กรุณาเลือก แสดงผลรูปแบบอุปกรณ์พกพา | แสดงผลโหมดพีซี

มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 742|ตอบกลับ: 5

วางแปลนชีวิต

[คัดลอกลิงก์]

32

กระทู้

170

โพสต์

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
2405

13076604_1760119570941538_8980000269419742698_n.jpg

วางแปลนชีวิต
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
ปกิณกธรรมวันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗

ในชาตินี้เราต้องหมั่นสร้างบุญบารมีเพื่อวางแปลนชีวิตว่า เราอยากจะไปเจออะไรในภพชาติข้างหน้า เช่น อยากพบบัณฑิต มีพระสารีบุตรบ้าง พระโมคคัลลาบ้าง อยากพบพระพุทธเจ้าบ้าง คำพูดของบัณฑิตหรือพระอริยะเจ้าแม้กระทั่งพระพุทธองค์นั้นมีการให้โอวาทธรรมที่งดงามเหลือเกิน สอนทุกอย่างเป็นขอเตือนใจ

พระพุทธเจ้าทรงสอนพระภิกษุสงฆ์ ว่าพระภิกษุสงฆ์ควรทำอย่างไร ห้ามเข้าไปใกล้สตรี เพราะสตรีนั้นเป็นภัยต่อพรหมจรรย์ และก็จริงด้วยว่า แม้กระทั่งทุกวันนี้ สตรีก็เป็นภัยต่อชีวิต และถ้าพูดถึงการเกิดผู้หญิงนั้นเกิดด้วยกำลังของตรุณะ ส่วนผู้ชายเกิดด้วยปัจจัยคือกำลังของพลวะซึ่งเป็นกำลังกุศลแรงกว่า ฉะนั้น ผู้ชายจึงมีจิตใจที่หนักแน่นกว่าและก็ไม่หยุมหยิม เปรียบว่าเวลาจะทำอะไรก็ทำได้เด็ดขาด เช่นทำบุญก็หยิบเงินขึ้นมาอธิษฐานเลย แต่ผู้หญิงต้องเลือกใบธนบัตรก่อนว่าเป็นแบ๊งค์อะไร ๕๐๐ หรือแบ๊งค์ใหม่หรือ ก็เป็นความประณีตอย่างหนึ่ง แต่กำลังของการเป็นตัดอาลัยขาดเป็นอสังขาริกผู้ชายเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

เขาเรียกว่า เป็นสันดานจริงๆ ที่อยู่ในเพศของปุริสภาวะเพศ ส่วนในอีตถีภาวะเพศนั้น คิดแล้วคิดอีก นี่คือสิ่งที่สตรีเพศทั้งหลายต้องยอมรับว่าเป็นผู้ที่น้อยใจง่าย หวั่นไหวง่าย กระทบกระเทือนง่าย ผู้ชายก็กระทบง่ายแต่ลืมเร็ว และตัดได้เลย ดีก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดี ไม่เป็นไร ผู้ชายมีเรื่องกระทบกระเทือน อาทิตย์หนึ่งหายไปแล้ว ส่วนผู้หญิงปีหนึ่งก็ยังไม่ลืมเลย

อารมณ์ของเราทุกวันนี้มีอยู่ ๒ อารมณ์คือ พอใจกับไม่พอใจ ฉะนั้น การที่ได้ฟังอะไรแล้ว เราต้องใคร่ครวญและพิจารณา การที่เราได้รับฟังสิ่งที่เป็นธรรมโอวาทหรือพุทธโอวาท ก็จะได้เป็นทุนเอาไว้ว่าเวลาเรามีโอกาสเป็นพระ(ปลายชีวิตของผู้ชายอาจจะได้บวชเป็นพระ) ก็จะรู้ว่ามีอะไรเป็นข้อห้ามบ้าง มีพระวินัยอะไรบ้าง และถ้าเป็นผู้หญิงก็จะได้รู้ว่า เวลาไปหาพระควรจะทำอย่างไรบ้าง ฉะนั้น การวางใจของเราจะต้องวางได้ถูกต้องขึ้น

อย่างที่บอกว่า การที่เราได้ฟังเรื่องดี เป็นการกระทำความดี เพราะเท่ากับเราได้ถูกย้อมสีที่ดี สีชีวิตที่ผ่านมาของเรานั้นอาจจะเปรอะเป็นชีวิตไม่สวยงาม แต่ธรรมะเป็นสีใหม่ที่มาย้อมใจเราให้สะอาดขึ้น หรือเป็นผงขัดฟอกให้ใจของเราให้เห็นถูกต้องขึ้นและสะอาดขึ้น ฉะนั้นจึงควรทำตนเองเป็นผู้ถูกย้อมดีกว่า



32

กระทู้

170

โพสต์

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-27 18:20:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
และอย่างที่หลวงพ่อสอนว่า ให้เราทุกคนมากระทำความดี อย่าทำแค่ให้คนอื่นมองว่าเราดี การแก้ตัวอย่างไรก็แก้ไม่หมด แต่การแก้ไขแก้ได้หมด ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้ชีวิตบั้นปลายของเรานี้มาทำกุศล

การที่เรามาเรียนจิตเจตสิก เพราะเราต้องการกุศล เราต้องการให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นที่ตน เราไม่ต้องการให้ใครมามองว่าเราดี เพราะหมดเวลาแล้วดังที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ชีวิตเราไม่ยาวพอที่มานั่งแคร์ทุกคนบนโลก เรื่องบางเรื่องเราควบคุมความคิดคนอื่นไม่ได้ แต่เราควบคุมใจตนเองและแคร์ใจตนเองดีกว่า เพราะการควบคุมใจตนเองแคร์ใจตนเองให้อยู่ในกุศลและความสงบได้ สิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นกรรมดีนิมิตดีที่จะช่วยเชื่อมภพต่อภพให้เราได้ มีความหมายมาก

ณ วันนี้ ไม่ต้องไปพูดถึงใคร พูดถึงเราคนเดียว พอบอกพูดถึงเรา เราก็ตอบว่า วันนี้ปีนี้เราอายุ ๖๐ แล้ว เหลือเวลาไม่มาก ถ้าตอนนี้อายุ ๖๐ ปี แล้วตามอายุขัยก็เหลืออีก ๑๕ ปี ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงหรือเปล่า เพราะความตายอยู่ที่ปลายจมูก หายใจเข้าแต่ไม่หายใจออกก็ตาย ฉะนั้น ไม่มีเวลาที่จะมานั่งแคร์ทุกคนบนโลกนี้ กลัวเขาไม่รัก กลัวเขาไม่เข้าใจ กลัวเขาเข้าใจเราผิด ถามว่าความกลัวอยู่ในกลุ่มของอะไรของจิต? อยู่ในกลุ่มของอกุศล ๑๒ ซึ่งในอกุศล ๑๒ ความกลัวจัดเป็นโทสะมูลจิต โทสะเป็นถนนสายใด? สายที่เดินทางไปลงนรก

แต่ในวันนี้เราจะกลับมาแก้ไข คือเมื่อเขาไม่เข้าใจเรา หรือเข้าใจเราผิดก็ไม่เป็นไร เพราะว่าคนเราพร้อมจะเข้าใจคนอื่นผิดเสมอ เพิ่มเราเข้าไปอีกคนจะเป็นไรไป แต่เราควบคุมใจของเราได้ ก็คืออย่าหวั่นไหว รู้ว่าเราทำหรือไม่ทำในสิ่งที่ดี เราทำอะไรลงไป ฉะนั้นการที่มีสติในการกระทำ แล้วมีการตรองก่อนทำ คิดก่อนพูด จะทำให้เรา เป็นคนรอบคอบไม่ประมาท

32

กระทู้

170

โพสต์

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-27 18:21:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ก่อนทำ เราคิดว่าเป็นกุศลหรือไม่ ทำให้คนเดือดร้อนหรือไม่ ทำให้คนแตกร้าวหรือไม่ ถ้าหากไม่ใช่ เราก็ทำ เมื่อทำแล้วใครจะเข้าใจเราอย่างไรก็ช่างเขา การควบคุมใจตนเองให้อยู่ในกุศลและความสงบได้เท่ากับสร้างกุศล และเป็นกุศลที่เราคิดอยู่บ่อยๆ

การคิดถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดีบ่อยๆเป็นอาจิณกรรม และอาจิณกรรมนี้แหละมาปรากฏได้ง่ายตอนใกล้ตาย การที่เรากลุ้มใจบ่อยๆ ความกลุ้มใจก็เปรียบเสมือนถุงกาแฟ(โบราณ)ที่สำหรับไว้ชง ถุงกาแฟขาวๆ เมื่อใส่กาแฟเข้าไป ใส่น้ำร้อนลงไปปุ๊บ ชงเสร็จแล้วหมดวัน จะเอาถุงกาแฟไปซักอย่างไรมันก็ไม่มีวันขาวแล้ว

ฉะนั้น การที่เราฟังเรื่องไม่สบายใจมันก็เหมือนเอากาแฟใส่ลงไปในถุงใจของเรา ฟังมากๆ ไป สีดำมันก็เกิดขึ้นๆ มันก็เป็นกรรมนิมิตที่ไม่ดีของเรา ถ้าเผื่อก่อนตายเราไปคิดถึงเรื่องนี้ ก็จะไปเกิดไม่ดี ทั้งที่ทำดีมาทั้งชาติ พอนึกถึงเรื่องไม่ดีนิดเดียวก็ไปนรกแล้ว จึงต้องควบคุมใจตนเองให้อยู่ในกุศลแล้วก็สร้างความสงบ อะไรจะเกิดต่อหน้าเราก็คือวิบากที่เกิดขึ้นจากผลของกรรมในอดีต แต่ในปัจจุบันขณะนี้เราที่กำลังกระทำกรรมใหม่

เมื่ออยู่ในกุศลและความสงบได้ก็เท่ากับเราไม่ได้เอากาแฟมาใส่ถุงกาแฟ แล้วเราก็หมั่นซัก จากดำมากก็ดำน้อยลง ซักทุกวันด้วยการมาฟังธรรม ใจของเราถูกขัดเกลาซักฟอกแล้วไม่ได้เติมของใหม่ดำๆลงไปอีก มันก็จะขาวขึ้นกว่าเก่า สะอาดกว่าเก่า ดีกว่าเก่า สิ่งนี้เท่านั้นแหละที่จะเป็นกรรมดีเป็นนิมิตที่มาช่วยเชื่อมภพต่อภพ เพราะถ้ากรรมดีมาเป็นตัวเชื่อมสุคติภูมิเป็นภพต่อไปแน่ ถ้ากรรมชั่วมาเป็นที่เชื่อมทุคติภูมิเป็นของเราแน่

32

กระทู้

170

โพสต์

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-27 18:21:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
คิดให้มากๆ คิดก่อนทำ ว่าสัตว์โลกต่างมีกรรมเป็นของตน อดีตกรรมมีอำนาจมาก แต่ปัจจุบันกรรมก็มีอำนาจไม่น้อยเลย ฉะนั้น ห่วงได้ แต่อย่าห่วงแบบทุรนทุราย เราแคร์ทุกคนเกินไป แต่เราไม่เคยแคร์ใจเราเอง เราก็ทำเชื่อมภพต่อภพไม่ดี ให้เขาอยู่ดีแต่เราอยู่ในอบายภูมิ ทุกคนก็ต้องระวัง เราไม่มีเวลายาวพอที่จะมานั่งเก็บอกุศลใส่กระปุก กระปุกบาปอ้วนโต แต่กระปุกบุญผอมแฟบ

ฉะนั้น จงเลือกเก็บเถอะเราเลือกทางเราดีหรือยัง ถ้าดีแล้วก็รักษาศรัทธาไว้เพราะศรัทธาพระสารีบุตรยังไม่รับรองใครเลย รับรองแต่ทรัพย์ว่าไม่หาย ไฟไม่ไหม้ ต้องรักษาด้วยตัวเอง

ในการเห็น รูปารมณ์คือ คลื่นแสง เป็นภายนอก คลื่นแสงที่วิ่งมากระทบประสาทตาเรา ฉะนั้น วิถีจิตก็จะเกิดขึ้น คือรูปารมณ์มากระทบที่อุปาทะขณะของอตีตภวังค์ แล้วก็ไหวแล้วก็สะเทือน ปัญจทวารคือประตูตาก็เปิดขึ้น จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้น จักขุวิญญาณรู้รูปารมณ์ จักขุวิญญาณก็คือจิตทำหน้าที่รู้อารมณ์คือรู้คลื่นแสง เมื่อจักขุวิญญาณเกิดขึ้น สัมปฏิจฉนจิตพิจารณาคลื่นแสงนี้ สันตีรณจิตไต่สวนคลื่นแสงนี้ โวฏฐัพพณจิตตัดสินคลื่นแสงนี้โดยมีกามชวนะ๒๙ เกิดขึ้น

แต่วิถีจิตมันไม่ได้เป็นแค่นี้ วิถีนี้เร็วมาก เกิดขึ้นทางปัญจทวารแล้วก็เกิดขึ้นทางมโนทวารด้วยสลับกันเร็วมาก เพื่อมาประมวลแสงพวกนี้เป็นภาพ แล้วก็ตัดสินเอาของเก่าซึ่งมีสัญญาเจตสิกมาร่วมตัดสินว่าคลื่นแสงตรงนี้มันคือ คน คือ พระ เป็นต้น ฉะนั้น นามเห็นกับนามรู้จึงต่างกัน ถ้าทันนามเห็นก็คือทันปรมัตถ์อารมณ์ แต่ถ้านามรู้ก็คือบัญญัติอารมณ์นี่อธิบายโดยย่อ

ถ้าแค่นามเห็นก็คือปรมัตถ์อารมณ์เพราะว่ายังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็คือคลื่นแสง แต่ถ้าทันตรงนามรู้ คือหันไปปุ๊บไม่ทันนามเห็นแต่รู้เลยก็คือทันปัจจุบันบัญญัติอารมณ์ ก็ต่างกันตรงนี้ แต่ในความต่างนั้นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ สำคัญตรงที่ว่า “ใครเห็น” “ใครรู้” ถ้า “ฉัน” เห็น ไม่ว่าจะตรงปรมัตถ์หรือตรงบัญญัติ ก็ผิด

32

กระทู้

170

โพสต์

2405

เครดิต

ผู้ดูแลบอร์ด

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
2405
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-6-27 18:21:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2017-6-27 18:23

ถ้าโยนิโสมนสิการถูกต้องว่า นามเห็น ตรงปรมัตถ์หรือบัญญัติก็ไม่มีความสำคัญเพราะได้รื้อสัญญาวิปลาสไปแล้ว แต่ให้เข้าใจว่าตรงนามเห็นนั้นเกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าเผื่อได้เห็นสักครั้งหนึ่งแล้วถือว่าดีเพราะสติไวขึ้น ไม่ใช่ว่าคนนั้นเข้าวันแรกแล้วจะเป็นเลย ส่วนใหญ่จะมีแต่นามรู้ ต้องมีการปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อย ๓ วันขึ้นไปมีสับปายะมาเอื้ออำนวย หมั่นสังเกตใจตนเองว่า มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อใช้ชีวิตไปอยู่ในห้องแคบๆ ที่แคบๆ สิ่งแวดล้อมแคบๆ จิตของเรามันมีพลังอยู่แล้ว แล้วมันมีกำลังกุศลเจตนาเข้าไปดูอาการ พลังตัวนี้ของโพธิปักข์ที่แม้จะยังไม่ได้รวมกันก็จริงแต่จิตมันก็คล่องแคล่ว เมื่ออะไรมากระทบ เราดูอยู่อย่างเดียว ไม่ได้ไปในเรื่องต่างๆ มันก็ทันนามเห็น เขาเรียกว่าทันปัจจุบันขณะนั้น แต่สักประเดี๋ยวมันก็เป็นนามรู้ ฉะนั้น ไม่แปลกที่กำหนดนามเห็นและก็นามรู้ เพราะเราเพิ่งเป็นนักปฏิบัติที่กำลังทำความเพียร ขอให้ไม่มี “เรา” เท่านั้นเอง ก็รื้อสัญญาได้ ฉะนั้นในการปฏิบัติก็คือเราต้องอาศัยความตั้งมั่น แล้วก็ใส่ใจในการดูอารมณ์ ก็เป็นเรื่องดี

การทำบุญตามกาลนั้น การทอดกฐินจะทำได้ปีละครั้งเท่านั้นแต่การทอดผ้าป่าจะทอดได้ทั้งปี

ขอความสุขความเจริญความมีสติความมีปัญญา ความตั้งมั่นในศรัทธา ขอให้ทุกคนรักษาศรัทธาไว้ให้ได้ เพื่อจะเชื่อมต่อภพและภพ ให้เรามีภพที่ก้าวหน้าและก้าวไกล ก้าวไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคน อนุโมทนาค่ะ






0

กระทู้

18

โพสต์

348

เครดิต

พุทธศาสนิกชน

Rank: 2

เครดิต
348
โพสต์ 2017-6-28 18:39:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบพระคุณค่ะ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-4-19 02:40 , Processed in 0.225380 second(s), 22 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้