มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


เมื่อท่านตายแล้วท่านจะไปไหนตอน..๒





เรื่องของความตายนี้ ถ้าจะว่าโดยปรมัตถธรรมอันเป็นความจริง จริงๆแล้ว“ความตาย” นั้นไม่มี คนเกิด คนตาย สัตว์เกิดหรือสัตว์ตายก็ไม่มีเหมือนกัน ทำไมถึงได้ว่าดังนั้น

เมื่อเราตัดต้นไม้มา นั่นก็คือเราตัด “รูป” คือต้นไม้นั้นแล้วมาทำเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เมื่อตัดออกแล้วก็สมมุติเรียกกันว่าต้นไม้ตาย รูปซึ่งเป็นต้นไม้นั้นก็มาเปลี่ยนแปลงเป็นโต๊ะเก้าอี้ไป..... เมื่อโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งเป็นรูปผุพังลง โต๊ะเก้าอี้ก็หายไปจากสายตา มันก็กลายสภาพเป็นรูปไปอีกแบบหนึ่ง คือ “ดิน” แต่ดินเราก็เรียกว่าเป็น “รูป” เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เราจะพูดว่าโต๊ะเก้าอี้ตายก็ย่อมได้เหมือนกัน

ดังนั้นต้นไม้ก็คือ ..รูป โต๊ะเก้าอี้ก็คือ รูป... และดินก็คือ รูป

แต่รูปเหล่านี้มันไม่เหมือนกัน เราจึงสมมุติตั้งชื่อมันว่า.. ต้นไม้ โต๊ะเก้าอี้ และดิน เราตั้งชื่อมันเสียใหม่ เพื่อหวังว่าจะได้พูดกันให้รู้เรื่อง

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:10:57 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

เหมือนกับต้นไม้ตาย ความจริงต้นไม้มิได้ตาย เราจึงสมมุติให้เป็นที่เข้าใจกัน

เหมือนกับรถยนต์ตาย ความจริงรถยนต์มิได้ตาย แต่มันแล่นไปไม่ได้..เพราะเครื่องมันเสียเท่านั้นเอง เราก็สมมุติเพื่อจะให้รู้เรื่องว่า รถยนต์ตาย


ด้วยเหตุดังนี้เอง รูปคือร่างกายของสัตว์ทำการงานไปตามปกติมิได้แล้ว จิตใจหรือวิญญาณมิได้เกิดขึ้นมาได้แล้ว เราจึงได้สมมุติพูดกันว่า คนตายหรือสัตว์ตาย

แท้ที่จริง รูปคือร่างกายของคนหรือสัตว์ ที่เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปมาในวินาทีหนึ่งตั้งมากมาย.. แม้จิตใจหรือวิญญาณของคนหรือสัตว์ก็เหมือนกัน ก็ย่อมจะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปมาในวินาทีหนึ่งนับไม่ไหว

ทั้งรูปและนามเกิดดับตลอดชั่วชีวิตหนึ่งนั้นนับคำนวณไม่ได้เลย.มีที่แปลกอยู่ตรงที่ว่า เมื่อชีวิตเกิดขึ้นมาใหม่ ในภพชาติใหม่นั้น มีรูปกายแปลกออกไป และจิตใจเมื่อไปได้สิ่งแวดล้อมใหม่เข้าแล้ว ก็อาจจะผิดไปบ้างนิดๆหน่อยๆ และค่อยๆผิดไปทีละน้อยๆ ตามแต่เหตุปัจจัยที่มาผันแปร

ถ้าจะว่าไปก็เปรียบเหมือนต้นไม้เมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้มาเปลี่ยนเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไปเสียแล้ว.. และต่อมาก็เป็นดินไปอีก

แม้ผมจะได้อธิบายถึงปรมัตถธรรมว่า ไม่มีคนตาย ไม่มีสัตว์ตายก็จริง แต่ผมก็จำต้องอธิบายเรื่องความตายให้ท่านฟัง โดยเอาคำที่สมมุติกันว่าตายออกมาใช้ หาได้แล้วจะอธิบายได้อย่างไร

ขอให้ท่านทำความเข้าใจเอาไว้แต่เพียงว่าคนตาย หรือสัตว์ตายนั้น มิได้มีจริงๆ ทั้งรูปทั้งนามก็ย่อมจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เวลานี้มีรูปมีนามอยู่ที่นี่ เผลอไปอีกวินาทีหนึ่ง รูปนามนี้ก็อาจจะสืบต่อไปอยู่ในท้องของมารดา เป็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่งของมารดาอีกคนหนึ่งเสียก็ได้ แล้วต่อไปอีกไม่นานสักเท่าใดก็เป็นไปอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะได้เกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือเกิดเป็นเทวดา

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:12:31 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 2

ว่าโดยปรมัตถ์ คนหรือสัตว์คือทั้งรูปทั้งนาม ก็แตกดับไปแล้วก็เกิดทดแทนขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ ..ซึ่งก็คือได้ตายไปอยู่ทุกวินาที

สมมติมรณะ
คือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย คืออะไร?


ถ้าจะว่าโดยย่อแล้ว ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายก็ได้แก่ ความสิ้นสุดของรูปชีวิตและความสิ้นสุดของนามชีวิตในภพชาติหนึ่ง ..หรือจะพูดว่า ..ความตายก็คือจิต, เจตสิก และกรรมชรูปดับลงในภพชาติหนึ่ง (ในปัญจโวการภูมิ)

ประสาทตา ประสาทหู และหทัยวัตถุ เป็นต้น เป็นรูปที่เกิดมาด้วยอำนาจของกรรมแล้วมี “ชีวิตรูป” ควบคุมให้รูปเหล่านี้ดำเนินการไปได้ ชีวิตรูปมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ในภพชาตินั้น ซึ่งก็คือหมดอำนาจลง ไม่สามารถควบคุมรูปเหล่านี้ได้อีกต่อไป

จิตกับเจตสิกเกิดขึ้นมาแต่ละครั้ง ก็ย่อมจะมี “ชีวิตนาม” ควบคุมให้จิต เจตสิก ดำเนินการงานไปได้ แต่เมื่อชีวิตนามดับลงเป็นครั้งสุดท้าย มิได้มีเกิดขึ้นมาอีกในชาตินั้นหมดเหตุ หมดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้เกิดขึ้นมาได้ จิต เจตสิกจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกต่อไป การสืบต่อเฉพาะในชาตินั้นขาดสะบั้นลง เราจึงได้เรียกผู้นั้นว่า คนตาย หรือสัตว์ตาย

อย่างไรก็ดี ทั้งรูปและนามก็จะต้องสืบต่อไปอีกในภพชาติใหม่ตราบใดที่กิเลสตันหายังมิได้สูญหายไปจากจิตใจอย่างแน่นอน ... แต่กรรมชรูปที่มีชีวิตรูปควบคุม และนามคือจิต , เจตสิก ที่มีชีวิตนามควบคุมเอาไว้ให้ดำเนินการไปได้ เหตุใด เมื่อดับลงแล้วจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกตามปกติ ทำให้ความตายนั้นเกิดขึ้นมาเล่า ?

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:13:54 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 3

เหตุใดจึงต้องตาย ?


ตามความเข้าใจของบุคคลทั้งหลายมีความเห็นว่า คนที่ต้องตายลงไปนั้นก็ด้วยอาศัยเหตุต่างๆกัน ..เช่นถูกอาวุธมีคม เชื้อโรคร้ายมาเบียดเบียนทำลาย.... การย่อยอาหารเสียหายเรื้อรังจนร่างกายผ่ายผอมแล้วจึงได้ตายไป เหล่านี้เป็นต้น

บรรดาเหตุทั้งหลายที่เป็นตัวการนำให้บุคคลถึงแก่ความตายนั้น ก็เป็นการถูกต้องอยู่บ้าง แต่ยังเป็นเหตุที่ห่างไกล บางทีเป็นเหตุอันไม่สมควรเลย หรือไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

แต่สำหรับในสภาวธรรมแล้วล้วงเข้าไปถึงสาเหตุที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้มากนัก

คนที่คิดฆ่าตัวตายนั้น มิได้เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ บางคนมีความทุกข์มากอย่างเหลือเกิน ทั้งอดอยากยากจน ป่วยเจ็บเรื้อรัง ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส หรือเป็นโรคเรื้อนจนน่าเกลียดน่ากลัว แล้วสังคมไม่ต้อนรับ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้...... ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดฆ่าตนเอง

แต่บางคนมีเรื่องเพียงเล็กน้อยนิดเดียว เช่น ถูกพ่อแม่ดุ หรือเพราะสอบตก ก็ฆ่าตนเองเสียแล้ว เรื่องเพียงเท่านี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้คิดฆ่าตนเองเลย แล้วบางทีก็ฆ่าตนเองอย่างชนิดทรมานเสียด้วย เช่นใช้ของมีคมเฉือนตนเอง

แน่นอน ผู้ฆ่าตัวตายดังกล่าว เขาจะต้องมีเบื้องหลังอะไรที่เเอบแฝงซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจเข้ามาสนับสนุนอยู่อย่างใกล้ชิด

แม้ตัวเจ้าของชีวิตเองก็ไม่รู้สึก ถ้าหากว่าไม่ได้ศึกษาหรือพิจารนาให้แยบเข้าไปในความมหัศจรรย์ของจิตใจ และอำนาจของกรรม นั่นก็คือ ตัวการที่มีอำนาจบันดาลใจ หรืออำนาจกระตุ้นใจให้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่างๆ

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:15:22 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 4

บางคนโดนอาวุธ เช่นมีดหรือปืนจนเป็นแผลเหวอะหวะน่าเสียวไส้ เลือดก็ไหลโทรมร่างกาย ใครๆก็พากันพูดว่าจะต้องไม่รอดทั้งนั้น กลับไม่ตาย แต่บางคนแค่เป็นไข้เท่านั้นก็ถึงตายได้ ..แน่ละ อำนาจกรรมที่เรามองไม่เห็นตัว และคิดว่าไม่มีนั่นเอง เป็นตัวการใหญ่ที่สำคัญที่สุดที่แอบกระทำเอาอย่างเงียบๆ สำหรับ...ในเรื่องนี้ ผู้ศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียด ก็จะไม่มีความสงสัยเลย

บางคนอายุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความตายก็มาเยือนเสียแล้ว และที่ตายเสียก่อนที่จะเห็นเดือนตะวันก็มิใช่น้อย แต่บางคนกลับตรงกันข้าม เพราะมีอายุเข้าไปร่วมร้อย หรือร้อยกว่าขึ้นไป ทั้งร่างกายก็ยังแข็งแรงดีไม่ค่อยป่วยไข้


เมื่อความตายเกิดขึ้น ผู้อยู่หลังที่มิได้เข้าใจซึ้งถึงความจริง ก็อ้างว่าเพราะเหตุนั้น เพราะเหตุนี้ ซึ่งความจริงก็มิได้ผิด แต่บางทีก็ถูกน้อยเหลือเกิน เพราะเหตุที่ทำให้ต้องตาย ที่รู้เห็นได้ยากนั้นยังแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่อีก

สมมุติมรณะ คือ ความตายของสัตว์ทั้งหลาย ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า ความตายก็คือ จิต เจตสิก และกรรมชรูปดับลง แล้วไม่เกิดขึ้นมาใหม่ในภพชาตินั้น (เว้นอสัญญสัตตา)

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:16:37 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 5

หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ว่า... ความตายของสัตว์ทั้งหลาย (ในปัญจโวการภูมิ คือภูมิที่มีขันธ์ ๕ )นั้น หมดสิ้นอำนาจแห่งอนุบาลธรรม ๓ ประการ คือ

๑. ความหมดสิ้นไปแห่งกรรมชรูป

๒.ความหมดสิ้นไปแห่งอุสมาเตโชธาตุ

๓.ความหมดสิ้นไปแห่งภวังคจิต


๑.ความหมดสิ้นไปแห่งกรรมชรูป..ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีรูปอันเกิดขึ้นมาจากอำนาจของกรรม ที่เรียกว่า กรรมชรูป อยู่ทั่งสรรพางค์กาย คือ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย เพศหญิงหรือเพศชาย และหทยวัตถุ... อันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตใจ รูปทั้งหมดเหล่านี้เป็นรูปปรมาณู เกิดมาตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา โดยอำนาจของกรรมที่ทำไว้ในอดีต ซึ่งมีอิทธิพลมาก สามารถเป็นตัวการปรุงแต่ง ผันแปรรูปที่ถ่ายทอดจากบิดามารดาให้เป็นรูปประสาท เช่นประสาทกายเป็นต้น

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ และส่งเสริมปรุงแต่งเรื่อยมาจนเติบใหญ่ไปจนกว่าจะถึงแก่ความตาย รูปทั้งหลายดังกล่าวแล้วก็มีการสลายตัวไป และเกิดใหม่เพิ่มเติมชดเชยกันอยู่เรื่อยๆตลอดเวลาทุกๆวินาทีที่ผ่านไป โดยอำนาจของกรรมผลิตสร้างขึ้น ติดต่อกันอยู่เสมอไม่ขาดสายเหมือนน้ำที่ไหลอยู่ในลำธาร

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:18:13 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 6

ทุกครั้งที่กรรมชรูปสร้างรูปขึ้นมา ก็มีชีวิตรูปเกิดขึ้นร่วมด้วยทุกๆครั้งและทุกๆรูป ที่เรียกว่ากรรมชรูป

..แต่ครั้นถึงคราวที่ชีวิตจะสิ้นสุดลง เพราะหมดกำลังอำนาจของกรรมที่จะปกปักรักษารูป เฉพาะอย่างยิ่งหทยวัตถุ อันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตมิได้เกิดขึ้นมาแล้ว จิตก็จะดับและไม่เกิดขึ้นมาอีกสำหรับในภพนี้ บุคคลนั้นจึงถึงแก่ความตาย

ถ้าจะตั้งคำถามว่า เหตุใดกรรมชรูปที่เกิดขึ้นมาสืบต่อกันไปไม่ขาดสายนั้น เมื่อดับลงแล้ว.. ไฉนจึงมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ตามที่เคยเป็นไป ทั้งนี้ก็เพราะว่า กรรมที่เป็นตัวปกปักรักษาให้ชีวิตดำรงคงอยู่นั้น หมดสิ้นอำนาจลง

เมื่อกรรมมิได้รักษาแล้ว รูปอันเกิดจากกรรมจึงมิได้ถูกผลิตสร้างขึ้นมา จิตเจตสิกจึงได้ดับลงไปพร้อมกัน เราจึงเรียกว่า “ตาย”

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:19:28 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )


  สลักธรรม 7

๒.ความหมดสิ้นไปแห่งอุสมาเตโชธาตุ ชีวิตทุกชีวิตที่ยังดำรงคงอยู่ได้ ก็ด้วยอาศัยอำนาจของอุสมาเตโช คือความร้อนที่ช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ เมื่อการงานของชีวิตสะดุดหยุดลง อุสมาเตโชที่รักษาให้ชีวิตอยู่ได้ก็หมดกำลังอำนาจ ความตายจึงได้เกิดขึ้น

๓.ความหมดสิ้นไปแห่งภวังคจิต ภวังคจิตนั้นเป็นตัวการรักษาภพชาติเอาไว้ บัดนี้ ..ภวังคจิตดับลงไปโดยมิได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็ถึงที่สุดลง

การที่ชีวิตต้องถึงที่สุดลงนั้น ก็ด้วยอำนาจของกรรมเป็นประการสำคัญที่สุด ดังนั้นความตายเกิดขึ้นเพราะอำนาจของกรรมที่ปกปักรักษาให้ชีวิต ดำรงคงอยู่นั้นหมดสิ้นอำนาจลงแล้ว

พบกันใหม่ในตอนหน้านะครับ

โดย เทพธรรม..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2558 , 18:21:33 น.] ( IP = 171.97.44.166 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org