มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


ถ้อยทีถ้อยอาศัยในปัญญา






" การเสวนาธรรม หรือการพูดคุยเกี่ยวกับธรรมะ
จึงเป็นการกระทำ "ถ้อยทีถ้อยอาศัย" ปัญญาซึ่งกันและกัน
เพราะว่าจะได้มีความรู้เป็นที่พึ่งแก่ชีวิตได้ "


วันนี้เรามีโอกาสมาพบกันอีกครั้ง ก็จะได้พูดคุยกันก่อนที่จะทำกิจกรรมอันสร้างสรรค์ประโยชน์กับชีวิต แต่ละวันก็จะมีเวลาพูดกับท่านมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่โอกาสและความคิดในขณะนั้น

อย่างไรก็ตามเรามีโอกาสมาเสวนาธรรม หรือพูดธรรมะนั้น เป็นการพูดในสิ่งที่เป็นมงคล เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตเพราะว่าเป็นการป้องกันภัยอันตรายไม่ให้เกิดขึ้น

ปกติเราต่างก็มีความกลัวเหมือนกันหมด กลัวภัยอันตรายไปร้อยแปดพันเก้า แต่ก็เป็นปกติอีกเช่นกันที่เราใช้ชีวิตกล้าเสี่ยง คือ อยู่ในความประมาท พร้อมที่จะพลาดไปในอกุศลทั้งหลาย เพราะเรามีอดีตเหตุและก็มีปัจจุบันเหตุด้วย โดยเฉพาะอดีตเหตุอย่างเดียวนั้นก็มีกำลังแล้ว และถ้าเราสร้างปัจจุบันเหตุด้วย กำลังก็จะทวีคูณขึ้นเกิดเป็นอันตรายกับตัวเรา เพราะฉะนั้น ถึงเราจะพยายามป้องกันอย่างไร ภัยอันตรายก็เกิดขึ้นกับเราอยู่อย่างเนืองนิตย์

อดีตเหตุที่ทำให้เราต้องพบกับอันตรายก็คืออกุศลเหตุทั้งหลายที่เราสร้างไว้ หรือกรรมชั่วทางกาย วาจาและใจนั่นเอง และปัจจุบันเหตุก็คือ การกระทำความชั่วทางกาย วาจา และใจที่ทำอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นการตั้งตนไว้ไม่ชอบ เป็นการกระทำที่เร่งเร้าเอาสิ่งที่เป็นผลจากอดีตเหตุให้เกิดขึ้น จึงเท่ากับว่าเรากำลังใช้ชีวิตให้อยู่ในภัยอันตรายอย่างยกกำลังสอง

ฉะนั้น การเสวนาธรรม หรือการพูดคุยเกี่ยวกับธรรมะ จึงเป็นการกระทำ " ถ้อยทีถ้อยอาศัย" ให้ปัญญาซึ่งกันและกัน เพราะว่าจะได้มีความรู้เป็นที่พึ่งแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะคำสั่งสอนขององค์พระตถาคตเจ้านั้น เป็นการปัดเป่าภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นทุกทวาร และเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก

โดย บุษกร เมธางกูร [8 ม.ค. 2558 , 18:36:20 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

ทำไมเราต้องมาเสวนาธรรม? เพราะในปัจจุบันนี้สิ่งที่อยู่รอบตัวเราส่วนใหญ่ เป็นสื่อที่จะชักนำให้เราตกอยู่ในห้วงของความประมาทได้ง่าย

เช่น เราจะเห็นได้จากแฟนซีชีวิต คือ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประดับร่างกายนั้นมีมากมายหลากสไตล์ต่างคุณภาพ และเราก็มีความเข้าใจว่าเสื้อผ้าที่สวยงามและจำนวนมากมายนั้นทำให้เรามีความสุข ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด



ดังที่เราได้คุยกันไปแล้วว่า ทรัพย์สมบัติไม่ใช่สิ่งที่ให้ความสุขอย่างแท้จริง แต่เราเข้าใจผิดเองโดยเฉพาะการเงินไม่ได้ให้ใครสุขเลย จึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกว่า เงินที่มีมากมายหรือเงินน้อยเป็นเพียงอุปกรณ์เอื้ออำนวยความสะดวกและความสบายชีวิตเท่านั้น

แต่ถึงเราจะร่ำรวยเพียงไหนเราก็ซื้อทุกข์ออกไปจากชีวิตไม่ได้ เพราะชีวิตนั้นเป็นขันธ์ที่หมายถึงกองแห่งทุกข์นั่นเอง เรามีเงินทองข้าวของอำนวยความสะดวกมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้ใจหายฟุ้งซ่านวิตกกังวลได้ เราต้องมีความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไปในอารมณ์ต่างๆปตามอำนาจของการบังคับบัญชาไม่ได้ ที่ถูกดึงไปด้วยอำนาจกิเลส ตัณหา ที่ผ่านมาเราจึงไม่มีความสุขอันแท้จริง

และเมื่อเราไม่มีสุขที่แท้จริง เราจึงออกเดินทางเพื่อค้นหาความสุข เพราะเรารักชีวิตของเรา แต่เราก็หลงทางกันมามากแล้ว เพราะไร้เข็มทิศแห่งชีวิตที่เข้าใจถูกนั่นเอง ได้แก่การขาด สัมมาทิฏฐินั้นเองคือเข็มทิศของชีวิตที่ต้องการความสุข



การสนทนาธรรมจึงเป็นเสมือนการป้องกันอันตรายให้แก่ชีวิต เพราะเป็นการสร้างเข็มทิศไปสู่ความสุข ความรู้ความเข้าใจที่ได้ จากการศึกษาธรรมนี้เป็นการเสมือนมัคคุเทศก์นำพาขบวนชีวิตของเราให้เข้ารูปเข้ารอยพ้นไปจากพงหนาม

มูลนิธิแห่งนี้ชื่อ อภิธรรมมูลนิธิ เป็นสถานที่เปิดขึ้นมาเพื่อบำเพ็ญสาธารณกุศลด้านการเผยแผ่ธรรม เป็นสถานที่ให้สัมมาทิฏฐิ เพราะอภิธรรม หมายถึง ความเป็นจริง เป็นธรรมชาติที่เป็นจริงและยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือเรื่องของชีวิต และชีวิตนี่แหละคือตัวทุกข์

การศึกษาพระอภิธรรมจึงเป็นการสร้างสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การกระทำที่ถูก เพราะถ้าเรามีความเห็นไม่ถูกต้องแล้ว เราก็จะคิดไม่ถูกต้อง และทำไม่ถูกต้อง จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้

โดย บุษกร เมธางกูร [8 ม.ค. 2558 , 18:37:59 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : )


  สลักธรรม 2

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา" และผู้ที่เห็นธรรมได้แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่สิ้นความทุกข์ไปในที่สุด

ผู้ที่สิ้นความทุกข์คือผู้ที่ได้ความสุข แต่ตราบใดทุกข์ยังไม่หมด ก็ไม่มีทางสุขได้มีแต่ความสะดวกสบายที่จะใช้ชีวิต เช่น เรานั่งนานๆ ก็เป็นทุกข์ แต่เมื่อเราขยับเขยื้อนแล้วก็สบายขึ้น ท่าที่เราขยับตัวก็ไม่ใช่ท่าที่ให้ความสุข เป็นแต่เพียงท่าที่ทำให้สบายเท่านั้น

แต่เวทนาที่เสวยอารมณ์ของเราเป็นวิปลาสธรรมจึงทำให้คิดผิดไปว่าเป็นสุข

จริงอยู่ที่ความดีและความชั่วเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ความดีความชั่วเมื่อมีปริมาณมากในใจก็จะแสดงออกมาทางกาย และวาจา เรียกว่ากิเลส สิ่งที่แสดงออกมาด้วยกิเลสนั่นเองจึงบ่งชัดว่า บุคคลนั้น ขณะนั้นดีหรือขณะนั้นไม่ดี แล้วก็สรุปเรียกกันว่า คนดีคนชั่วนั่นเอง

เราต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่า เรามักแสดงออกตามความเคยชิน เช่น คำอุทาน หรือเปลี่ยนอิริยาบถในขณะที่เผลอตัว เป็นต้น

ความเคยชินเกิดจากการกระทำซ้ำๆของเราเอง และก็กลายมาเป็นธรรมชาติของชีวิต เราชินกับธรรมชาติชนิดไหน ธรรมชาติชนิดนั้นก็จะมาบงการจิตใจของเรา ให้มีการกระทำที่เรียกว่า ความดีความเลว

ถ้าหากเราศึกษาพระอภิธรรมให้เข้าใจแล้ว เราก็จะสามารถแยกชีวิตได้ถูกถึงประเด็นรากฐานเลย เมื่อเราแยกชีวิตถูก ความทุกข์ที่อยู่มากก็เบาบางลง และงดเว้นจากการกระทำที่ไม่จำเป็น เช่น การเพ้อเจ้อ การนินทา ที่มีเรื่องราวกันทุกวันนี้ก็เกิดจากวาจาเป็นสำคัญ พระพุทธจึงองค์ทรงสอนให้สังวรณ์ระวังและสำรวมอินทรีย์ ให้พูดแต่ในเรื่องที่จำเป็น

เราจะทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท หรือประมาทน้อยที่สุด ก็ขอให้ท่านระวังในเบื้องต้นว่า ให้เราพูดครึ่งเดียวของความคิด ดีกว่าคิดครึ่งเดียวของคำพูด เรามีสิทธิ์คิดได้สารพัดเลยค่ะทั้งในเรื่องดีและไม่ดี คนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี เรื่องนั้นน่าจะเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ เราน่าจะเป็นอย่างนั้น เราคิดได้สารพัด

แต่เวลาที่เราพูด อย่าพูดแบบไม่รู้จักคิด และพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง คือ เพ้อเจ้อไป เพราะไม่มีประโยชน์ทั้งเขาและเรา และอาจเกิดผลไม่ดีจนรู้สึกได้ว่า รู้อย่างนี้ ไม่พูดดีกว่า ที่จริงแล้วควรจะรู้ว่าไม่ควรพูดก่อนที่จะคิด ไม่ใช้พูดแล้วมาคิดทีหลังนะคะ

๏ บุษกร เมธางกูร ๏

โดย บุษกร เมธางกูร [8 ม.ค. 2558 , 18:39:52 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : )


  สลักธรรม 3

กราบขอบพระคุณอาจารย์บุษกรมากค่ะ โชคดีที่ได้มาอ่านข้อคิด ก่อนเวลาของวันนี้จะต้องผ่านไป

ทำให้เห็นประโยชน์ของการเสวนาธรรม ที่จะทำให้ชีวิตไม่ตกไปอยู่กับอันตราย โดยเฉพาะแค่การพูดจาเป็นความประมาทที่ทำกันมากมาย และสร้างโทษภัยให้กับชีวิตจนนับไม่ถ้วน

โดย น้องอุ๊ [8 ม.ค. 2558 , 18:41:49 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : )


  สลักธรรม 4


ขณะที่อ่านนี้ก็เปรียบเสมือนว่ากำลังเสวนาธรรมอยู่เช่นกัน ทำให้คิดไปถึงที่หลวงพ่อท่านเคยสอนเสมอว่า...คำพูดจะเป็นพิษ ถ้าไม่คิดก่อนพูด...

กลับมาย้อนมองตน เห็นได้ว่าใช้ชีวิตด้วยความประมาทอยู่ร่ำไป มักจะคิดได้หลังจากพูดไปแล้วทุกทีเลย ต่อไปจะเพียรฝึกสติให้มากขึ้นกว่าเดิม และอย่างน้อยก็จะพยามยามพูดครึ่งเดียวของความคิดให้ได้เสียก่อน

กราบขอบพระคุณมากค่ะสำหรับการเสวนาธรรมในวันนี้....อนุโมทนาสาธุค่ะ

โดย พี่ดา [8 ม.ค. 2558 , 18:43:35 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : )


  สลักธรรม 5

"ถ้อยทีถ้อยอาศัยในปัญญา" ..เป็นคำพูดที่ไพเราะและแสดงถึงความสุภาพเรียบร้อยดีจังค่ะ

อ่านแล้วก็รู้สึกถึงบรรยากาศดีๆ ในการสนทนาธรรมที่ปลอดจากวจีทุจริต ไร้อารมณ์ที่กระโชกโฮกฮาก ขุ่นมัวหม่นเศร้า และการตัดรอนการแสดงความเห็นของผู้อื่นด้วยมติของตนเองเพียงด้านเดียว

ปกติของการสนทนากันก็คงเป็นเรื่องอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ บางเรื่องพูดคุยกันแล้วก็ยิ่งเพิ่มอกุศลให้เบ่งบานมากขึ้น ...ได้มาอ่านข้อเขียนนี้แล้วทำให้เกิดความร่มเย็นใจมากเลยค่ะ ..สาธุ

โดย น้องกิ๊ฟ [8 ม.ค. 2558 , 18:46:18 น.] ( IP = 171.96.176.107 : : )


  สลักธรรม 6

คุรั


โดย พี่เณร [2 ส.ค. 2558 , 14:53:17 น.] ( IP = 61.90.110.221 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org