปเกิด ก็ไม่ใช่อาจินณกรรมนี้หรือ อย่าสักแต่ว่ากรรมเล็กน้อยนะ

ฉะนั้น กรรมก็เหมือนก้อนหิน ก้อนที่หนักกว่าอย่างอาสันนกรรม ก็ตกถึงน้ำก่อน ชื่อว่ากรรมชั่ว แม้ว่าเล็กน้อย ก็อย่าไปทำลาย ที่ยกมาเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์ว่า การขอขมาการกล่าวคำขอขมาลาโทษ ทรงไว้ซึ่งความสำคัญควรแก่การเชื่อถือสำหรับโยคาวจรที่จะเข้าปฏิบัติทุกครั้งไปหน้าพระปฏิมา บูชาพระรัตนตรัย ตั้งจิตชอบประกอบว่าข้าพเจ้าจะบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐาน แล้วกราบขอขมาลาโทษเสียก่อน กรรมใดที่เคยล่วงเกินไว้ ทั้งที่ระลึกรู้ได้และไม่ได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าจะเข้ากรรมฐาน ขอพระรัตนตรัยจงเป็นสรณะที่พึ่งและเป็นพยานในการทำดีของข้าพเจ้า เอาความดีนี้กราบขอขมาลาโทษ

นี่ก็เป็นแนวให้เห็นว่าตรงนี้ สังขารุเปกขาญาณก็ยังมีอุปสรรค แล้วที่เราปฏิบัติกันมา ๒๐ ปี นามรูปปริจเฉทญาณก็ยังไม่เกิด มันก็ต้องมีอุปสรรคเหมือนกัน แล้วก็ยังมีโทษแห่งการดูหมิ่นอีก ยังมีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ๒ รูป คือ พระมหาเถระผู้มีอายุพรรษามากรูปหนึ่ง กับ พรรษาน้อยรูปหนี่ง พากันไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เช้าวันหนึ่ง นาย ก. เจ้าของร้านบ้านแรกที่ไปถึงได้ถวายข้าวยาคู ใส่ลงในบาตร ประมาณกระบวยหนึ่ง แล้วกลับขึ้นเรือนไป

ในขณะนั้นเองพระมหาเถระชราก็เกิดความปวดท้อง เจ็บในท้อง ขึ้นมาด้วยโรคลม จุก ท่านก็จึงนึกอยู่ในใจว่า อันข้าวยาคูนี้สิเป็นที่สบายแห่งอาตมา คือ อดข้าวมา แล้วลมตีขึ้น อย่ากระนั้นเลย อาตมาจะฉันเสียในตอนร้อนๆ นี่ อย่ารอให้เย็นเลย เพราะจะถือเป็นยา เห็นว่าโรคลมที่กำลังกำเริบอยู่นี้ จะบรรเทาลงได้ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็จัดการฉันเลย ทำให้เจ้าของบ้านที่มองลงมาไม่พึงประสงค์ คือคิดดูหมิ่นว่าตะกละตะกลาม ว่าพวกหัวโล้นนี้ตะกละ ก็เลยปิดประตูบัง แล้วก็เอาถ้วยยาคูออกมาปาลงไป

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 06:57:29 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : )


  สลักธรรม 4




ฝ่ายพระภิกษุหนุ่มผู้เดินตามมา เห็นกิริยาของพระเถระน่าเกลียดเหมือนกัน ว่าตะกละตะกรามทานเดี๋ยวนั้น ก็ทำให้เกิดละอายอดสู แล้วพาลนึกว่า เออ! หลวงตาแก่เอ๊ย ช่างหน้าด้านเหลือประมาณ ไม่เกรงชาวบ้านเขาเลย เขายังไม่ได้เดินข้ามธรณีประตูเลย หยิบซดแล้ว แล้วจึงหันหน้าแยกทางไปทางอื่น ด้วยความอาย ใบหน้าร้อนผ่าว ในกิริยาอันไม่ใช่สมณะที่หลวงตาคนนี้ ได้ทำเอาไว้

ครู่หนึ่งก็หันกลับมา ก็ยังเห็นหลวงตาเฒ่ากำลังอ้าปาก เป่าบ้าง ซดบ้าง ทำอยู่อย่างนี้ ก็อดใจไม่ไหว จึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ ยืนค้ำศีรษะพระผู้อาวุโสกว่า อย่างหมดความเกรงใจเลย แล้วก็ใช้คำประนามว่าทำอะไรหลวงตา ช่างตะกละตะกลามเหมือนผีร้าย เหมือนกับคนตายอดตายอยากมานานเหลือเกิน จะดื่มจะกินอะไรช่างไม่เกรงใจชาวบ้านเขาบ้าง เขาอาจจะตำหนิติเตียน บวชมานานแล้วนะท่าน ท่านน่าจะสังวรระวังไว้บ้าง นี่ช่างไม่รู้ประสาเลย ว่าไปมากมาย

พระมหาเถระได้แต่เงยมองไม่ได้โต้ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว พระภิกษุหนุ่มก็ยิ่งเดือดร้อนมากอีก ว่ายังไม่มียางอาย ท่านก็ยังดื่มข้าวยาคูของท่านต่อไป เมื่อหมดความต้องการแล้วก็เก็บถ้วยลงในบาตรแล้วก็เดินดุ่มๆ ไปบิณฑบาตรต่อ เพราะหายจากโรคลมแล้ว

ครั้นกลับมาถึงวิหาร ก็ตั้งวงฉันภัตตาหาร ท่านก็มีวาจาเอ่ยถามพระภิกษุหนุ่มเป็นครั้งแรกว่า ดูก่อนอาวุโส ที่พึ่งในพระศาสนาท่านได้แล้วหรือประการใด หมายความว่า ท่านได้บรรลุธรรมอันวิเศษขั้นไหนแล้ว พระภิกษุหนุ่มซึ่งบัดนี้ ค่อยคลายความไม่พอใจลงไปบ้างแล้ว ก็ตอบว่า กระผมได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว

พระมหาเถระกล่าวว่า อาวุโสถ้าท่านได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็อย่าทำความเพียรต่อไป ให้เหนื่อยยากเลย มรรคผลเบื้องสูงที่ท่านหมายไว้ ไม่มีวันจะเกิดแก่ท่านเด็ดขาด ต่อให้ท่านทำความเพียรจนตาย ก็เกิดขึ้นไม่ได้ พระภิกษุหนุ่มก็พูดขึ้นว่า อ้าว! ว่าอย่างนี้ได้ไงพระคุณเจ้า ไฉนมาพูดเสียอย่างนี้ล่ะ หรือท่านยังโกรธกระผมอยู่ ที่ผมว่าท่านเมื่อเช้า

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 06:59:00 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : )


  สลักธรรม 5




มหาเถระท่านตอบว่า ไม่ใช่ แล้วกล่าวต่อไปด้วยความกรุณา เราพูดตามความจริงต่างหาก คือว่า เมื่อท่านได้ตำหนิ ติเตียน พระอรหันต์ขีณาสพอย่างสาดเสียเทเสีย มรรคผลเบื้องสูงจะเกิดแก่ท่านได้อย่างไร เราจะบอกให้ด้วยใจกรุณาเพราะสงสาร จะได้คลายความสงสัย

พอมหาเถระเจ้ากล่าวเท่านั้นพระภิกษุหนุ่มก็รู้ทันทีเลยว่า พระเถระนี้เป็นพระขีณาสพ ตนไม่รู้ จึงกล่าวขู่ตะคอกไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจที่เกิดขึ้นชั่ววูบนั้นเอง ก็สำนึกกลัวโทษอย่างมหันต์ ก็ทำการขมา

ฉะนั้น ที่ยกมานี้ เราไม่รู้ไม่เห็นเป็นดีที่สุด สำรวมสังวรอินทรีย์ไว้ ถ้าจำเป็นต้องเห็นไม่ต้องพูด ดูเฉยๆ ถ้าจำเป็นต้องพูด พูดให้น้อยที่สุด ผิดจะน้อยที่สุด เพราะว่ายศทั้ง ๔ คือ โสดาปัตติยศ สกทาคายศ อนาคามียศ และ อรหัตตยศ ไม่มีป้ายชื่อ

ฉะนั้น อย่าไปตำหนิติเตียน อย่าไปดูถูก อย่าไปว่าใครเขาเลย สิ่งที่ควรว่าที่สุดคือกิเลส และควรทำตัวเองอย่าให้เนิบช้าในวัฏฏสงสาร เพราะสิ่งที่จะเป็นการทำเนิ่นช้านี่ อย่างอกุศลกรรมบท เราควรทำของเราไปจากวัฏฏสงสารได้ไวๆ ถ้าทำกรรมหนัก เช่น อนันตริยกรรมก็ทำให้ไม่สามารถผ่านพระวิปัสสนาญาณไป ฉะนั้น อกุศลที่รองลงมาก็แก้ไขได้ด้วยการขมาโทษผิดนั้น ให้ท่านงดโทษให้

กรรมที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อพระวิปัสสนาปัญญานี้ ไม่ได้มีแต่อกุศลกรรมอย่างเดียว กุศลกรรม กรรมดีที่ประเสริฐอย่างอุกฤต ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อมรรคผลนิพพานได้เช่นเดียวกัน กรรมที่กล่าวนี้ คือ พุทธภูมิปณิธาน หมายถึง ความปรารถนาอันตั้งไว้ใคร่จะปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ในอนาคตกาลแล้วไซร้

โยคาวจรนั้นให้มีความเพียรถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว พระวิปัสสนาญาณจะก้าวเข้าสู่ญาณอันต่อไปไม่ได้ อำนาจแห่งภูมิปณิธานนี้จะคอยแนะแตะเตือนให้สติพิจารณาแห่งพระวิปัสสนาก้าวต่อไปตามลำดับ แต่มีการวางใจเป็นระเบียบปฏิบัติขึ้นต่อไปในทางพุทธการธรรม คือความรู้หยั่งไปถึงแต่จิตนั้นไม่ไป นี้คือเรื่องของสังขารุเปกขาญาณ

โปรดติดตามตอนต่อไป

โดย ศาลาธรรม [25 มิ.ย. 2557 , 07:01:56 น.] ( IP = 171.97.38.146 : : )


  สลักธรรม 6

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ

ขอบพระคุณและอนุโมทนากับคุณศาลาธรรมด้วยค่ะ












โดย abctoy (abctoy) ดูรายละเอียดสมาชิกคนนี้ - [25 มิ.ย. 2557 , 17:52:32 น.] ( IP = 110.168.54.191 : : )


  สลักธรรม 7

นึกไม่ถึงเลยนะคะว่า โทษแห่งการดูหมิ่นผู้อื่นด้วยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะเป็นอุปสรรคขวางมรรคผลเช่นนี้ ยิ่งปากไวอยู่ซะด้วย

ขอบคุณค่ะ

โดย * (herbs) ดูรายละเอียดสมาชิกคนนี้ [25 มิ.ย. 2557 , 20:28:21 น.] ( IP = 1.10.195.93 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org