มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


ยี่สิบสี่พฤศจิกา ยี่สิบห้าปี






ยี่สิบห้าปีพ้นบนกาลพราก
ท่านอาจารย์ได้จากนักศึกษา
ด้วยสิ้นกาลหมดกรรมนำชีวา
เวียนเข้าสู่มรรคาเกิดและตาย

มองสถานอภิธรรมน้อมนำจิต
ฐานะศิษย์ผู้เรียนเพียรสืบสาย
สำรวจตนค้นพบผลมากมาย
ที่แปลงเปลี่ยนจากร้ายมาเป็นดี

เพราะคำสอนของอาจารย์ที่ขานกล่าว
บอกเรื่องราวเร้นลับของวิถี
แห่งสุขทุกข์ดีร้ายประดามี
ที่บังเกิดในชีวีของบุคคล

เพราะหนังสือของอาจารย์ที่สานเสริม
สิ่งเพิ่มเติมจากคำสอนสร้างกุศล
สรรสาระพระอภิธรรมแก่ผู้คน
ได้สืบค้นยามว่างสร้างปัญญา

เพราะวิถีชีวิตของอาจารย์
ที่ก่อสร้างกิจการแหล่งศึกษา
ให้ประโยชน์ผู้อื่นด้วยเมตตา
บริหารด้วยกรุณาให้เกียรติคน

ยี่สิบห้าปีผ่านในกาลนี้
น้อมฤดีบูชาครูผู้สร้างผล
ท่านอาจารย์บุญมีประทีปชน
ผู้เปี่ยมล้นอุดมการณ์สานสืบธรรม

ยี่สิบสี่พฤศจิกา ...ยี่สิบห้าปี
ห้วงเวลาพลัดพรากยี่สิบห้าฉนำ
น้อมกุศลเก้าพันวันที่สรรค์ทำ
เป็นกตเวทิตากรรมแด่อาจารย์.

กราบระลึกในพระคุณของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ด้วยความเคารพสักการะยิ่ง
คณะศิษย์มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิและสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอ้อมน้อย
(ในโอกาสครบรอบวันมรณภาพของท่านอาจารย์ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๔)


โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:06:18 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ
[ 1 ] [ 2 ]


  สลักธรรม 1



นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เป็นต้นมา นับเป็นระยะเวลาครบยี่สิบห้าปีแห่งความพลัดพรากจากท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ผู้เป็นประธานผู้ก่อตั้งและเป็นปูชียาจารย์ของมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

คณะผู้บริหารมูลนิธิและคณะศิษย์ได้ร่วมกันสืบสานอุดมการณ์ของท่านอาจารย์ด้วยการดำเนินกิจกรรมการศึกษาพระอภิธรรมและการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาอย่างต่อเนื่องตามกำลังความสามารถ

โดยเฉพาะอุดมการณ์ประการสำคัญของท่านอาจารย์คือ มุ่งเน้นการให้ความรู้เพื่อผู้เรียนได้นำไปทำความเข้าใจกับชีวิตของตนเอง รวมทั้งความสุขและความทุกข์ที่มีมาในชีวิต และมีปัญญาที่จะพิจารณาเลือกเส้นทางการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าต่อไปนั้น ยังคงยืนหยัดอยู่คู่มูลนิธิตลอดมา

มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิยังคงเป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไรหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลหรือสถาบันต่างๆ เว้นแต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏว่าผู้ที่มาเกี่ยวข้องกับมูลนิธิจะได้นำพาชีวิตไปประกอบกุศลให้มากยิ่งๆ ขึ้น มีการฝึกฝนปัญญาเพื่อกำจัดกิเลสทั้งสามตระกูลคือโลภะ โทสะ และโมหะ ได้มากยิ่งขึ้น

มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิยังคงดำเนินกิจการเพื่อสร้างปัญญาและให้โอกาสแก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการฝึกหัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นกุศลกรรมเพื่อละกิเลสได้โดยตรง

มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิยังคงใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อสร้างความเห็นถูกให้แก่บุคลากรและปลูกฝังความเสียสละให้เกิดขึ้นแก่พุทธบริษัทที่จะสืบสานงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ในทุกกิจกรรมที่กล่าวถึงนี้อาจจะมีปัญหาอุปสรรคเข้ามาทักทายบ้างตามกระแสกรรมของส่วนรวมและส่วนตน แต่ทุกสิ่งก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดีและมีผลลัพธ์ประดุจน้ำซึมบ่อทรายคือมีผู้มาร่วมกิจการงานกุศลอยู่เสมอและเป็นผู้ที่มีจิตใจกอปรด้วยกุศลมากยิ่งขึ้นสามารถลดความวาดหวังและวุ่นวายกับชีวิตของผู้อื่นลงได้มากขึ้น

ในทุกกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีกุศลก่อเกิดตามขั้นตอน หากนับตามอายุขัยของมนุษย์ ๗๕ ปี กุศลที่ผู้ตามรอยเท้าของท่านอาจารย์มาตลอด ๒๕ ปีนี้ก็นับได้ว่าได้ผ่านหนึ่งในสี่ของขัยอายุและกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่รอเติบโตไปตามกาลต่อไป

ในโอกาสนี้จึงขอน้อมนำกุศลทั้งมวลที่พวกเราทุกคนได้กระทำมาในห้วงเวลา ๒๕ ปี กราบบูชาพระคุณของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ด้วยความเคารพสักการะยิ่ง และขอให้กุศลทั้งปวงนี้คุ้มครองมูลนิธิให้ดำเนินกิจการโดยปราศจากอุปสรรคสามารถอำนวยประโยชน์ทางด้านปัญญาให้แก่พุทธศาสนิกชนผู้สนใจได้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ.

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:07:56 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 2



ขอนำเนื้อหาบางส่วนในหนังสือที่ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ได้เขียนขึ้นเพื่อสร้างเสริมความเข้าใจในเรื่องที่ยากให้กระจ่างชัดขึ้น มาแสดงไว้ในที่นี้เพื่อร่วมระลึกถึงความปรีชาสามารถในการอธิบายของท่านอาจารย์อีกครั้งตามข้อความต่อจากนี้)

สติคืออะไร?

คำว่า "สติ" คนไทยรู้จักและใช้กันมานานแล้ว มักจะใช้ไปในการเตือนใจให้ไม่เผลอเรอในการดำเนินชีวิตหรือกระทำธุรกิจการงานต่าง ๆ ผู้ใหญ่มักจะเตือนสติเด็กเล็ก ๆ ว่า เดินไปให้ดี ระวังจะล้มลง

มีผู้แปลคำ "สติ" ว่าความระลึกได้ แต่ระลึกอะไรได้ หรือระลึกในเรื่องอะไรก็มิได้อธิบายไว้ให้ชัดเจนอย่างใดเลย ดังนี้ เราจึงใช้กันไปในเรื่องสารพัดทั้งปวง ไม่ว่าบุญหรือบาป แม้เดินออกไปในถนนหลวงแล้วเผลอไผลไม่ทันดูรถที่แล่นไปมา นึกขึ้นมาได้ หรือรู้สึกตัวขึ้นมา เราม็มักจะพูดกันว่า "ขาดสติ"

ถ้าว่าถึงสติเจตสิก และเป็นสติตามหลักปรมัตถธรรม สติมิได้แปลว่าระลึกได้เฉย ๆ โดยมิได้เจาะจงลงไปว่าระลึกอะไรได้ สติ จะใช้ทั่วไปในเรื่องราวสารพัดทั้งปวงไม่ได้ สติเจตสิก หมายถึงระลึกรู้สึกตัวมิให้จิตไหลไปในอกุศล และสติเจตสิกมีขอบเขตการใช้ในฝ่ายกุศลจิตอย่างเดียว จะเอาไปใช้ใน ฝ่ายอกุศลไม่ได้เลยเป็นอันขาด

คำว่า "ขาดสติ" ใช้กันไปก็ไม่มีใครว่ากระไร แต่จะเอามาใช้ในเรื่องที่กำลังศึกษา คือปรมัตถธรรมไม่ได้ เพราะสติจะเกิดกับกุศลจิตอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อคนคิดจะทำบาป เช่นไปยิ่งนกตกปลา แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรจะกระทำ เพราะชีวิตของใครใครเขาก็รัก จะไปยื่นโยนความเจ็บปวดให้คนอื่นนั้นไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ความคิดเช่นนี้ย่อมจะเป็นกุศล ความระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาดังนี้ ย่อมจะมีสติเจตสิกเข้าประกอบ หรือบุคคลที่ทำสำรับกับข้าวใส่บาตรพระอยู่ทุก ๆ เช้า จะมีสติเจตสิกประกอบกับกุศลจิตของเขาทุก ๆ ดวง

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:08:20 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 3

คำถามจากนักศึกษาพระอภิธรรม : สติเจตสิกคือ ระลึกรู้สึกตัว ไม่ให้จิตไหลไปในอกุศล แต่ตัวอย่างที่อาจารย์แสดงมานั้น คนหนึ่งระลึกรู้สึกตัว ไม่กล้าทำบาปลงไป ด้วยเห็นว่าไม่สมควรทำ แต่อีกคนหนึ่งมิได้ระลึกรู้สึกตัวอะไรเลยในการกระทำบาป เขาใส่บาตรของเขาทุก ๆ วัน นึกถึงแต่บุญกุศลเท่านั้นเอง ไม่ได้นึกถึงบาปเลยสักนิด ก็เท่ากับว่าไม่เป็นไปตามความหมายที่ให้ไว้ตั้งแต่ต้น

คำตอบของท่านอาจารย์บุญมี : ผมขอถามท่านสักหน่อย ท่านจำไม่ได้หรือไม่ว่าผมได้เคยบรรยายไปแล้วว่า คนทั้งหลายมีแต่ความมักได้เห็นแก่ตัว เฝ้าคิดนึกตรึกตรองแต่จะให้ตัวเองสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง ให้ได้รับอารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ ให้ได้อารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ ให้ได้สิ่งที่ตัวชอบใจอยู่ตลอดเวลา

มีน้อยเหลือเกินที่จะยอมเสียสละ ที่จะเผื่อแผ่ความสุขความสบายให้แก่คนทั้งหลายเป็นไปได้ยากที่สุดที่จะคิดเผื่อแผ่ความสุขความสบายให้แก่คนทั่วไป ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจแห่งสัญชาตญาณความเห็นแก่ตัวเองของบุคคลทุกคนที่ได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลายาวนานเป็นเครื่องยับยั้งสะกัดกั้นเอาไว้

ด้วยเหตุดังนี้เอง ผู้ใส่บาตรอยู่ทุก ๆ วัน คือเสียสละจริง ๆ ไปยังผู้อื่น เขาก็จะต้องหักล้างทำลายความเห็นแก่ตัวเสียได้ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้น อำนาจความเห็นแก่ตัวชักพาจิตใจของเขาให้ไหลล่องไปตามความเห็นแก่ตัวไม่ได้เสียสละในช่วงระยะเวลานั้น จึงได้ชื่อว่า ระลึกรู้สึกตัวมิให้จิตไหลไปในอกุศลโดยปริยาย

แต่อย่างไรก็ดี ความรู้สึกตัวดังกล่าวมิได้รู้สึกสำนึกตัวจริงจังหรือชัดเจนออกมาให้เห็น เพราะในขณะนี้สติเจตสิกมิได้เป็นประธาน แต่ขอให้จำเอาไว้ว่า กุศลจิตเกิดขึ้นครั้งใด จะขาดสติเจตสิกเสียมิได้

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:08:48 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 4

คำถามจากนักศึกษาพระอภิธรรม : ผมได้ฟังคำอธิบายแล้ว ก็พอจะมีความเข้าใจ แต่ก็ไม่วายสงสัยต่อไปอีกที่อาจารย์กล่าวว่า สติเจตสิกนั้นเกิดกับกุศลจิต ผมจึงขอให้อธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อยว่า ประกอบกับกุศลจิตทุกประเภทโดยไม่มีเว้นเลยหรืออย่างไร

คำตอบของท่านอาจารย์บุญมี : สติเจตสิกจะต้องประกอบกับกุศลจิตทุก ๆ ประเภท ไม่ว่ากุศลจิตประเภทไหน เช่น

กามาวจรกุศล มีการทำบุญให้ทาน การแผ่ส่วนกุศลให้ผู้อื่น ตลอดไปจนถึงการทำสมาธิ ทำวิปัสสนา เป็นต้น

รูปาวจรกุศล ทำสมาธิจนกระทั่งได้ปฐมฌาน ไปจนถึงฌานที่สูง ๆ ขึ้นไป

อรูปาวจรกุศล ทำสมาธิที่มิได้เพ่งรูปตั้งแต่อากาสานัญจายตนฌานเป็นต้นไป

โลกุตตรกุศล การทำวิปัสสนาจนถึงได้มรรค ผล นิพพาน ตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:09:05 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 5

คำถามจากนักศึกษาพระอภิธรรม : คนทั้งหลายชอบพูดกันโดยทั่วไปว่า สติปัญญา มักจะใช้คำทั้ง ๒ นี้คู่กันไปอยู่เสมอ ผมเข้าใจว่า สตินั้นเป็นตัวหนึ่ง และปัญญาก็เป็นอีกตัวหนึ่ง

คำตอบของท่านอาจารย์บุญมี : เป็นเจตสิกคนละตัวกัน คือ สติเจตสิกตัวหนึ่ง และปัญญาเจตสิกอีกตัวหนึ่ง ปัญญาเจตสิกเป็นตัวสุดท้ายของเจตสิกทั้งหมดในเจตสิก ๕๒

ปัญญานั้นหาใช่ปัญญาดังที่เข้าใจกันในทางโลกไม่ เพราะปัญญาในทางโลกนั้นมีปัญญาอะไรก็ได้ ไม่ว่าบาปหรือบุญ ศึกษาวิทยาการต่าง เช่น วิชาแพทย์ วิชากฎหมาย วิชาวิทยาศาสตร์ ก็ว่าปัญญา แม้รู้วิธีฆ่าสัตว์ที่แยบคาย รู้วิธีคดโกงคนอื่นจนตำรวจไม่มีความสามารถจับได้ ก็ว่ามีปัญญา

ในพระพุทธศาสนา ปัญญานั้นว่าโดยตรงก็ได้แก่มีความรู้ความเข้าใจในปัญหาของชีวิต และจะเอาปัญญานี้เป็นหนทางนำชีวิตของตนเองไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

ผู้มีปัญญาจะต้องเข้าใจเรื่องของกรรมว่าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เก็บงำเอาไว้ที่ไหน และแสดงผลของกรรมขึ้นมาได้หรือไม่ เมื่อใด ผู้มีปัญญาจะต้องเรียนรู้เรื่องของชีวิตว่า เวียนว่ายตายเกิดอย่างไร มีที่เกิดอยู่ที่ไหนบ้าง ภพภูมิที่ได้รับความสุขอย่างสุดยอด ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัสมีจริงหรือไม่ เหตุใดจึงต้องเกิดอยู่ในที่นั้น ๆ

ผู้มีปัญญาจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจในหนทางที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด โดยรู้จักหนทางนี้อย่างน้อยก็จากการศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ต้นเป็นลำดับไปจนถึงที่สุด

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:09:22 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 6

คำถามจากนักศึกษาพระอภิธรรม : สติเจตสิกนั้น เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิกหรือเปล่า หรือขณะใดปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว จะมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือหาไม่

คำตอบของท่านอาจารย์บุญมี : สติเจตสิกเกิดนั้นปัญญาเจตสิกอาจไม่เกิดก็ได้ แต่ถ้าปัญญาเจตสิกเกิดขึ้นมาแล้วสติเจตสิกจะไม่เกิดขึ้นมาก็ไม่มีเลย

สติเจตสิกเกิดอยู่ในจิต ๕๙ ประเภท ตัวอย่างเช่น ทำบุญให้ทาน รักษาศีล แต่ไม่ทราบเลยว่า กรรมนั้นจะมีจริงหรือไม่ ตายแล้วจะต้องเกิดอีกหรือเปล่า ทำเผื่อ ๆ เอาไว้กระนั้นเอง เผื่อว่าชาติหน้าอาจจะมีบ้างกระมัง

ผู้ทำบุญชนิดนี้ได้กุศลน้อยด้วย แล้วก็ไม่มีปัญญาเจตสิกเข้าประกอบด้วย แต่จิตนี้เป็นกุศลถึงจะได้กุศลน้อยก็ตาม ก็ประกอบด้วยสติเจตสิก

หรือบางท่านทำบุญให้ทานโดยมิได้พิจารณาความจริงของชีวิตประการใดเลย เขาว่าได้บุญก็ทำตาม ๆ เขาไปกระนั้นเอง เช่นเขามาเรี่ยไร หรือบอกบุญ ความจริงไม่อยากจะทำ แต่เกรงใจผู้มาขอเรี่ยไร จึงให้ไปเพราะด้วยความเสียไม่ได้ เช่นนี้ปัญญาก็ย่อมจะเข้าประกอบไม่ได้

จิตบางประเภททำสมาธิจนได้ฌานต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีปัญญาเข้าประกอบ เช่น พวกฤๅษีชีไพรที่เกิดก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นจิตที่เรียกว่า โลกุตตระ คือ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้มรรค ได้ผล แล้วเป็นพระอริยบุคคล จิตประเภทเหล่านี้ที่สติจะต้องเกิดร่วมด้วยเสมอทุกครั้ง

สำหรับปัญญาเจตสิกนั้นเกิดได้ในจิต ๔๗ ดวงเท่านั้น ไม่ครบ ๕๙ เหมือนสติเจตสิก สติเจตสิกเกิดได้ในจิตที่มีปัญญาทั้งหมด แต่ปัญญาเจตสิกหาได้เกิดอยู่ในสติทั้งหมดได้ไม่


โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:09:43 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 7



คำถามจากนักศึกษาพระอภิธรรม : การที่จะศึกษาพระอภิธรรมนั้น ควรเป็นไปตามลำดับอย่างไร?

คำตอบของท่านอาจารย์บุญมี : มีหลายท่านได้ประสบกับความล้มเหลวถึงแม้จะไม่สิ้นเชิงก็ตาม เพราะมิได้ศึกษาเป็นไปตามลำดับขั้นกล่าวคือตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ไปจนถึงปริจเฉทที่ ๙ หรือจะศึกษาเรื่องจิต เจตสิก รูป ได้แก่ปริจเฉทที่ ๑, ๒, ๖ แล้วจึงกลับมาศึกษาปริจเฉทที่ ๓, ๔, ๕, ๗, ๘, ๙ เป็นลำดับไปอย่างนี้ก็ได้

แต่บางท่านกลับศึกษากระโดดไปกระโดดมาตามแต่ว่าใครชวนให้ศึกษาอะไร หรือคิดว่าอะไรดีก็เอาทั้งนั้น แม้กระทั่งคัมภีร์ใหญ่ทั้ง ๗ ก็ตามไปศึกษา

ความจริงควรจะได้ศึกษาให้เป็นไปตามลำดับอย่าได้ขาดตอนเสีย แล้วเวลาที่เหลือนอกนั้น อยากจะศึกษาห้องใด หรืออยากจะศึกษาในปริจเฉทไหนเพิ่มเติมอีก แม้จะสลับกันอย่างไร หรือจะศึกษาคัมภีร์ใหญ่ก็ควรทำได้ เพราะได้สร้างพื้นฐานกำกับไปด้วยแล้ว ย่อมไม่คลอนแคลนได้ง่าย

เพราะเมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาสาระจากคัมภีร์พระอภิธรรมทั้งหมดแล้วก็จะเห็นได้ว่า เป็นวิทยาการที่เต็มได้ด้วยเรื่องราวของชีวิตอันลึกซึ้งทั้งสิ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ศึกษามีความเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจเรื่องแม้จะเร้นลับที่วิชาการสมัยใหม่มิอาจจะให้ได้

ผู้ศึกษาดีจะมีความสุขความเยือกเย็นใจ ไม่ว่าจะไปตกอยู่ในสารทิศใด ทั้งจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เสมอ แม้เวลาที่ถือกันว่าสำคัญที่สุด คือใกล้จะถึงแก่ความตายก็รวมอยู่ด้วย

ประการสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การศึกษาพระอภิธรรมทั้งหมดนั้น ผู้ศึกษาจะได้รับประโยชน์ที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนาด้วย เพราะว่าพระอภิธรรมทุกปริจเฉทและทุกคัมภีร์ เมื่อศึกษาแล้วก็จะเห็นว่า ความรู้ที่ได้รับแต่ละขั้นแต่ละตอน ล้วนแต่เป็นการนำทางสู่เหตุผลมากมาย และนำไปสุ่จุดหมายปลายทางคือความพ้นทุกข์ทั้งนั้น เป็นการนำให้เข้าถึงความลึกซึ้งของการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างสำคัญทีเดียว

ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมากเท่าใดก็ยิ่งจะได้เหตุผลจากการปฏิบัติลึกซึ้งมากเท่านั้น จะปฏิบัติผิดหรือถูกได้เหตุผลหรือไม่ก็จะเข้าใจ นอกจากนั้น ในเรื่องราวของพระอภิธรรมที่แสดงเป็นอันมาก เมื่อฟังแล้วพิจารณาตามไปด้วยดี ก็ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติด้วยเหมือนกัน

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:10:09 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 8



นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ผู้มีปัญญาเพราะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมย่อมจะได้รับมหากุศลญาณสัมปยุตอันเป็นปัญญา ซึ่งปัญญานั้นไม่เหมือนกับทรัพย์สินเงินทอง เพราะเงินทองนั้นเมื่อตายลงแล้วก็เอาไปไม่ได้ โจรผู้ร้าย อุทกภัย ตลอดจนอัคคีภัยก็ไม่อาจเบียดเบียนได้

ปัญญานี้จะติดตัวไปไม่มีการสูญหายเสียในระหว่างทาง ทั้งจะติดตามไปทุกๆ ชาติด้วย คอยป้องกันภัยอันตราย เป็นเพื่อนเดินทางผู้ซื่อสัตย์ ที่จะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะไปตกทุกข์ได้ลำบากหรือ ยากดีมีจนอย่างใดก็มิได้ทอดทิ้ง คอยระแวดระวังมิให้เดินทางที่ตรงไปสู่ หุบเหวแห่งหายนะ

คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้นมีปัญญาเข้าประกอบนี้ จะติดตัวไปทุกหนทุกแห่งโดยไม่มีอันตราย เมื่ออุบัติขึ้นในชาติหน้ามีปัญญาติดตัวไปด้วยแล้ว ก็จะมีความหวังในการปฏิบัติวิปัสสนาว่าจะได้ผลสำเร็จไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ เพราะผู้ที่มิได้มีปัญญาติดตัวมาจากอดีตชาติแล้ว จะบรรลุผลสมหวังมิได้เลย เหมือนกับผู้ที่ไม่เคยชอบวิชาวาดเขียนมาก่อน ในชาติที่แล้วๆ มาก็มิได้มีความสนใจ แล้วในชาตินี้จะเขียนรูปได้ดีก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ผู้ที่เกิดมาแล้วมีความสุขสมบูรณ์พูนสุขมาก ร่ำรวยเงินทอง หรือมียศบรรดาศักดิ์ มีผู้นับหน้าถือตาทั่วไป ถ้าไม่มีปัญญาในเรื่องของชีวิตจากพระอภิธรรมปิฎกเข้าไปช่วยประคับประคองแล้ว ก็มักจะเหลิงลอยลมเตลิดไปยังทางต่างๆ ในทางโลก เพลิดเพลินไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จนมิได้หันกลับมาดูข้างหลัง สิ่งแวดล้อมที่น่าหลงใหลก็จะชักชวนไปยังสารทิศทั่วไป เพราะไม่มีปัญญาที่จะได้มอง หรือพิจารณาดูชีวิตของตนตามความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ภัยอันตรายก็จะเกิดขึ้นได้ ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป

แต่ถ้ามีปัญญาเพราะได้ศึกษาเล่าเรียนเรื่องของชีวิตติดตัวมาแล้ว แม้จะหลงเตลิดเพลิดเพลินไปอย่างไรก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคงจะมีวันใดวันหนึ่งที่กุศลจิตอันประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นมาก่อให้เกิดความรู้สึกยับยั้ง แล้วถอยกลับมาสู่หนทางที่จะหลุดรอดไปจากความทุกข์ หนทางที่มฤตยูรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้

ความมั่งมีศรีสุขย่อมเป็นเหตุให้หลงเพลิดเพลินหรือหลงงมงายเข้าสู่อบายโดยไม่รู้สึกตัว และถ้าจังหวะใดเกิดความคับขันขึ้นมาก็ย่อมจะ ชักนำชีวิตให้ไปสู่ความหายนะไปได้โดยไม่ยากอะไร อาจกลายเป็นคนเล่นการพนัน คดโกง ตลบแตลงหลอกลวงชาวบ้าน หรือหากินทางทุจริต ปีนป่ายเหยียบย่ำไปบนคนอื่น หรืออาศัยน้ำตาของคนอื่นเพื่อหวังจะได้อาศัยเป็นหลักปักมั่นในความเป็นอยู่ของตน

เพราะอำนาจของความโลภที่ได้อบรมมาหรือสิ่งแวดล้อมชักพาไปหรือความยากจนอดอยากนี่เอง ที่ชักนำชีวิตไปสู่ทิศทางที่เป็นทุกข์โทษภัย แม้ตายลงแล้วก็มีหวังไปอบายเป็นแน่ แต่ถ้ามีปัญญาเข้าประกอบด้วยโดยอาศัยอบรมมา ปัญญาก็จะช่วยแก้ไขให้หนักเป็นเบา ปัญญาก็จะมาหันเหให้ชีวิตไม่ต้องเข้าไปสู่ทางหายนะ ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:10:28 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 9



ผู้ปฏิบัติที่คิดหาทางลัดที่จะเดินเพื่อหวังว่าจะให้จบเกมของชีวิตเสียเร็วๆ จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พอเรียนรู้ได้นิดหน่อยแล้วก็ว่า เรียนกันไปมากๆ ทำไมให้รกสมอง ให้ชักช้าเสียเวลาเปล่าๆ ด้วยเราไม่ได้คิดที่จะเป็นครู รีบๆ ปฏิบัติเร็วๆ โตแล้วเรียนลัดดีกว่า

บุคคลที่มีความคิดดังกล่าวนี้ ยังมีความคิดไม่ถูกต้อง เพราะมีการศึกษาน้อย ยังไม่มีความเข้าใจเพียงพอ ผู้ปฏิบัติที่จะเข้าถึงหนทางที่จะไปสู่การพ้นทุกข์ได้นั้น จำจะต้องอบรมบ่มนิสัย ทำปัจจัยอันได้แก่ปัญญาบารมีมาแต่อดีตเพียงพอ ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าหากขาดปัญญาบารมีแล้ว แม้พยายามตั้งแต่หนุ่มสาวจนถึงแก่เฒ่าแล้วไปจนถึงแก่ความตาย ก็ไม่อาจบรรลุถึงที่หมายได้

เรื่องของบุคคลนั้น ในสภาวธรรมแสดงไว้หลายบุคคล แต่มีผู้เข้าถึงความจริงจากการปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นสูงญาณปัญญาเกิดได้มีบุคคลเดียวเท่านั้นคือ ติเหตุกบุคคล อันเป็นบุคคลพิเศษมีเหตุ ๓ ประกอบด้วยปัญญาบารมีนี้อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คงจะไม่ทราบว่า ตัวเองเป็นติเหตุกบุคคลหรือเปล่า ฉะนั้น ผู้เข้าปฏิบัติที่ไม่ยอมศึกษาให้มีความเข้าใจจึงอาจพบความล้มเหลวได้ง่ายดาย ทั้งความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ทราบเหตุผลด้วยว่า ล้มเหลวเพราะอะไร

จะเป็นเพราะมิได้ปฏิสนธิเป็นติเหตุกบุคคลจึงไม่สู้จะมีความเข้าใจจึงมีโยนิโสมนสิการไม่ถูกต้อง หรือการปฏิบัติย่อหย่อน หรือด้วยหาปัญญามิได้เพราะศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ทั้งในอดีตที่จะมาสนับสนุน ทั้งในปัจจุบันที่เกิดจากการศึกษาอบรม ดังนั้น แม้หนทางที่เดินก็อาจจะผิดชนิดหันหลังให้ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ยอมศึกษาเล่าเรียนให้เกิดปัญญา เกิดความ สามารถที่จะช่วยตนเองให้เดินถูกทาง

อาจารย์สั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ทำไป เหตุผลอย่างไรไม่คำนึงถึง ปฏิบัติตามคำสั่งตะพึดตะพือไป ก็เป็นวิปัสสนาไม่ได้ หรือถ้าคำสั่งเหล่านั้นไม่ถูกต้อง ก็เลยหลงวนเวียนอยู่ท่ามกลางป่า เพราะมิได้หาเข็มทิศติดตัวมาด้วย

และที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้นบางคนคิดเลยเถิดไปว่าตนได้โสดาหรือ พระอรหันต์ไปจริงๆ ไม่ต้องไปอบายภูมิแล้ว จึงถอยจากการปฏิบัติไปเสียเลยก็มี

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:10:47 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )


  สลักธรรม 10



บางคนมาศึกษาเล่าเรียนอยู่พักหนึ่งก็หายไปเป็นเวลานาน ครั้นกลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งได้ถามว่า หายไปไหนมา คงจะมีความจำเป็นอะไรกระมังจึงมาศึกษาเล่าเรียนไม่ได้ เขาได้ตอบว่า เปล่า ไม่มีธุระอะไร หากแต่ว่าอายุมากแล้ว เรียนอะไรจำไม่ค่อยได้ ความจำออกจะเต็มที

ผมจึงได้ถามเขาว่า เมื่อตอนที่คุณยังเป็นเด็กๆ และตอนที่คุณเป็นหนุ่มอยู่นั้น คุณได้ทำบุญอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่า ได้ทำอยู่เสมอ

ผมจึงได้ถามเขาต่อไปว่า เป็นบุญอะไรบ้าง ทำที่ไหน ทำด้วยอะไร เขาก็ตอบว่า จำไม่ได้ทั้งหมด ผมจึงได้เตือนว่า จะทำบุญไปทำไม เสียเงินทองข้าวของทั้งเสียเวลาเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทำแล้วก็ลืมเสียเช่นนี้

ผมได้แสดงให้เขาทราบว่า บุญที่ทำเอาไว้ก็ได้เก็บเอาไว้ในจิตใจ มิได้สูญหายไปไหน เมื่อถึงเวลาได้โอกาส ได้ปัจจัยสนับสนุนเพียงพอก็จะผลิตผลขึ้นมา

โดยทำนองเดียวกันนี้ การสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นจากการเล่าเรียนก็เหมือนกัน ควรจะตั้งใจเรียน และพิจารณาตามไปด้วย ให้มีความเข้าใจได้ปัญญาจริงๆ แม้ว่าต่อไปนานๆ ถึงจะลืมไปแล้วปัญญานั้นก็มิได้สูญหายไปไหน กุศลอันเป็นปัญญาบารมีก้จะติดตัวตามไปทุกหนทุกแห่ง

โดย ศาลาธรรม [22 พ.ย. 2559 , 13:11:18 น.] ( IP = 180.180.23.69 : : )
[ 1 ] [ 2 ]

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org