มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


เห็นและได้ยิน เกิดโมหะอวิชชาได้อย่างไร




เห็นและได้ยิน เกิดโมหะอวิชชาได้อย่างไร
โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร


  • เมื่อเรามองดู เราก็เห็นเป็นคน เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายซ้ำรู้เสียด้วยว่า รูปร่างหน้าตาสวยงามหรือขี้ริ้วขี้เหร่อย่างไร เราทราบว่าเป็นสามี ภรรยาของเราหรือมิใช่ และถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเราก็ทราบว่าเป็นสุนัขหรือแมว รูปร่างมันไม่เหมือนกันตรงไหน

  • เมื่อเราได้ยินเราก็ทราบได้ว่า เป็นเสียงคนผู้หญิงหรือคนผู้ชาย เป็นสามีภรรยาของเราหรือมิใช่ ถ้าร้องเพลง เราก็ทราบว่าผู้หญิงหรือผู้ชายร้องเป็นเพลงไทยเดิมหรือเป็นเพลงสากล และถ้าสุนัขหรือแมวมันร้องเราก็ทราบได้ในทันทีว่าเป็นสุนัขหรือแมวมันร้อง เพราะมันร้องเสียงไม่เหมือนกัน

    แน่นอน ความจริงก็ย่อมจะต้องเป็นความจริง ผู้ใดเล่าจะกล้าปฏิเสธความจริงเสียได้ เพราะคนกลุ่มหนึ่งหรือหมู่หนึ่ง หรือประเทศหนึ่งรับรองความจริงนี้ทั้งนั้นทั่วกัน แต่อย่างไรก็ดี มันก็เป็นความจริงของคนกลุ่มหนึ่ง ความจริงดังกล่าวจึงเป็นความจริงที่สมมติกันขึ้นมาเท่านั้นเอง หาได้เป็นความจริงที่แท้จริงไม่ เพราะชาวต่างประเทศ เด็กเล็ก ๆ และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น สุนัขและแมวเป็นต้น ก็หาได้มายอมรับความจริงนี้ไม่แล้วจะว่าเป็นความจริงที่แท้จริงได้อย่างไร แล้วความจริงที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ตรงไหน


    ก่อนอื่น เราก็จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องดีเสียก่อนว่า เห็นได้อย่างไร และได้ยิน ได้อย่างไร

  • โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:01:27 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


      สลักธรรม 1

    แสง

    การที่จะเกิดการ "เห็น" ขึ้นมาได้นั้นจะต้องอาศัย "แสงสว่าง" และแสงสว่างก็เกิดขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสงที่สำคัญ หรือมิฉะนั้นเราก็ทำมันขึ้น เช่น ไฟฟ้า หรือจุดไฟเข้าที่เทียนไข

  • แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงมาก และ

  • แสงเดินทางเป็นเส้นตรงไปทุกทิศทุกทางในเอกภพ และ
  • แสงเดินทางได้รวดเร็วมากอัตราความเร็วของแสงคือ ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที

    ดังนั้น โลกของเราห่างจากดวงอาทิตย์ ๙๓ ล้านไมล์ แสงจึงต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าจะถึงโลกของเราก็ประมาณ ๘ นาที

    แสงสว่างนั้น ในทางวิทยาศาสตร์แสดงว่ามันเป็นพลังงาน แต่ในปรมัตถธรรมแสดงว่ามันเป็นรูป เรามองเห็นแสงสว่างไม่ได้ แต่แสงสว่างทำให้เราเห็นวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ได้ เพราะแสงจะสะท้อนจากวัตถุเข้ามาสู่นัยน์ตา

    แน่นอนทีเดียวที่วัตถุบางอย่างดูดกลืนแสง แต่บางอย่างสะท้อนแสง เมื่อเรามองวัตถุทึบแสงแล้วเห็นเป็นสีอะไร นั่นย่อมแสดงว่าวัตถุนั้น ๆ ดูดรังสีของแสงทั้ง ๗ รังสี แต่รังสีของแสงที่เห็นมันมิได้ดูดเอาไว้ เช่น สีแดง (ความยาวของคลื่นแสงทำให้เป็นสีแดง ๐.๐๐๐,๐๖๖ ซม. ) แสดง ว่าวัตถุดูดรังสีของแสงไว้ทุกสี นอกจากสีแดงจึงได้สะท้อนมาสู่ตา แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากวัตถุนั้นโปร่งแสง เรามองเห็นเป็นสีอะไร ก็ได้แก่วัตถุนั้นให้รังสีของแสงสีนั้นผ่านเข้ามาสู่ตา

    เมื่อฉายแสงลงมาบนแผ่นกระดาษขาว กระดาษจะสะท้อนสีทุกสีหมดจึงได้เห็นเป็นสีขาว แต่ถ้าดูดกลืนรังสีเอาไว้หมดก็จะเห็นเป็นสีดำ เป็นต้น

  • โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:03:26 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 2

    เสียง

    เสียง ได้แก่ความสั่นสะเทือนของอากาศอย่างรวดเร็ว เสียงไม่สามารถเดินทางไปในสุญญากาศได้ แต่เดินทางในอากาศได้ ๑,๑๐๐ ฟิตต่อวินาที และถ้าไปในน้ำก็จะได้ประมาณ ๕,๐๐๐ ฟิตต่อวินาที

    คนโดยมากได้ยินเสียง ระหว่าง ๓๐ ถึง ๑๖๐๐ ต่อวินาที บางคนได้ยินระหว่าง ๑๖ ถึง ๓๕,๐๐๐ ต่อวินาที

    อย่างไรก็ดี ทั้งแสงและเสียงที่เข้ามากระทบกับจิตที่ประสาทตา และประสาทหูนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่ามันสืบต่อ ๆ กันมา (สันตติ) มิใช่วิ่งมาโดยตรง

    จิตที่รับอารมณ์นั้น รับอารมณ์ได้ทีละหนึ่ง ๆ เท่านั้น จะรับมากกว่าหนึ่งไม่ได้ เหมือนเราจะร้องไห้ด้วยแล้วก็หัวเราะด้วยพร้อมกันไม่ได้ อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ พร้อมกันไม่ได้ เห็นแล้วก็ได้ยินด้วยพร้อมกันก็ไม่ได้ แต่เพราะมันเกิด-ดับ ติด ๆ กันไปรวดเร็วมากอย่างเหลือเกิน ผู้พิจารณาไม่ดีไม่ลึกซึ้งจึงเข้าใจผิดแล้วคิดเอาว่าจิตเกิดขึ้นมาทำอะไร ๆ ได้ทีละหลายอย่าง

    เหมือนเราเคี้ยวอาหารแล้วก็กลืนลงไปในลำคอ แล้วลองคิดดูว่าในขณะนั้น เราก็เห็นด้วย ได้ยินด้วย เคี้ยวด้วย ใช้ลิ้นในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย นั่งด้วย ทำท่าทางต่าง ๆ ด้วย บางทีก็พูดคุยด้วย หายใจเข้าหายใจออกด้วย กระเพาะอาหารก็เคลื่อนไหวด้วยแล้วก็กลืนอาหารลงไปในหลอดอาหาร แต่หลอดลมถูกปิดและปิดไม่ให้อาหารตกลงไปในหลอดลม เรื่องนี้มันทำงานกันได้อย่างไร ถ้าจิตใจไม่มีความรวดเร็วมากจริง ๆ แล้วจะทำได้หรือ แต่ก็แน่ละบางทีคิดมากหรือพูดมากไปหน่อย แม้จิตใจจะเกิด-ดับรวดเร็วอย่างเหลือเกินแล้ว แต่ก็พลาดพลั้งไปบ้างเหมือนกันเพราะสั่งงานให้ทำไม่ทันเกิดผิดพลาด เลยเกิดสำลักขึ้นมาก็มีเหมือนกัน

    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:05:13 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 3

    แม้ "เห็นรูปอย่างเดียว" ถ้าศึกษาเรื่องการทำงานของจิตให้ละเอียดแล้ว ก็จะทราบว่าจิตเกิด-ดับมากมายอย่างไร

    จิตทำงานทั้งในเวลานอนหลับในเวลาตื่น ผู้ศึกษาพระอภิธรรมมีความเข้าใจก็จะทราบว่าจิตประเภทไหน จิตเป็นหัวหน้าแล้วร่วมประชุมกันทำงานกันนั้นทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง คือรูปที่แสดงออกซึ่งพฤติกรรมของสัตว์ทั้งหลายทางกาย วาจา ทั้งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้ เรียกว่า จิตสมุฏฐาน (จิต ๘๙ ประเภท จิตเป็นสมุฏฐานให้เกิดรูปได้แก่จิต ๗๕ ประเภท มีเว้นบ้างเช่น จุติจิตของพระอรหันต์ เพราะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดใหม่แล้ว

    หรือขณะแรกที่ปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย เพราะมีกำลังอ่อนรูปเกิดไม่ได้ เป็นต้น) ทำให้จิตชรูปสามัญเกิดขึ้นเป็นไปตามปกติ ตัวอย่างเช่น ทำให้การหายใจเข้า หายใจออก การเต้นของหัวใจ

  • จิตชรูปที่ทำให้หัวเราะ
  • จิตชรูปที่ทำให้ร้องไห้
  • จิตชรูปที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอิริยาบถทุกอย่าง
  • จิตชรูปที่ทำให้อิริยาบถตั้งมั่นและ
  • จิตชรูปที่เกี่ยวกับการพูด

    ซึ่งทุกอย่างนั้นมีเหตุผลข้อเท็จจริงว่าทำไปได้อย่างไร และมีตัวเลขควบคุมเอาไว้ทั้งหมด เช่น จิตชรูปที่เกี่ยวกับอิริยาบถย่อยมี ก้ม เงย กระพริบตา เคี้ยวอาหาร เป็นต้น เกิดจากจิต ๓๒ ประเภท คือ

    มโนทวาราวัชชนจิต ๑
    กามชวนจิต ๒๙
    อภิญญาจิต ๒ เป็นต้น

  • โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:07:00 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 4

    เราเห็นหน้าแล้วประกาศว่าเป็นคน เป็นหญิง หรือเป็นชาย คลื่นแสงก็จะต้องสะท้อนมากระทบกับใบหน้า แต่จิตก็จะต้องรับอารมณ์ทีละจุด ๆ ของใบหน้า จะรับพร้อมกันหมดทั้งใบหน้าก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้

    แล้วคลื่นแสงที่สะท้อนจากใบหน้าทีละจุด ๆ ไปกระทบกับจิตที่ประสาทตา จะเป็นคนได้หรือ คลื่นแสงจะเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายได้อย่างไร

    หรือเหมือนเราได้ยินเสียงคำว่า "ฉันรักเธอ" เราจะได้ยินพร้อมกันได้หรือ ฉัน รัก เธอ ก็ต้องได้ยินทีละคำ ๆ จะได้ยินพร้อมกันทุกคำก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นหญิงสาวได้ยินคำนี้จากเจ้าหนุ่มเป็นคู่รัก ผู้ซึ่งคอยฟังคำนี้มานานแล้วก็คงจะสะท้านหัวใจ ก็จะต้องจดจำระลึกถึงอยู่เสมอ จนทำให้นอนหลับได้ยาก

    เราตกอยู่ในความหลงใหลจากธรรมชาติที่เกิดอยู่ต่อหน้าต่อตา เหมือนดูภาพยนตร์ คนก็คิดเอาว่ามันเป็นความจริงแล้วก็คิดว่ามันจริงแท้ ๆ เสียด้วย ดังนั้น เมื่อถึงบทตลกขบขันก็หัวเราะเสียจนงอหาย เมื่อถึงบทโศกมาก ๆ ก็พากันสะอึกสะอื้น พากันซับน้ำตากันใหญ่ แท้จริงเราโดนหลอกเข้าต่อหน้าแล้วจริง ๆ เขาเล่นหลอก ๆ มาก่อนแล้วกลับมาโดนหลอกต่อหน้าต่อตาเข้าอีก

    เพราะภาพยนตร์นั้นฟิล์มมันเป็นช่อง ๆ แล้วก็เป็นภาพนิ่ง ๆ ทั้งนั้น เคลื่อนไหวได้ที่ไหน แล้วก็เปิดให้เราดูทีละช่อง ๆ แต่เครื่องมันปิดหน้ากล้องโดยรวดเร็วมากทุก ๆ ช่องจนเรามองไม่เห็นการปิดหน้ากล้อง จึงได้เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่าง ๆ แล้วก็สืบต่อ ๆ กันโดยรวดเร็วมากนี่เอง เราจึงได้เห็นเป็นพระเอก นางเอก เป็นผู้ร้าย เห็นการต่อยตีและทำอะไร ๆ ต่าง ๆ นานาได้สารพัดอย่างเพราะเวลาฉายภาพยนตร์นั้นประมาณวินาทีละ ๒๔ ภาพ โทรทัศน์ ๓๕ ภาพ และสะโลโมชั่น ๑๖ ภาพ แล้วเราจะมีปัญญาเห็นจังหวะขาดของมันได้อย่างไร เราจะไม่ตกอยู่ในความหลงใหลได้หรือ

    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:08:18 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 5

  • การงานของจิตใจในขณะเห็นและได้ยิน

    การงานของจิตดังกล่าวนี้เรียกว่า ตทนุวัตติกะมโนทวารวิถี หรืออนุพันธกะมโนทวารวิถี ซึ่งเป็นการงานของจิตที่เกิดขึ้นทางมโนทวาร แต่ทว่าต่อมาจากทางปัญจทวารคือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นการแสดงถึงความจริงที่แท้จริง (ปรมัตถ์) แล้วก็เชื่อมโยงเข้าสู่ความจริงที่เรียกว่าบัญญัติ (ความจริงที่สมมติขึ้น) ตามสามัญสำนึกของคนทั้งหลาย

    ผมคิดว่าผมจะอธิบายทางโสตะทวารจะทำให้เข้าใจได้ง่ายมากกว่าทางจักขุทวาร แต่ขอให้คิดว่าเป็นไปตามแบบฉายหนังช้า ๆ เป็นขั้นตอนตามลำดับ

    ตทนุวัตติกะมโนทวารวิถี ที่ต่อจากโสตะทวารวิถี เมื่อพูดคำว่า "ฉันรักเธอ" จิตจะเกิดทางโสตะทวารมีการงานเป็นลำดับ (เชิญศึกษาการทำงานของจิตโดยพิสดาร) โดยได้ยินว่า ฉัน คำว่า รัก และคำว่า เธอ ตามลำดับ แล้วก็ดับไปจากการได้ยิน แล้วในขณะนี้เราจะรู้อะไรไม่ได้เลย จะได้ยินเฉย ๆ เท่านั้น (ต่อไปหมายเลข ๑, ๒, ๓, ๔ จิตเกิดทางมโนทาวาร)

    ๑. อตีตัคคหณะวิถี การงานของจิตในขณะนี้ก็คือ จับเอาคำว่า "ฉัน" ซึ่งเป็นอดีตไปแล้วมาวางไว้ในใจเอาคำว่า "รัก" เอาคำว่า "เธอ" มาวางไว้ในใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีตจากปัญจทวาร เพราะดับจากโสตวิญญาณ คือการได้ยินที่ประสาทหูและทำงานที่หูมาแล้ว แต่วิถีนี้เอามาวางไว้ในใจเฉย ๆ เท่านั้น ยังไม่ทราบความหมายอะไรเลย วิถีนี้เป็นปรมัตถอารมณ์และปัจจุบันอารมณ์

    ๒. สมูหัคคหณวิถี คือการงานของจิตทางมโนทวารนี้ก็ได้เแก่การเอาคำแต่ละคำมารวมกัน คือ ฉัน+รัก+เธอ แต่อารมณ์ยังเป็นปรมัตถ์อยู่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร เป็นอดีตอารมณ์เช่นเดียวกัน เพราะรับมาจากทาง ปัญจทวารวิถี

    ๓. นามัคคหณะวิถี เป็นมโนทวารวิถีที่รู้ชื่อของอารมณ์นั้น ๆ เป็นบัญญัติ เป็นโวหารของชาวโลกที่กล่าวขานกัน เป็นอารมณ์รู้คำต่าง ๆ ฉัน รัก เธอ แต่ละคำแปลว่าอะไร

    ๔. อัตถัคคหณะวิถี เป็นมโนทวารวิถีที่มีหน้าที่รับสัททารมณ์ คือ เสียงที่เป็นอดีตต่อจากทางโสตะทวารอันเป็นลำดับต่อมา และอารมณ์นี้เป็นการรู้เนื้อความ รู้เรื่องราวต่าง ๆ เป็นบัญญัติอารมณ์และเป็นอดีตอารมณ์ เพราะได้ตัดสินเรียบร้อย

    ต่อจากวิถีนี้ก็จะเกิดความชอบใจ หรือดีใจที่ได้ยินคู่รักสารภาพความรักออกมาสมใจ

  • โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:10:42 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 6

    วิถีจิตที่ผมเสนอต่อท่านเพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่างเล็กน้อยนี้จะเกิดดับสลับซับซ้อนต่อ ๆ กันมากมาย

    สำหรับวิถีจิตทางจักขุทวารคือทางตานั้น คลื่นของแสงก็จะสะท้อนมากระทบกับจิตที่ประสาทตาเป็นขณะ ๆ ต่อกันไป แต่ละจุด ๆ ต่าง ๆ จากใบหน้าจนนับจำนวนไม่ไหว เช่น จากปาก จากจมูก จากแก้ม จากคาง ฯลฯ ลำดับต่อไปก็รู้จักส่วนนั้น ๆ แล้วจึงเอาแต่ละส่วนเหล่านั้นมารวมกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงจะตัดสินใจได้ว่าเห็นเป็นคน เห็นเป็นหญิงหรือเป็นชาย โดยเอามาเปรียบกับของเก่าที่มีอยู่ในใจแล้วจึงตัดสินได้ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายเป็นสามี ภรรยของตน หรือไม่ใช่

    นอกจากนั้นก็ขอได้โปรดทราบว่า มีวิถีจิตคือการงาน ทางมโนทวารสลับกันไปบ้างเล็กน้อยและการงานของจิตเกิดขึ้นมากมายก่ายกองโดยรวดเร็ว

    อย่างไรก็ดี รูปารมณ์คือคลื่นแสง และสัททารมณ์คือคลื่นเสียงจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นสุนัข เป็นแมวไม่ได้อย่างแน่นอน การที่เราเห็น หรือได้ยินแล้วทราบว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นสุนัข เป็นแมวหรือเป็นสีต่าง ๆ ได้นั้น ก็เพราะได้อาศัยวิถีจิตที่เกิดขึ้นทางมโนทวารโดยเอารูปเก่า ๆ หรือความรู้เก่า ๆ ที่ได้เก็บเอาไว้ภายในจิตใจเข้ามาปรับหรือเข้ามาเทียบกับสิ่งที่เห็นหรือได้ยินใหม่ว่าเหมือนกันหรือไม่ ดังนี้ จึงเป็นความจริงแท้แน่นอนไม่ได้ เพราะที่เรารู้อะไร ๆ มันเกิดจากมโนภาพทั้งสิ้น เป็นเรื่องของอดีต (คิดขึ้นมาเองภายหลังจากเห็น ได้ยิน) เพราะผ่านจากการเห็น การได้ยิน อันเป็นปัจจุบันมาแล้วในเรื่องนี้ ผู้ศึกษาก็จะเห็นว่า มีการงานสลับซับซ้อนกันมากมาย แม้มันเกิดอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ทำให้สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในความหลงใหลได้โดยง่าย

    แม้สัตว์เดรัจฉานจะเห็น จะได้ยิน แล้วมันไม่รู้เรื่องอะไรย่อมเกิดโลภะ โทสะ มันก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโมหะอวิชชาอยู่นั่นเอง เพราะว่า ความจริงคือ รูปกับนาม มาปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตามันก็หาได้ทราบไม่

    รูปและนามปรากฏอยู่ต่อหน้า ทั้งรูปและนามก็อยู่ในฐานะเป็นอนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขัง คือความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา คือไม่ใช่เป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์ ไม่ใช่เป็นสิ่งของ อะไรต่าง ๆ ตามสามัญสำนึก แล้วบังคับบัญชามันอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะทั้งรูปและนามมันเกิด-ดับ โดยรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

    การเห็นอย่างผิวเผินหรือเห็นการโบกมือหรือกวักมือ การได้ยินไม่ชัดเป็นภาษาต่างประเทศ หรือได้ยินเพียงคำเดียว การงานของจิตทำกันอย่างไรก็มีคำอธิบาย และมีภาพแสดงการทำงานของจิตไว้โดยละเอียด
    (พระอภิธรรมปิฎกแสดงการทำงานของจิต (แม้ของรูป) ไว้อย่างละเอียดลออและพิสดารยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนรกหรือสวรรค์ การตาย การเกิดใหม่ ทารกในครรภ์มารดา ความฝัน ฯลฯ)

    ตามที่ได้แสดงมาย่อ ๆ ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้แล้วว่า โมหะ อวิชชา คือความโง่ ความหลงนั้น เกิดขึ้นที่ตา ที่หูแท้ ๆ แต่สัตว์ทั้งหลายผู้ซึ่งมีกิเลสหนา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เป็นเทวดา หรือเป็นพระพรหมก็ย่อมจะทราบความจริงนั้น ๆ ไม่ได้ ด้วยเหตุที่ทั้งรูปและทั้งนามเกิด-ดับ ติดต่อกันไปโดยรวดเร็วอย่างเหลือเกิน สุดปัญญาของบรรดาบุคคลทั้งหลายแม้เหตุจะเกิดอยู่ต่อหน้าต่อตาก็หาได้เข้าถึงความจริงได้ไม่

    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:12:30 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 7

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงว่า มีโมหะ อวิชชา ความโง่หรือความหลงเข้ามาปิดบังขวางกั้นเสีย เมื่อบุคคลทั้งหลายตกอยู่ในความหลงใหลดังนี้ ครั้นอารมณ์เกิดขึ้นมาแล้วก็เลยยึดว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชายแน่นอน แลัวยังยึดว่าเที่ยง (เพราะมิได้เห็นการเกิดดับ) เสียด้วย ดังนั้น จึงได้ตกเป็นข้าช่วงใช้ของตัณหาคือ ยินดีติดใจในอารมณ์ต่าง ๆ ตลอดมา

    แม้จะได้อารมณ์ไม่ชอบใจ ก็หนีตัณหาไปไหนไม่พ้น เพราะเมื่อไม่ชอบใจแล้ว ความไม่ชอบใจก็จะอุดหนุนให้ดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งที่ชอบใจติดใจอันเป็นตัณหาจนได้ ซึ่งก็หนีตัณหาไปได้แสนยากยิ่ง อำนาจของตัณหาคือความยินดีติดใจ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานซึ่งก็คือความยินดีติดใจที่เหนียวแน่น

    เมื่อเกิดอุปาทานยินดีติดใจเหนียวแน่นขึ้นมาแล้วก็หนีไม่พ้นไปจากการกระทำกรรม การดิ้นรนแสวงหาหนทางต่าง ๆ ที่จะให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมา และเมื่อได้กระทำกรรมลงไปแล้วก็หนีบาปหรือบุญไปไม่พ้น บาปหรือบุญทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วก็ฝังอยู่ในจิตใจมากมาย (ทุก ๆ ชาติ) แล้วจะหนีมิให้มีชาติหน้า และชาติข้างหน้าต่อ ๆ ไปได้อย่างไรเล่า

    อำนาจของความยินดีติดใจที่จะยกขึ้นมาให้เห็นได้ง่าย ๆ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ธนบัติใบละ ๑๐๐ หรือธนบัตรใบละ ๕๐๐ เด็กที่ยังไม่รู้ค่าของธนบัตรเขาก็จะมีความยินดีติดใจที่เห็นรูปร่างและสีว่ามันสวยงามดี แต่เมื่อเราสอนให้เขาใช้เป็นแล้ว ความยินดีติดใจก็เกิดขึ้นมามากยิ่งขึ้น เพราะเขาจะเอาไปซื้ออะไร ๆ ก็ได้ตามที่เขาปรารถนาเพื่อสนองตัณหาอุปาทานของเขาให้สมใจ แท้จริงธนบัตรเป็นกระดาษซึ่งทำมาจากเยื่อใยของไม้แล้วเอามาประทับสีต่าง ๆ ลงไป ถ้าว่าโดยหลักปรมัตถสัจจธรรมมันก็คือรูปปรมาณูที่เอามารวมกันนั่นเอง แต่เมื่อสังคมตกลงกันว่าให้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายใคร ๆ ก็พากันหลงใหล ต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันทุก ๆ ทางเพื่อช่วงชิงที่จะอามาเป็นของตนให้จงได้แล้วให้มากที่สุดด้วย อำนาจของตัณหาคือความยินดีติดใจ (องค์ธรรมก็ได้แก่ความโลภ) ก็เก็บฝังเอาไว้ในใจ แล้วตัวตัณหาคือความโลภนี้ก็จะเข้ามาช่วยอุดหนุนให้แสดงออกซึ่งความอยากจะได้ แล้วต่างก็ดิ้นรนขวนขวายเท่าที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลาเพราะสัตว์ทั้งหลายหลงผิดในปัญหาของชีวิตจิตใจที่เกิดอยู่ต่อหน้าต่อตา จึงได้ตกเป็นข้าช่วงใช้ของตัณหาอยู่เกือบตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ แล้วจะไม่ให้เบียดเบียนกันหนักหน่วงรุนแรงและรบราฆ่าฟันกันตายไปทั่วโลกจะได้หรือ แล้วจะไม่ให้การเกิดใหม่ และเกิดใหม่ต่อ ๆ ไปจะได้อย่างไร

    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:14:16 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 8

    เมื่อยังต้องเกิดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร อำนาจของตัณหามันก็จะแสดงบทบาทของมันต่อ ๆ กันไปไม่ขาดสาย แล้วสัตว์ทั้งหลายก็โดนอำนาจของตัณหามันอุดหนุนบันดาลใจ จึงได้บังเกิดความหลงใหลเข้าใจผิดคิดว่ามีความสบาย

    เขาทั้งหลายหาได้ทราบไม่ว่า เมื่อเกิดมีชีวิตขึ้นมาแล้วจะต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตทั้งโดยตรงและโดยปริยายหยุดนิ่งไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ว่าโดยความจริงที่แท้แล้วหาได้มีความสบายไม่ ทั้งนี้ก็เพราะโมหะหรืออวิชชามาปิดบังขวางกั้นอยู่ต่อหน้าต่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    แต่มนุษย์ผู้อวดว่าตนเป็นคนฉลาดและแหลมคมก็มองเห็นมันไม่ได้ แล้วก็ไม่ทราบว่ามันคือสาเหตุของทุกข์โทษภัยร้ายแรงอย่างไร เพราะจะทำให้เวียนว่ายตายเกิดต่อ ๆ กันไปไม่ขาดสาย แล้วจึงไม่ทราบว่า หนทางที่จะพ้นทุกข์ได้เด็ดขาด แท้จริง และสิ้นเชิงนั้น อยู่ที่ไหนแล้วจะทำประการใด (ขอเชิญอ่านเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน)

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ มีพระมหากรุณาเป็นล้นพ้นได้อุตส่าห์อดทนบำเพ็ญบารมีมามากมายในอดีตจนนับชาติไม่ไหว เมื่อตรัสรู้แล้วก็ได้ต่อสู้กับบรรดาเถียรถีย์ คือผู้ข้ามไม่ถูกท่า ผู้ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิจำนวนมากอยู่ตลอดเวลาด้วยความปรารถนาดีที่ยิ่งใหญ่ที่หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ นั่นก็คือความปรารถนาที่จะให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายให้มีความเข้าใจในเหตุผลและข้อเท็จจริงของเรื่องของชีวิตจิตใจที่มนุษย์มองเห็นได้และมองเห็นไม่ได้ จะได้มีปัญญา แล้วจะได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปในแต่ละชาติ ๆ ข้างหน้า สำหรับผู้ที่ก้าวขึ้นมาไม่ไหว ก็จนใจ เพราะแล้วแต่บุญแต่วาสนาที่ได้อบรมมา

    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:15:32 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )


      สลักธรรม 9

    พระองค์ท่านปรารถนาจะให้เห็นทุกข์โทษภัยของการเวียนว่ายตายเกิดที่ได้ผ่านมาแล้วจนนับชาติไม่ได้ แล้วยังจะเกิดในชาติข้างหน้าต่อไปอีกจนนับชาติไม่ไหว ว่าน่าหวาดเกรงเพียงใดเพราะลงมีชาติคือความเกิดแล้วมีปัญหาต่าง ๆ ที่จะต้องแก้ไขก็จะต้องติดตามมาจนนับไม่ได้ทุกชาติ ๆ ไป

    ความปรารถนาที่จะให้เกิดปัญญาในปัญหาของชีวิตจิตใจดังกล่าวมานั้นมีอยู่ ๓๙ ประเภท พระองค์ได้เสนอเอาไว้ให้พิจารณาเพื่อหวังจะให้เห็นว่า ความเกิดนั้นน่าหวาดหวั่นหพรั่นพรึงอย่างเหลือแสนเพียงใด แล้วพระองค์ก็ยังมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด คือโลกุตรปัญญาอีก ๘ ประเภท คือปัญญาที่จะพาให้ชีวิตพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตอีกต่อไปตลอดนิรันดร (เชิญอ่านหนังสือชื่อปัญญา)

    ปัญญาอันหลังนี้ได้แก่หนทางอันเอกซึ่งมีอยู่สายเดียวไม่มีผู้ใดในโลกนี้หรือในโลกไหนที่จะแสดงได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงเอาไว้เพื่อหวังจะให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้เดินไปตามสายทางนี้ ซึ่งเป็นสายทางที่จะเกิดปัญญาที่สามารถทำลายโมหะอวิชชาที่มาปกปิดความจริงที่อยู่ต่อหน้าเสียได้

    ผมก็ได้แสดงเรื่องอายตนะ เรื่องธาตุ และปฏิจจสมุปบาทในอารมณ์ปัจจุบันให้ท่านได้เห็นหน้าตาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นตัวอย่าง ผู้เข้าปฏิบัติหนทางพ้นทุกข์จะต้องทำความเข้าใจแล้วทราบว่าจะโยนิโสมนสิการคือ วางใจให้แยบคายหรือพิจารณาให้ลึกซึ้งเป็นปัจจุบันและเป็นปรมัตถธรรมนั้นปฏิบัติอย่างไร ...(ขอเชิญเข้าปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่อภิธรรมมูลนิธิ ณ สำนักปฏิบัติตั้งอยู่ที่อ้อมน้อย ถนนเพชรเกษม ก.ม.ที่ ๒๔ จากกรุงเทพฯ มีห้องปฏิบัติประมาณเกือบ ๕๐ ห้อง สำหรับพระสงฆ์และฆราวาสหญิงชาย มีห้องน้ำประจำแต่ละห้องเป็นอิสระ มีโต๊ะ เก้าอี้ มีเตียงนอน และมีโรงครัว น้ำประปา ไฟฟ้า พร้อมบริบูรณ์)

    ท่านสาธุชนผู้มีน้ำใจเป็นธรรมที่เคารพ ท่านได้อ่านปฏิจจสมุปบาท เฉพาะอย่างยิ่ง "อวิชชา" เพียงใน ๑ ใน ๑๒ องค์มาแล้ว ท่านก็จะเห็นความจริงได้ว่า มีความลึกซึ้งเพียงใด แต่ท่านบาดหลวงมนัส จวบสมัย เขียนไว้ในแสงธรรมปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ พ.ค. - ส.ค. หน้า ๑๐๒ - ๑๐๔ ได้แสดงเอาไว้ว่า

    ปฐมเหตุของสรรพสิ่ง คือ พระเจ้า พระผู้สร้าง...พระองค์คือสยมภู...พระองค์ เป็นผู้สร้างสากลจักรวาล และทรงตั้งกฎปฏิจจสมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก...ปฏิจจสมุปบาทคือแผนการของพระเจ้าที่มีต่อโลกและต่อมนุษย์ พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาตีแผ่ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ไม่มีผู้ใดจะดลบันดาลอะไรขึ้นมา ผลทั้งหลายย่อมจะมาจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะะเกิดขึ้นมาไม่ได้แลยเป็นอันขาด

    พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ แต่พระสัมมาสัมพุทธจ้าทรงแสดงว่า ความเกิดขึ้นมาของสัตว์ทั้งหลายนั้นมาจากเหตุปัจจัย แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดมาจากอดีตที่แสนไกล และย้ำแสดงอยู่ทั่วไปในพระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ว่าความเกิดนั้นเป็นทุกข์ เพราะจะต้องแก้ปัญาหาให้แก่ชีวิตไม่รู้จักจบสิ้นลงได้ แล้วพระองค์จึงได้ชี้แจงแสดงหนทางเดินที่จะให้พ้นทุกข์ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเสียได้

    ลองพิจารณาดูว่าความมุ่งหมายและความละเอียดลึกซึ้งนั้นห่างไกลกันเพียงใด และเจตนาของบาดหลวงผู้นี้เป็นอย่างไร เรื่องมันขัดกันอย่างตรงกันข้ามเช่นนี้ ไม่ทราบว่าท่านไปค้นได้มาจากคัมภีร์ใบเบิลตรงไหน แล้วไม่ทราบว่าจะสร้างชีวิตขึ้นมาให้ต้องแก้ปัญหาอย่างไม่รู้จักจบสิ้นไปทำไป อยู่เฉย ๆ เสียจะไม่สบายกว่าหรือ

    น่าสงสารท่านผู้เขียนเหลือเกิน เพราะไม่ทราบว่า การแสดงออกซึ่งวจีทุริตดังที่ผมได้แสดงมาแล้วนั้นจะนำไปสู่ทิศทางใดเมื่อชีวิตได้สิ้นสุดลงไป ท่านทั้งหลายคิดว่าพระเจ้าจะช่วยได้หรือไม่

    ขอความสุขความเจริญ ความมีสติปัญญา จงบังเกิดขึ้นแก่ท่านสาธุชนทุกท่าน และขอให้สร้างปัญญาบารมีได้มากๆเพื่อจะได้พาตนเองพ้นจากความทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ทั่วกันทุกท่านเทอญ.


    โดย พี่เณร..นำมาฝาก [17 ก.ย. 2558 , 18:18:46 น.] ( IP = 61.90.105.99 : : )

    ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
    จาก : *
    Code :
    กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
    อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
    รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
    รายละเอียด :
    Icon Toy
    Special command

    * *
    กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

    คำเตือน
    • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
    • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
    • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

    ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

    [ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

    ลานภาพ

    อบรมวิปัสสนา

    ค้นหา

    ค้นหา-GooGle

    สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org