กรุณาเลือก แสดงผลรูปแบบอุปกรณ์พกพา | แสดงผลโหมดพีซี

มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 1019|ตอบกลับ: 5

แบ่งบุญ

[คัดลอกลิงก์]

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901




แบ่งบุญ

ธรรมะบรรยายโดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร




ภาระสุตะคาถา ว่าไว้ถึงเรื่องของชีวิต คือรูปนามขันธ์ ๕ที่เป็นทุกข์ ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนัก เป็นทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง ผู้สลัดของหนักลงเสียได้เป็นความสุข

ทำไมรูปนามขันธ์ ๕ จึงเป็นของหนัก? เพราะเป็นภาระที่เราต้องดูแล อย่างไม่มีวันหยุดหย่อนเลย ตั้งแต่เกิดมาจนตายไม่มีใครสามารถวางภาระนี้ได้ เรามีทุกข์อยู่ตลอดเวลา และที่มีอยู่เป็นประจำๆ นอกจากการเกิดแก่เจ็บตาย ก็คือ ไม่ว่าจะมีกี่วันกี่เดือนกี่ปี เราต้องกินข้าว เราพร่องอยู่เป็นนิจ และเราต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำเป็นวัฏจักร

นอกจากนี้ขันธ์ยังหนักมากเพราะว่าในการเดินหน้าชีวิตไปในแต่ละวัน เราต้องไปพบและเจอะเจอสิ่งต่างๆ แล้วเราก็อุปาทานเอาไว้ ว่าสิ่งนี้ เป็นเรา เป็นของๆ เรา จึงหนัก

ฉะนั้น การที่พระอริยะเจ้าทั้งหลาย สลัดของหนักลงเสียแล้ว และไม่หยิบฉวยของหนักเหล่านั้นขึ้นมาอีก ก็คือสลัดอุปาทานทิ้งไป และการสลัดอุปาทานทิ้งได้นั้นก็มีอยู่ทางเดียวก็คือ การที่เข้าไปเห็นความจริงของรูปนามขันธ์ห้าว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นฉกฉวยไม่ได้ ยึดมั่นไม่ได้ เพราะมันมีความเกิดดับต่อหน้าขณะนั้นญาณปัญญาที่กำลังประจักษ์ของผู้ปฏิบัติ ก็จะทำให้จิตนั้นสลัดและคลายจากความกำหนัด

หนทางที่จะคลายความกำหนัดนั้นได้ไม่ใช่การพูด หรือการฟังอย่างเดียว สุตะมยปัญญาไม่สามารถสลัดของหนักลงไปได้ เพียงแต่ทำให้เราเข้าใจ แต่ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นตัวสลัดของหนักลงได้ เพราะว่าเมื่อการปฏิบัตินี้เกิดขึ้น เราก็จะผ่านขั้นตอน เขาเรียกว่าด่านโหด สิบหกด่าน

ด่านโหดคือเห็นความจริงของชีวิตว่าน่ากลัว ไม่ใช่เป็นตัวตนเป็นกลุ่มเป็นก้อน การเห็นรูปนามขันธ์ห้ามาทำงานพึ่งกันและกันเอื้อกันอยู่ตลอดเวลา และมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดรูปนามขันธ์ห้านั้นตลอดเวลา เมื่อมีเหตุปัจจัยแล้ว เหตุปัจจัยหมดนามเหล่านั้นก็ดับไปต่อหน้าต่อตา เมื่อรูปนามเหล่านั้นดับไปต่อหน้าต่อตาก็จึงเห็นภัยเห็นโทษขึ้นมา จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายในยามที่ ๘ เรียกว่า นิพพิทาญาณ

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:14:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด



ฉะนั้น เราก็จะเห็นได้ว่า ภารสุตตคาถานี้ เป็นสิ่งที่เราท่องได้ แต่เราต้องทำให้ได้ด้วย ด้วยการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงจะได้ประจักษ์ความจริงนี้

และในโอกาสนี้ก็ขออนุโมทนากับคุณสุพรรณ สมประกิจ ที่จะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๑ เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม – ๑๕ เดือนหน้า ก็ขอให้สามารถเบาบางจากความอุปาทานในขันธ์ ขอให้ประจักษ์ในขันธ์ด้วยอินทรีย์อันแก่กล้า คือมีวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ขอการดำเนินไปในครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยให้เกิดความชำนาญในเส้นทางอันพระพุทธเจ้าดำรัสแล้ว ทรงตรัสแล้วทรงชี้แล้ว

ขอ ๓๐ วันนี้ จงเป็นเสมือนการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ต้องมีความอดทน นอกจากอดทนจากความลำบากแล้ว ต้องมีความอดทนคือทำทุกอย่างเพื่อแก้ทุกข์ ไม่ใช่ทำเพื่อแก้อยาก จะต้องฝืนใจตัวเองให้มาก ฝืนใจจากความอยากที่เคยอยู่ บ้านที่เคยอยู่อู่ที่เคยอาศัย ข้าวที่เคยเลือกกินถิ่นที่เคยสบาย เราต้องทิ้งให้หมด ให้สลัดเหล่านี้ไป จะเป็นปัจจัยให้สลัดของหนักได้

ขออำนาจกุศลกรรมจงเอื้ออำนวยให้คุณสุพรรณ นั้นเดินทางไปปฏิบัติธรรม ๑ เดือนเต็ม ให้ได้ดีกลับมา มีวิชาติดตัวแล้วก็เป็นปัจจัยให้พ้นภัยในวัฎฎสงสารนี้ได้โดยไว

เช้านี้ได้รับคำถามก่อนที่จะเข้ามาในห้องนี้ว่า บุญ-บาปนี่ใครทำใครได้ ใช่ไหม? ก็ตอบไปว่า ใช่ แล้วก็มีคำถามต่อว่า เมื่อเราเป็นคนทำบุญแล้วเราแผ่เมตตาไปให้เขา เขาจะได้หรือในเมื่อเขาไม่ได้ทำบุญเพราะ หลวงพ่อบอกใครทำใครได้ ? ประการที่สองเขาถามว่า แค่เขามาอนุโมนาบุญแล้ว ก็ได้รับใช่ไหม? เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่า "ใครทำใครได้ ทั้งดีทั้งชั่ว" แต่ได้ไปอ่านพบว่า แบ่งบุญให้กันได้ ก็ขอตอบเป็นบทกลอนก่อนว่า

นานาจิตคิดไปให้แตกต่าง บ้างเลือกทางรกร้างห่างกุศล
บ้างเลือกทางธาราฉ่ำกมล จึงร้อนรนและเย็นเห็นต่างกัน

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:15:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด



คำถามนี้ก็ต้องตัดสินด้วยหลักกรรมที่ถูกต้อง บุญแบ่งกันไม่ได้ และแผ่เมตตาก็เหมือนให้กันไม่ได้ ถ้าเราตัดสินด้วยหลักอภิธรรมแล้วจะค้างอยู่ในใจไหม? ไม่ค้างแล้ว

แต่เมื่อค้างก็ต้องอธิบายว่า บาปบุญนี่ใครทำใครได้จริงๆ ไม่มีใครทำบาปและบุญแทนใครได้ บุญและบาปเป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม สะสมอยู่ในจิตของเรา อำนาจบาปและบุญนี้ใครทำใครได้จริงๆ เราทำบาปได้บาป ทำบุญได้บุญ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำบุญคือทำทาน ทานย่อมมีผล ๑๑ ประการ คือ เป็นที่รักของคนหมู่มาก เป็นที่รักของเทวดา เป็นทีมาของโภคทรัพย์ทั้งปวง ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข และสุดท้าย ตายแล้วสู่สุคติภูมิ สมบัติเช่นผล ๑๑ ประการนี้เป็นของเราคนเดียวบุญของเราคนเดียว เมื่อเราตายไปในชาติหน้าเราไม่จนเท่าชาตินี้ เพราะบุญผลักเราไปในที่ดีกว่า หรือไม่เราก็จะมีอะไรที่ดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต

ทำบาปเช่นเราฆ่าสัตว์ เราตบยุงไปตัวเดียว ผลมี ๙ ประการ เกิดชาติหน้าทุพพลภาพ รูปไม่งาม กำลังกายเฉื่อยชา กำลังปัญญาไม่ว่องไว เป็นคนขลาดหวาดกลัวง่าย มีความกล้าฆ่าตัวเองหรือถูกฆ่าได้ มีความพินาศในบริวาร อายุสั้น ใครได้ผล ๙ ประการ นี้? เรา

ฉะนั้น เป็นเรื่องส่วนตัว คำนี้หมายความว่าผลที่ปรากฏขึ้นจากบุญจากบาปเป็นของส่วนตัว

พอเข้าใจก็มีคำถามต่อมาว่า แล้วการที่เราไปทำบุญแล้วมีการแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่น ขอให้กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้จงได้เป็นพลวปัจจัยให้บังเกิดผลแก่พ่อแม่ปู่ย่าตายายครูอาจารย์ญาติพี่น้องสัตว์ทั้งหลายตลอดจนโอปปาติกะที่ปฏิสนธิอยู่ในภพภูมิต่างๆ ผู้ซึ่งมีกรรมชักนำให้เป็นไป มีกรรมนำให้เวียนเกิดเวียนตายได้ความทุกข์ และเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับผลของกุศล โดยมีน้ำใสสะอาดดื่ม มีอาหารบริโภคสมบูรณ์ มีที่อยู่อาศัยที่ถูกใจ มีเสื้อผ้าและเครื่องใช้สอยครบทุกอย่าง ขอให้มีดวงจิตแจ่มใส ปราศจากโรคภัยทั้งมีสติปัญญาสามารถถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้โดยรวดเร็ว

นี่คือเราทำทานของเรา แล้วเราเอากุศลจิตที่เกิดจากทานนี้แผ่ไปให้ผู้อื่น ขอให้มีน้ำใสสะอาดดื่ม มีอาหารบริโภคสมบูรณ์ ฉะนั้น ผู้อื่นนั้นถ้าหากเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาได้ยินเราแผ่เมตตา เขาอนุโมทนาที่เรามีเมตตา เขาก็ได้บุญ แต่บุญนี้เกิดขึ้นทางจิตเป็นกุศลจิต

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:16:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด



บุญมีหลายชนิด บุญตัวนี้มาเป็นการแผ่เมตตาแผ่ให้ผู้อื่น ซึ่งก็มาจากบุญอีกนั่นแหละ คราวนี้ผู้อื่น มีหลายอื่น ผู้อื่นที่หนึ่ง "มนุษย์ "

มนุษย์ เช่น ญาติเรา หรือเพื่อนสหายพระอภิธรรม พอเขารู้ว่าเราแผ่เมตตา เขาสาธุกับความดีของใจเรา แล้วก็คล้อยตามว่าเราเป็นคนดีนะ แล้วก็นึกยินดีด้วยกับการแผ่เมตตา หรือไม่ถ้าเราไปบอกเขา แล้วเขาอนุโมทนาที่เราได้ไปทำบุญมา เขาย่อมต้องได้บุญด้วย แต่บุญอันนี้ไม่ใช่บุญชนิดเดียวกับที่เราได้ไปทำบุญทำทาน เพราะคนนี้อนุโมทนาเขาก็ได้บุญ เป็นบุญคนละชนิดกัน เป็นบุญกุศลจิต ถามว่าบุญใครทำใครได้ มนุษย์ผู้นี้อนุโมทนาเองหรือเปล่า? อนุโมทนาเอง ก็เข้ามาสู่ประเด็นนี้ "ใครทำใครได้ "

ผู้อื่นที่สอง "อมนุษย์" ก็มีทั้งเกิดด้วยดีและเกิดด้วยชั่ว เกิดด้วยดีก็คือเทวดา พรหม เป็นต้น เกิดด้วยชั่วก็เป็น สัตว์นรก เปรตอสุรกาย เดรัจฉาน และเมื่อเรียนพระอภิธรรมแล้วตัดอมนุษย์ต่างๆ ออกไปเลย ก็เหลือเปรตเพียงชนิดเดียวที่สามารถรับกุศลได้

ที่นี้เข้ามาที่คำถามที่ว่า เขาได้อนุโมทนาบุญแล้วก็ได้บุญใช่ไหม? เทวดานี้ก็ไม่ต่างกับมนุษย์ก็คือ ใครทำใครได้ เทวดาอนุโมทนาก็ได้บุญ แต่ไม่ใช่บุญแบบทานที่เราทำไป แต่เป็นบุญที่เกิดขึ้นจากเป็นกุศลจิต และนอกจากนี้ เทวดาก็มีหลายชั้นตั้งแต่ชั้น จาตุมหาราชิกา ดาวดึงสา ยามา ดุสิตานิมมานนรดี ปริมิตตวสวัสตี

ขอยกชั้นต่ำสุดคือชั้นจาตุฯ มาพูด เช่นเราพูดว่าขอให้มีน้ำใสสะอาดดื่ม เทวดาชั้นจาตุกำลังกระหายน้ำ ร่างกายเพลีย หรือรู้ว่าตอนนี้วิบากไม่ดีเกิดขึ้น ถ้าเผื่อได้น้ำอมฤตที่สวนนันทวันก็เหมือนได้น้ำต่ออายุ แต่ก็เข้าไปไม่ได้เพราะบุญกำลังตก ก็เผอิญมีคนแผ่เมตตาว่า "ขอให้มีน้ำใสสะอาดดื่ม" จิตเขาอนุโมทนา ว่าบุคคลผู้นี้กำลังทำบุญ กุศลจิตก็เกิดขึ้น กุศลนี้ก็มาเปิดทางให้มีน้ำใสสะอาดดื่ม เพราะมีเหตุปัจจัยมาสอดคล้องกัน แต่ไม่ใช่น้ำที่เราเทจากที่กรวดน้ำนี้

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:17:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด



ที่นี้มีคำถามว่า สมมุติว่าเราอยากให้เขาได้ของที่เราให้ เช่น ทองหยิบ แล้วเขาจะได้ไหม? เช่นนำขนมทองหยิบมาวางไว้ เทวดาบางท่านก็มาหยิบ แต่บางท่านก็ไม่หยิบ ที่มาหยิบก็ไม่ได้หยิบจนของหายไป แต่มาหยิบโอชะ ก็คือมาดื่มด่ำโอชะในทองหยิบที่ให้นั่นเอง

ทำไมถึงไม่หยิบของเรา เพราะทองหยิบเป็นรูป และรูปของเทวดานี่เป็นสุขุมรูป ฉะนั้นไม่มาหยิบรูปที่หยาบกว่า แต่โอชะเป็นนามทางใจที่เกิดขึ้น แล้วก็ดึงกลิ่นขึ้นมาคือรูปปรมัตถ์นั่นเอง แต่ก็ต้องขึ้นชื่อกับกุศลจิตที่เป็นบุญ

แต่ถ้าทองหยิบเช่นเดียวกันมาให้เปรตที่รับกุศลได้ ก็ยากที่จะได้ นอกจากขณะนั้นปรตกำลังมีกุศลวิบากดีส่งขึ้นมา ก็สามารถเอากุศลส่งไปให้เขาได้

ฉะนั้น คำถามที่ว่า ในเมื่อใครทำใครได้ แล้วมันจะแบ่งกันได้หรือ? ก็เพราะไม่ได้แบ่งบุญของเรา แต่เป็นบุญใหม่ที่เกิดขึ้นที่เขา และบุญของเขากับบุญของเราก็ไม่ใช่ตัวเดียวกันเพราะอยู่ที่จิตผู้นั้นกำลังทำอะไร

ฉะนั้น สมมุติว่าวันนี้เรารู้เรื่องอย่างนี้หมดแล้ว เรามีคำตอบที่ถูกต้องในใจแล้ว ในอนาคตถ้าเกิดมีคนมาลงคำถามอย่างนี้อีก แล้วเราไปอ่านอีก ก็ไม่สมควรที่จะค้างคาอยู่ในใจ

ฉะนั้น ถ้าหากเรียนรู้ให้ชัด ก็เหมือนมีกระจกสำหรับส่องแล้ว แต่ถ้ากระจกมัวเพราะไปเอารูปหรือความเห็นของใครอื่นมาติด แสงพระธรรมก็ส่องสู่ใจเราไม่ได้

เรื่องอะไรก็แล้วแต่มันเป็นเรื่องของจิต ถึงบอกว่า .

นานาจิตคิดไปให้ให้แตกต่าง.. เพราะว่าเราไม่เหมือนกันจริงๆ คนในห้องนี้ก็ไม่เหมือนกัน ชอบก็ไม่เหมือนกัน รู้ก็ไม่เหมือนกัน เข้าใจก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะเข้าใจเหมือนกันได้นี่ต้องรู้ในอรรถพยัญชนะแตกฉาน

บ้างเลือกทางรกร้างห่างกุศล ..ขณะที่เราไปอ่านเรื่องที่ไม่เข้าเรื่องนี่ แล้วเราไม่มีคำตอบ มันก็เหมือนห่างกุศลนะ จิตของเราวุ่นวายเต็มไปด้วยอุจธัจจะ กุกกุจจะ เกิดขึ้น มีความติดค้างมาเป็นอกุศล

บ้างเลือกทางธาราฉ่ำกมล จึงร้อนรนและเย็นเห็นต่าง..นี้คือเรื่องของคนไม่เหมือนกัน การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องเข้าใจให้ถูก เพราะว่าความแตกต่างจึงทำให้มีถนนที่แตกต่างกัน ๗ สาย (สายที่ ๑ ไป สัตว์นรก สายที่ ๒ ไปเป็นเปรต – อสุรกาย สายที่ ๓ ไปเป็นเดรัจฉาน สายที่ ๔ ไปเป็นมนุษย์ สายที่ ๕ ไปเป็นเทวดา สายที่ ๖ ไปเป็นพรหม สายที่ ๗ สิ้นสุดการเกิดคือนิพพาน)

นานาจิตคิดไปให้แตกต่าง ..ความคิดที่แตกต่างกันจึงมีที่ไปที่ชอบๆ แตกต่างกัน ชอบสายที่ ๑ คือ สัตว์นรก เพราะชอบโกรธ คนชอบโกรธแล้วความโกรธนี้ มันมากขึ้นก็ทำให้เกิดทุจริต โทสะอันประกอบไปด้วยทุจริต

นานาจิตคิดไปให้แตกต่าง ..แตกต่างเพราะมีความโลภแตกต่างกัน ปรารถนามีแต่ความโลภ ทำให้เราไปเป็นเปรต

นานาจิตคิดไปให้แตกต่าง ..มีโมหะมาก ไม่รับรู้อะไร ด้วยเหตุด้วยผล ไปเป็นเดรัจฉาน หิริโอตตัปปะ เบญจศีล-เบญจธรรม แล้วก็มีอำนาจฌาน แล้วก็มีโสฬลญาณผลักไปมรรคจิต

นานาจิตคิดไปให้แตกต่าง บ้างเลือกทางรกร้างห่างกุศล บ้างเลือกทางธาราฉ่ำกมล จนร้อนรนและเย็นเห็นต่างกัน ทุกอย่างสรุปอยู่ในคำนี้ คือ "ใครทำ ใครได้ " คำของพ่อแท้จริงเสมอ

42

กระทู้

156

โพสต์

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:18:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด



เราเรียนมาแล้วไม่มีใครไม่เคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดใด แต่ปัจจุบันท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ที่เราเป็นนี้ มีอายุขัย ๗๕ ปี มากกว่านี้บุญค้ำ น้อยกว่านี้บุญตัด เมื่อตายจากมนุษย์ ที่ไปมีเยอะแยะ

อย่าประมาทว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ตาย ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตายก็คือวันปัจจุบัน เราไม่มีวันยาวๆ เลย เพราะว่าไม่แน่เลยว่าจะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะตายที่ไหน ไม่รู้ว่าจะตายด้วยโรคอะไร แล้วเมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ อย่าไปคิดว่าชีวิตจะเที่ยง ทำความดีเข้าไว้

แล้วเวลาตายมนุษย์ประกอบไปด้วยรูปนามขันธ์ห้า รูป๑ นาม ๔ เมื่อเกิดจุติจิตเกิดขึ้นมาในมนุษย์ก็คือถึงซึ่งความตาย จะไปเกิดได้ตามที่ชอบๆ ถามว่าอะไรไปเกิด?

มนุษย์ประกอบไปด้วยรูปนามขันธ์ ๕ แล้วจุติเกิดขึ้น คือตาย ต้องไปนรก เป็นต้น ตั้งคำถามว่า อะไรไปเกิด? มีคนตอบว่า รูปนามไปเกิด ฉะนั้น รูปนามนี้ก็เที่ยงสิ รูปนามไม่ได้ไปเกิด ที่ไปนรกก็คืออำนาจอกุศลกรรม โทสะอันประกอบไปด้วยทุจริตมาปรากฏเป็นคติอารมณ์ เป็นกรรมนิมิต เป็นกรรมอารมณ์ก่อนที่จุติจิตจะเกิดขึ้น เรียกว่า มรณาสันนกาล มีบาปล้วนๆ เกิดขึ้น มามากมายเลย

และมรณาสันนกาลคืออารมณ์ใกล้ตายก็จับอารมณ์บาป จนกระทั่งวิถีสุดท้าย มรณาสันนวิถี เป็นอำนาจบาปที่มาส่งสุดท้ายก่อนจุติจิต รูปนามนี้ดับ รูปทิ้งไว้ให้คนเขาเผา นามดับ แต่อำนาจกรรมเป็นตัวเหวี่ยงให้จุติจิตนี้มีปฏิสนธิ ๔ อย่างเกิดขึ้น

ปฏิสนธิวิญญาณนี้มีกรรมเข้าร่วม กรรมอำนาจนี้สร้างรูปใหม่นามใหม่ในที่ใหม่ ไม่ใช่รูปนามไปเกิด ตอบรูปนามไปเกิดไม่ได้ อย่างที่ยืนอยู่นี่มองเห็นอะไร เห็นรูป ใครเห็น นามเห็น แล้วรูปที่ยืนได้นี่ รูปนี้มีนามไหม? มี แล้วคราวนี้ตาย ถ้าเผื่อรูปนี้ไปเกิด มันไม่แก่หรือตั้งแต่เกิด ฉะนั้น อำนาจกรรมนำเกิด

แล้วเกิดที่ไหน? รูปนามนี้เป็นรูปนามของมนุษย์แล้วสมมุติว่าไปเกิดเป็นปั๊ก(สุนัขพันธุ์ปั๊ก) ฉะนั้น รูปก็ต้องเป็นรูปสุนัข ไม่ใช่รูปมนุษย์เดิมแล้ว ฉะนั้น กลละที่อยู่ในนั้น มันก็ต้องปรุงแต่งกายสังขารเป็นปั๊ก หน้าก็จะต้องออกมาเป็นพันธุ์ปั๊ก กรรมชรูปก็ต้องสร้างไปเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น จะตอบว่ารูปนามไปเกิดไม่ได้ แต่มีอำนาจกรรมเหวี่ยงให้ไปภพนั้นๆ กรรม จิต อุตุ อาหาร กรรมเป็นพื้นฐาน อุตุเป็นพลังงาน อาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง จิตเป็นตัวเร่งเร้า ฉะนั้น ปฏิสนธิวิญญาณปุ๊บ รูปใหม่ นามใหม่ก็เกิดขึ้นไปรองรับกรรมชรูป แต่ถ้าเราไปเกิดเป็นอรูปพรหม จะไปบอกว่ารูปนามไปเกิดก็ไม่ได้ แต่เป็นนามปฏิสนธิ

ฉะนั้น การเรียนจึงทำให้เราเห็นว่าความเข้าใจสำคัญที่สุด เราต้องเรียนให้ทะลุคือเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม เขาเรียกว่าธรรมวิจัย ก็จะได้เกิดความเข้าใจ พอเข้าใจแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็กแล้ว

เหมือนเราขึ้นเครื่องบิน พอวิตกวิจารเกิดขึ้นด้วยปัญญา เหมือนเครื่องบินยกหัว แล้วแล่นไป เรียนมากยิ่งสูง ยิ่งเข้าใจมากในเหตุในผล เมื่อเครื่องบินมาเหนือเมฆแล้ว ตึกสูงๆก็เริ่มเล็กลงๆ ยิ่งสูงขึ้นสิ่งใหญ่โตนั้นก็ค่อยๆ เล็ก ฉะนั้น เรื่องจะหมดไปก็ต่อเมื่อเราเข้าใจถูก ยกจิตของเราให้สูง จิตเราจะสูงได้ก็ด้วยพระธรรมเท่านั้นเอง

เข้าใจด้วยพระธรรม เรื่องอื่นเรื่องเล็ก เพราะจิตสูงเสียแล้ว และการไขว่คว้าอะไรก็ต้องเลือกด้วย เพราะเวลาจะมีค่า เวลานั้นย่อมต้องประกอบไปด้วยปัญญา บุญใครทำใครได้ แต่เมตตาจิตของเราที่เคยทำบุญแผ่เมตตาไปเพื่อให้เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เขาได้รับความสุขคือเมตตาและกรุณา ถ้าผู้นั้นอนุโมทนาเกิดขึ้นมาเขาก็ได้บุญ บุญชนิดนี้เรียกเป็นกุศลจิต

อย่ากลัวบุญเราแหว่ง นี่คือกุศลจิตที่อุนโมทนา เขาเรียกว่าเป็นการเพิ่มบุญ ฉะนั้น ใครทำใครได้ ทำมากได้มากทั้งดีทั่งชั่ว

ขอความเจริญความผาสุก ความมีสติความมีปัญญา ความก้าวหน้าในบุญ คุ้นกับความสงบ และจบชีวิตจากปัญหาต่างๆ ได้ ขอให้ทุกคนมีเรี่ยวแรงแห่งขันติ เรื่องราวจะไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่หยุดที่ตน เราเดินกันมานานแล้ว แล้วเดินกันมาอย่างลำบาก ภารา หะเว ปัญจะขันธา ขอให้บุญคุ้มครอง ให้มากไปด้วยขันติธรรม วิริยะและปัญญาที่จะพาตนเองนั้น สร้างบารมีธรรมให้เกิดความก้าวหน้า และถึงซึ่งแสงสว่างอันมั่นคง พาดำรงสู่มรรคผลนิพพานได้ทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคน อนุโมทนาค่ะ



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-3-28 23:15 , Processed in 0.101593 second(s), 19 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้