มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


ความมุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนา




ในหลักคำสอนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้น เป็นการแสดงเพื่อประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายรู้ว่า ชีวิตคืออะไร และเป็นทุกข์อย่างไรนั่นเอง เพราะถ้าเราท่านได้เข้ามาศึกษาพระอภิธรรมแล้ว ก็จะเข้าใจตามได้อย่างชัดเจน เมื่อเข้าใจแล้วก็จะได้อาศัยความศรัทธานั้น มามุ่งปฏิบัติขัดเกลากิเลส เพื่อสร้างเหตุพ้นทุกข์นั่นเอง

ดังนั้นความมุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนานั้น ก็เพื่อรู้ทุกข์อย่างเดียว เพราะเมื่อรู้ทุกข์ได้แล้ว ตัวตัณหาคือความต้องการก็จะต้องถูกละไปเอง

การเจริญมรรค ตามหลักฐานของสติปัฏฐานนั้น ผู้ปฏิบัติจำต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ

ต้องมีความเพียรตามหลักของประธาน ความเพียร ๔ อย่าง มีเพียรละบาปเก่าเป็นต้น ตั้งอยู่มีความรู้สึกตัวในขณะปฏิบัติว่า

ขณะนี้ตนกำลังตั้งอยู่ในอารมณ์ปัจจุบันหรือไม่ และต้องมีสติเข้าไปตั้งอยู่ในกาย คือรูปที่กำลังปรากฏอยู่โดยไม่มีความเลื่อนลอย พลธรรม ๕ ประการมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา จำต้องมีความสม่ำเสมอกัน จะเหลี่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันไม่ได้

โดย บุษกร เมธางกูร [20 ส.ค. 2558 , 09:56:33 น.] ( IP = 171.97.19.143 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

การเจริญบุพเพภาคมรรค คือ ศีล สมาธิและปัญญา จะต้องทำกิจไปพร้อมในเวลาปฏิบัติ

การปฏิบัติวิปัสสนา ล้วน ๆ นั้นในหลักปฏิบัติจริง ๆ ก็มีอยู่เพียง ๓ ข้อเท่านั้น

อิริยาบถ คือ การเดิน –ยืน –นั่ง และนอน ๑

สัมปชัญญะ ๗ หมวด มีก้าวไปข้างหน้า และถอยหลังกลับมาข้างหลัง เป็นต้น

ธาตุมนสิการ คือ การใส่ใจถึงธาตุ ๔ มีธาตุดิน เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ ในการกำหนดนั้น จึงจำเป็นต้องมีรูปมีนามมาเป็นอารมณ์กำหนดเสมอ เพราะนอกจากรูปนามแล้วก็ไม่มีอะไรเลย

การเจริญวิปัสสนาเป็นการเจริญหรือพัฒนาความรู้ให้เป็นสากล เป็นกิจที่ทำได้เพราทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่นอกไปจากรูปกับนาม เราเข้าใจผิดในรูปและนาม จึงเข้าใจว่า มีหญิง มีชาย มีท่าน มีเธอ แล้วก็ยึดติดในหญิงในชายเป็นต้นทุกวันเวลา

ชีวิตของเราทั้งหลาย ได้แต่ดิ้นรนขวนขวาย อยากได้รูป ได้เสียง ได้กลิ่น เป็นต้น มาสังเวยตัณหา คือ ความต้องการของตนเองอยู่ แทบทุกลมหายใจ หามาให้เท่าไร ก็ไม่รู้จักเพียงพอ และเมื่อหามาได้แล้วก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังจะยึดมั่นถือมั่นหวงแห่งไม่ยอมให้ผู้อื่น ด้วยอำนาจของอุปทานอีก

นับว่าเป็นความทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีเวลาที่จะว่างเว้นเลย มีสิ่งที่อยากได้ เมื่ออยากได้ก็ถูกความต้องการบังคับให้ต้องดิ้นรนเสาะหามาสนองความต้องการให้ได้ ถึงจะยากเย็นขนาดไหน ก็จะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อได้มาให้จงได้ บางทีก็ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็ได้ นี้นับเป็นความทุกข์อันเนื่องมากจากการแสวงหา

แต่เพราะเรามืดบอด มองไม่เห็นว่าเป็นทุกข์

จึงต้องแสวงหากันเรื่อยไป และเมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องลำบากในการพิทักษ์รักษาอีก เป็นความห่วงใยกังวล ไปไหนก็ไม่รอด เพราะห่วงใยอาลัยถึง ทำให้จิตใจถูกผูกพันอยู่ ไม่ต่างอะไรกับติดคุกติดตะราง ไม่มีความเป็นอิสระในตัวเองเลย

โดย บุษกร เมธางกูร [20 ส.ค. 2558 , 09:58:23 น.] ( IP = 171.97.19.143 : : )


  สลักธรรม 2

ความเคยชินต่อความเห็นผิดที่มีประจำมาจนนับชาติไม่ถ้วน จึงไม่รู้สึกว่า นามรูปเป็นโทษเป็นภัย ท่านอุปมาเหมือนกับหนอนอยู่ในพริก ไม่รู้สึกร้อนฉะนั้น

เราต่างจะเอาจริงเอาจังกับนามรูป ซึ่งไม่มีความจีรังยั่งยืน อยู่ทุกเสี้ยววินาที

นามรูปเกิดจากปัจจัย คืออวิชชา และตัณหา อวิชชาเป็นอดีตเหตุ ตัณหาเป็นปัจจุบันเหตุ ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดอนาคตผลต่อไป

กาล ๓ คือ อดีตอัทธา คือตัวอวิชชาและสังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์คือ วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา อันเป็นตัวปัจจุบันผล ๕ เมื่อมีเวทนาแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดปัจจุบันเหตุ คือตัณหาอุปาทานและกรรมภพอีก และก็ทำให้เกิดผลคือชาติ และชรามรณะในอนาคตต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดสัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในวังวนคือวัฏฏะ

ด้วยเพราะ ตาบอด (คือไม่มีปัญญาคือแสงสว่าง) จึงมองไม่เห็นว่า โลกเป็นความทุกข์ ทุกคนจึงต่างมุ่งแต่จะแสวงหา ภาลยศ สรรเสริญและความสุข มาสู่ตนและครอบครัว โดยไม่มีทางที่จะรู้ตนเองได้เลยว่าตนนั้นกำลังตกอยู่ภายใต้ความทุกข์อย่างใหญ่หลวง

โดย บุษกร เมธางกูร [20 ส.ค. 2558 , 09:59:42 น.] ( IP = 171.97.19.143 : : )


  สลักธรรม 3

ด้วยเหตุนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะหันมารีบสร้างทางแห่งความสุขให้แก่ตนเองสักที ด้วยการศึกษาหาความรู้ในหลักคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงประทานไว้

และรีบออกเดินทางจากความทุกข์ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อละคลายความเห็นผิด ว่าชีวิตนั้นเป็นเราเป็นของๆเรากันเถิด

และจงมีศรัทธา ที่จะปฏิบัติโดยไม่ท้อถอย เพราะเส้นทางนี้เท่านั้น (คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน) ที่จะทำให้ท่านผู้มีศรัทธา พาตนเองพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ค่ะ

ด้วยความปรารถนาดี

บุษกร เมธางกูร


โดย บุษกร เมธางกูร [20 ส.ค. 2558 , 10:00:54 น.] ( IP = 171.97.19.143 : : )


  สลักธรรม 4

ขอบคุณมากครับ กับเรื่องที่มีค่าแห่งชีวิต ที่ควรจะต้องรู้และประจักษ์ทุกข์ให้ได้ ด้วยการเจริญวิปัสสนาครับ

โดย เทพธรรม [20 ส.ค. 2558 , 10:02:17 น.] ( IP = 171.97.19.143 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org