มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


สุทธิ ๔





สุทธิ คือ ความหมดจดของภิกษุสามเณร มี 4 อย่าง คือ

1. เทศนาสุทธิ จะหมดจดได้ก็ด้วยการแสดง หมายความว่า เมื่อต้องอาบัติ 5 กองข้างท้าย ก็ให้แสดงต่อหน้าสงฆ์ หรือคณะหรือบุคคล ก็จะพ้นได้ ถ้าต้องอาบัติหนักในฝ่ายที่แก้ไขได้ ก็ให้อยู่กรรม ครบแล้วก็ให้อัพภาณกรรมตามแบบ ออกจากอาบัติไปเสีย แต่อาบัติหนักในฝ่ายที่แก้ไขไม่ได้ ก็ให้สึกออกไปเสียเท่านั้น นี้เป็นวิธีทางพระวินัย..

2. สังวรสุทธิ จะหมดจดได้ ด้วยการสังวรระวังข้อนี้ จะต้องเจริญสติปัฏฐาน

3. ปริเยฏฐิสุทธิ จะบริสุทธิ์ได้ ด้วยการแสวงหา ข้อนี้จะต้องใช้ความเพียรพยายาม เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อไตรสิกขาเพราะเหตุแห่งการหาเลี้ยงชีพ..

4. ปัจจเวกขณสุทธิ จะหมดจดได้ก็ด้วยการพิจารณาปัจจัยในเวลาใช้เวลาฉัน

โดย บุษกร เมธางกูร [2 ก.พ. 2558 , 18:55:09 น.] ( IP = 171.96.178.126 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

พระพุทธศาสนาสอนให้รู้ความจริงที่กำลังมีอยู่โดยธรรมชาติ เพราะสภาพธรรมเหล่านี้เป็นสัจธรรม ที่สามารถใช้ปัญญาพิจารณาดูได้ในทุก ๆ ขณะที่มันกำลังปรากฏ เราเองมิได้มีอำนาจ เข้าไปบังคับบัญชาอะไร ให้ธรรมชาติเหล่านั้นเป็นไปตามต้องการของเรา เพราะสิ่งเหล่านั้น เกิดปรากฏมาจากปัจจัย ถูกปัจจัยปรุงแต่ง เป็นกฏธรรมดาเป็นอย่างนั้นมานาน จนกำหนดประมาณมิได้

ความไม่แน่นอน ความแปรปรวน ความทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ และไม่มีอำนาจอะไรที่จะอยู่เหนือธรรมชาติเหล่านั้นในโลกนี้ ก็มีแต่สิ่งเหล่านี้แหละปรากฏอยู่ ธรรมชาติเหล่านี้มิได้มีอยู่นอกโลก คนที่อยู่ในโลกจะเป็นโลกมนุษย์โลกเทวดา มาร พรหม ยม ยักษ์หรืออบายโลกอย่างใดก็ตาม ทุกคนก็จะต้องพบกับธรรมชาติที่ว่านี้ด้วยกันทั้งนั้น

เราไม่มีความเข้าใจในธรรมชาติดังกล่าวเหล่านี้ จึงได้พยายามเสาะหาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้มาครองเป็นกรรมสิทธิ์ แล้วก็จะต้องประสบกับทุกข์ เพราะความกังวลห่วงใจ หวงแหนจนไม่เป็นอันกินอันนอน และเมื่อสิ่งเหล่านี้มันแตกทำลายไป เราก็ต้องเป็นทุกข์เสียใจร้องห่มร้องไห้ พร่ำเพ้อรำพันถึง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นไปตามตั้งใจ ไม่เป็นไปตามความหวัง ในโลกนี้จะมีสิ่งใดบ้างที่ว่าเป็นไปตามหวังของสัตว์ทั้งหลาย

รูปกายไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครปกครองเป็นเจ้าของ เป็นเหมือนกับบ้านเรือนที่ร้าง ไม่มีเจ้าของ นามก็เหมือนกัน ความจริงสิ่งเหล่านี้ก็มีปรากฏอยู่ ทุกวันวินาทีมีให้เราดู แต่เราไม่รู้เพราะเป็นผู้บอด ผู้มืด แล้วก็หลงจะเอาจริงเอาจังกับสิ่งเหล่านี้ มันจะได้ที่ไหน?

โดย บุษกร เมธางกูร [2 ก.พ. 2558 , 18:57:23 น.] ( IP = 171.96.178.126 : : )


  สลักธรรม 2

ศาสนามิได้สอนให้แสวงหาสิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ความชัง ความหลงนานาประการ แต่ทรงสอนให้ใช้ปัญญา ศึกษาสังเกตถึงความเป็นจริงขณะที่มันกำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า พยายามตามดูความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ พยายามประคองความเพียร สังวรระวังอย่าให้จิตตกจากอารมณ์ปัจจุบันนี้ สติก็อย่าให้เลอะเลือนไปจากปัจจุบันอารมณ์นี้

แล้วให้สังเกตดูสิว่าสิ่งที่เรากำลังดูอยู่นั้น เป็นอะไร เป็นรูปหรือเป็นนาม ถ้าเป็นรูปเป็นรูปอะไร พยายามเจริญสติปัญญาไปอย่างนี้เสมอ ๆ ให้ติดต่อ

ถ้าสติปัญญามีกำลังมากขึ้น ต้องมีความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ สภาพที่ปิดบังความจริงตามอารมณ์และอิริยาบถก็จะถูกปัญญาเปิดเผยขึ้น ให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้ปฏิบัติก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะสติปัญญามันเกิดขึ้น ตามดูสภาวะเหล่านี้ไปโดยอัตโนมัติแล้ว

เหมือนคนหัดขับจักรยาน ตอนต้น ๆ ยังไม่ชำนาญ ก็ต้องพยายามประคองไปก่อน แต่พอจับวิธีได้แล้วทรงตัวได้แล้ว แม้จะจับแฮนท์เพียงมือข้างเดียวก็สามารถไปได้อย่างสบาย

หรือเหมือนกับการหัดอ่านหนังสือ ตอนเมื่อผสมตัวยังไม่ชำนาญ รู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเข็ญใจเสียเหลือเกิน แต่พอหัดผสมตัวจนจำได้แม่นยำดีแล้ว ไม่ว่าหนังสืออะไรก็สามารถอ่านออกได้หมด

โดย บุษกร เมธางกูร [2 ก.พ. 2558 , 18:59:04 น.] ( IP = 171.96.178.126 : : )


  สลักธรรม 3

แม้การปฏิบัติวิปัสสนานี้ก็เหมือนกัน ก็ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้แล้ว สติปัญญาแก่กล้าแล้ว ถึงอารมณ์ใดจะปรากฏ ผู้ปฏิบัติก็สามารถมีความเข้าใจได้ทั้งหมด เพราะรูปแต่ละรูป หรือนามแต่ละนาม ที่มันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยนั้น มันจะมีลักษณะเหมือนกันหมด

เมื่ออวิชชาที่ปิดบังความจริงอยู่ถูกสติปัญญาเกิดขึ้นทำลายถูกเปิดเผย ถูกเพิกถอนออกจากอารมณ์และอิริยาบถแล้ว ผู้ปฏิบัติก็จะง่ายต่อการพิจารณาดูความจริงทุกอย่างที่มันปรากฏ เราไม่ต้องทำอะไรมาก คอยแต่ประคองสติปัญญา ให้มีความสม่ำเสมอกันเท่านั้น ส่วนการทำงานเป็นเรื่องของสติปัญญาเขาทำงานของเขาเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

เท่าที่ได้กล่าวมาโดยย่อนี้ เป็นเพียงแนวการ ปฏิบัติของมรรคพรหมจรรย์ แบบวิปัสสนาล้วนซึ่งไม่เกี่ยวกับสมาธิ หรือแบบทำฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อ

โดย บุษกร เมธางกูร [2 ก.พ. 2558 , 19:00:22 น.] ( IP = 171.96.178.126 : : )


  สลักธรรม 4

การเจริญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ในทางปฏิบัติจริงๆ จำเป็นต้องเจริญไปพร้อม ๆกัน ในอารมณ์อย่างเดียวกัน

คือ ขณะปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องมีศีลสังวรระวัง ไม่ให้จิตตกจากปัจจุบันอารมณ์ ขณะเดียวกันก็จะต้องมีสติตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันอารมณ์ อย่าให้เลอะเลือน และขณะนั้นก็จะต้องรู้สึกตัวด้วย ว่าสภาวะที่ตัวกำลังดูอยู่นั้นเป็นอะไร เป็นรูปหรือนาม และต้องรู้อีกกำลังปรากฏ รูปอื่นจะปรากฏไม่ได้

แปลว่า ศีล สมาธิ และปัญญา เกิดในอารมณ์เดียวกัน เกื้อกูลแก่กันและกันโดยอัญญมัญญปัจจัย คือสมาธิที่มีศีลเป็นฐานรองรับมั่นคงแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาที่มีสมาธิเป็นฐานมั่นคง ก็ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มากเช่นกัน ศีล สมาธิ ที่มีปัญญาปกครองก็ย่อมถึงวิสุทธิ เป็นศีลวิสุทธ และจิตตวิสุทธิได้ และจิตใจที่มีไตรสิกขาอบรมดีแล้ว ก็สามารถหลุดพ้นจากกามาสวะ อวิชชาสวะทั้งหลายได้อย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนั้น ภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ จึงควรศึกษาอธิศีล อธิจิตและอธิปัญญาโดยความเคารพ

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
บุษกร เมธางกูร


โดย บุษกร เมธางกูร [2 ก.พ. 2558 , 19:03:21 น.] ( IP = 171.96.178.126 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org