รักแท้ ..คือ.. เมตตา
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6710.jpg@n
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสอนให้ทุกคนตั้งตนอยู่ในเมตตา
คือ ความรักใคร่ปรารถนาดีต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน
ปราศจากการรังเกียจเดียดฉันท์ และริษยากัน
ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า
เราต้องการความสุข เกลียดกลัวความทุกข์ฉันใด
คนอื่นก็ต้องการความสุข เกลียดกลัวความทุกข์ฉันนั้น
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
เมตตา จึงหมายถึงความเป็นมิตรไมตรีกัน
ผู้ที่เรายกย่องว่าเป็นมิตร คือผู้ที่ปรารถนาดีต่อเรา
เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่า มิตร จึงต้องประกอบด้วยเมตตา
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ถ้าทุกคน..เพียงแต่เมตตารักใคร่ปรารถนาดีต่อกันเท่านั้นโลกทั้งโลกจะสดชื่นแจ่มใส
...ไม่ว่าท้องฟ้าจะสว่างไสวอำไพไปด้วยแสงแดด หรือว่ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ...ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ที่พำนักพักพิงของเราจะเล็กหรือใหญ่ น่ารื่นรมย์หรือไม่ ก็ไม่เห็นเดือดร้อน
ในเมื่อจิตใจของเราเองก็แจ่มใส ทั้งมองไปทางไหนก็พบแต่คนที่หน้าตาสดใสเบิกบาน เจรจาปราศรัยกันด้วยหน้าตายิ้มแย้ม และด้วยท่วงท่าที่น่ารักแสดงถึงความเป็นมิตร เพียงแต่เขียน เพียงแต่พูด หรือเพียงแต่ฟังว่าให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ก็ดูไม่ยาก
แต่การปฏิบัติให้ได้อย่างที่เขียน พูด และที่ฟังนั้นไม่ง่ายนัก ต้องใช้ความอดทนอดกลั้น
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกความอดทนอดกลั้นนั้นว่า
"ขันติ" คืออโทสะ ความไม่โกรธ
คนที่ไม่โกรธ จึงเป็นคนน่ารักมาก
หรือแม้จะโกรธ แต่ระงับไว้ได้
ไม่แสดงให้ปรากฏก็ยังน่ารัก
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
สำหรับบุคคลที่เรารักเราชอบ แม้ว่าเขาจะทำให้เราไม่พออกพอใจบ้าง เราก็สามารถจะเมตตาได้ง่าย ด้วยการใช้ขันติ ความอดทนอดกลั้นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
แต่สำหรับบุคคลที่เราไม่รักไม่ชอบนั้น แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรให้ขัดเคือง
ก็ยากที่จะเมตตาเป็นมิตรด้วยอยู่แล้ว ถ้ายิ่งทำให้เราขัดเคืองไม่พอใจแม้สักนิด เราก็จะพาลโกรธ พาลเกลียดมากขึ้น เราจึงต้องใช้ความอดทนมากเหลือเกิน ในการที่จะไม่โกรธ หรือไม่แสดงอาการขุ่นเคืองให้ปรากฏ และในการที่จะอภัยให้
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ทั้งๆ ที่รู้กันทุกคนว่า ความโกรธเป็นของไม่ดี
ความผูกโกรธเป็นของไม่ดี
ความอาฆาตเป็นของไม่ดี
เพราะทำให้จิตใจเร่าร้อน กระวนกระวายไม่เป็นสุข
ทั้งหน้าตาก็พลอยเศร้าหมองเป็นทุกข์
แต่ทุกคนก็ยากที่จะตัดมันออกไปจากใจ ซ้ำบางคนยังชอบเก็บสะสมเอาไว้อีกด้วย ก็ทำไมเราจะลืมความไม่พออกพอใจที่ใครๆ เขาทำต่อเราเสียไม่ได้หรือ อภัยให้แก่กันเสียไม่ได้หรือ ถ้าทำได้จิตใจก็จะไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย หน้าตาก็พลอยแจ่มใสเบิกบานเป็นสุขทุกเมื่อ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
คนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันเพียงไม่กี่วัน ก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกัน ยิ่งถ้าต้องมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็ดูจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันไม่ได้หากเราไม่เมตตารักใคร่กันไว้ เราจะอยู่ร่วมกันด้วยความรักและเป็นสุขได้อย่างไร
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมะไว้หมวดหนึ่ง
ให้ผู้ที่อยู่ร่วมกันประพฤติปฏิบัติ
ธรรมะหมวดนั้นคือ..สาราณียธรรม
ธรรมที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
ถ้าทุกคนใช้สาราณียธรรมกันแล้ว
ความผาสุกต้องเกิดขึ้นแน่นอน
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
สาราณียธรรมมีอยู่ ๖ ประการคือ
๑. การเข้าไปตั้งเมตตากายกรรมต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
นั่นคือทรงสอนให้มีน้ำใจช่วยเหลือกันทางกาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง การช่วยเหลือกันต่อหน้านั้น ทุกคนทราบดีและเคยทำ แต่การช่วยเหลือลับหลังนั้นทำอย่างไร?
เป็นต้นว่า เราเห็นเสื้อผ้าของคนอื่นเขาตากไว้กลางแจ้ง แต่ฝนเกิดตกในขณะที่เจ้าของไม่อยู่ เราก็สงเคราะห์ช่วยเก็บให้พ้นจากเปียกฝน โดยไม่คำนึงว่าเจ้าของเสื้อผ้านั้นเป็นคนที่เรารักหรือไม่รัก เมื่อเจ้าของกลับมาทราบการกระทำของเรา
หากเป็นคนที่ชอบพอกัน ก็แน่ละ เขาต้องขอบอกขอบใจ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบหน้ากัน เขาอาจจะไม่เอ่ยปากขอบใจเรา
แต่แน่นอนที่ใจของเขาจะต้องนึกถึงการกระทำของเรา นี่ก็เป็นการค่อย ๆ ปลูกความรักลงในใจของผู้อื่นแล้วมิใช่หรือคะ
๒. การเข้าไปตั้งเมตตาวจีกรรมต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง การพูดถึงผู้อื่นในด้านดีทั้งต่อหน้าและลับหลังนั่นแหละชื่อว่าได้แสดงความรักใคร่กันด้วยวาจา
๓. การเข้าไปตั้งเมตตามโนกรรมต่อกัน ข้อนี้หมายถึงให้นึกถึงผู้อื่นในด้านดี คิดช่วยเหลือผู้อื่นสงเคราะห์ผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นการแสดงความรักใคร่กันทางใจ
๔. แบ่งปันลาภที่ได้มาโดยชอบธรรมแก่ผู้อยู่ร่วมกัน
๕. เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๖. มีทิฏฐิ คือความเห็นเสมอกัน
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
จากสาราณียธรรม ๖ ประการนี้ สามประการแรก พระพุทธองค์ทรงสอนให้เมตตากันทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ไม่ใช่ว่าต่อหน้าก็ทำเป็นเมตตารักใคร่ แต่ลับหลังก็นินทาว่าร้ายหรือยุยงส่อเสียด ให้เกิดความโกรธ ความเกลียด ความแตกแยก หรือความคิดอยากให้เขามีอันเป็นไปในทางร้าย
ถ้าเราเมตตากันเฉพาะต่อหน้า แต่ลับหลังขาดเมตตาแล้ว เราก็ยังอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกโดยแท้จริงไม่ได้
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
นอกจากพระพุทธองค์จะทรงสอนให้เรา มีเมตตาต่อกันทั้งทางกาย วาจา ใจ และทั้งต่อหน้าและลับหลังแล้ว ก็ยังทรงสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันด้วย ได้สิ่งใดมาก็แบ่งปันกัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวกันใช้แต่ลำพัง เพราะการให้เป็นการผูกมิตรไว้ได้ประการหนึ่ง ซึ่งเป็นสาราณียธรรมข้อที่ ๔
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่น และคนหมู่มากย่อมคบหาสมาคมด้วย ยิ่งให้ของดี ของที่เราชอบใจ ของที่เลิศ นอกจากผู้รับจะชื่นชมแล้ว ผู้ให้ก็จะได้รับแต่ของดี ของชอบใจ ของเลิศ เป็นการตอบแทนในอนาคตด้วย ยิ่งให้บ่อยๆ บุญของผู้ให้ย่อมมากขึ้น เจริญขึ้นเกิดชาติใดก็ไม่ขัดสนยากจนทั้งทรัพย์สมบัติและคนรักใคร่เอ็นดู
และในสาราณียธรรมข้อที่ ๕ นั้น ทรงสอนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์..เพราะการเป็นผู้มีศีล ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้อยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนอย่างพวกเรา ไม่จำเป็นต้องมีศีลมากมายเหมือนพระภิกษุ
เพียงมีศีลกันคนละ ๕ ข้อเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ศีลข้อที่ ๑ เว้นการฆ่าสิ่งมีชีวิต ซึ่งได้แก่ มนุษย์และสัตว์ เรารู้กันดีทุกคนว่า การถูกฆ่าเป็นทุกข์หนัก เราเองก็ไม่อยากให้ใครมาฆ่าเรา หรือแม้เพียงมาทำร้ายเราให้บาดเจ็บ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรฆ่าผู้อื่น สัตว์อื่น ทั้งไม่ควรใช้ผู้อื่นฆ่าแทนเราด้วย
การฆ่านั้นนอกจากจะทำให้ผู้ถูกฆ่าได้รับทุกข์หนักแล้ว ยังเป็นการก่อเวรก่ออภัยแก่สัตว์ทั้งหลายด้วย แม้เราผู้ฆ่าเองก็ได้รับความทุกข์ ยิ่งฆ่าบ่อยก็ยิ่งทุกข์มาก
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ฆ่าสัตว์ตายไปแล้ว หากกรรมคือการฆ่าสัตว์ ให้ผลย่อมให้ผลนำเกิดในอบาย แม้เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้มีอายุไม่ยืน คือตายเสียตั้งแต่ในวัยอันไม่ควรจะตาย
แม้ไม่ได้ฆ่าสัตว์ เพียงเบียดเบียนสัตว์ให้เดือดร้อน ก็ยังทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีโรคภัยเบียดเบียนอยู่เสมอ หรือที่เรียกว่าเป็นโรคมากนั่นเองคะ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ศีลข้อที่ ๒ เว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ ของสิ่งใดที่เจ้าของเขามิได้อนุญาต ก็อย่าได้ไปหยิบฉวยเอามาเป็นของเรา หรือใช้ผู้อื่นหยิบฉวยแทนเรา
เรารักของของเรา หวงแหนของของเราอย่างไร คนอื่นเขาก็รักก็หวงแทนของของเขาอย่างนั้น การไปหยิบเอาของของเขามา โดยเจ้าของเขาไม่เต็มใจ ไม่ยินดีให้ ย่อมเป็นเหตุให้เจ้าของเกิดความขัดเคือง ขุ่นใจ หรือไม่ชอบหน้าเราไปจนตายก็ได้
โทษของการผิดศีลข้อนี้..อย่างหนัก ทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้ทรัพย์สมบัติพินาศไป ด้วยภัยนานัปการมีอัคคีภัยเป็นต้นเมื่อผู้นั้นเกิดเป็นมนุษย์
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ศีลข้อที่ ๓ เว้นจากการประพฤติผิดประเวณี คือการล่วงเกินบุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น ธรรมดานั้น บุตร ภรรยา สามีย่อมเป็นที่รัก ที่หวงแหนของผู้เป็นเจ้าของ ไม่ต้องการให้ใครมาล่วงเกิน หรือทำมิดีมิร้ายผู้ที่ล่วงเกินบุตร ภรรยา สามีของผู้อื่นจึงเป็นการก่อเวรโดยไม่รู้ตัว
เพราะการกระทำเช่นนั้น ก่อให้เกิดความเจ็บแค้นแก่ผู้ถูกกระทำ ทั้งอาจเป็นเหตุให้ผู้เป็นเจ้าของ ตลอดจนพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง มิตรสหาย ของผู้ที่ถูกล่วงเกินอาฆาต เจ็บแค้น หรือทำร้ายฆ่าตีเอาได้ ดังตัวอย่างที่เราได้พบเห็นกันอยู่เสมอ
โทษของการผิดศีลข้อที่ ๓ นี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าอย่างหนัก ทำให้เกิดในอบาย
อย่างเบาที่สุดเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่มีเพศไม่สมบูรณ์ หรือมีสองเพศ ทั้งเป็นผู้มีศัตรูคู่เวรมาก
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14177-8.gif@n
ศีลข้อที่ ๔ เว้นจากการกล่าวเท็จ คือกล่าวคำที่ไม่เป็นจริง โทษอย่างหนักทำให้เกิดในอบาย โทษอย่างเบาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ คือการถูกกล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริง ทั้งจะพูดสิ่งใดก็ไม่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ฟัง
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ศีลข้อที่ ๕ เว้นจากการดื่มสุราเมรัย และสิ่งเสพติดของมึนเมาทุกชนิด อันจะเป็นเหตุให้เกิดความประมาท ขาดสติ ..คนเราถ้าประมาทขาดสติแล้ว ก็อาจจะล่วงศีลได้ครบทุกข้อ ทั้งการเสพของมึนเมาเหล่านั้นก็เป็นการบั่นทอน สติปัญญา ให้เสื่อมถอย ความจำเลอะเลือน
เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า โทษอย่างหนักของผู้ล่วงศีลข้อ ๕ นี้ คือ การเกิดในอบาย โทษอย่างเบาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่จิตใจไม่ปกติเป็นต้น
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ นอกจากจะเป็นศีลที่ทุกคนควรรักษาเป็นนิจ เพื่อความเป็นปกติสุขของตนเองและผู้อื่นแล้ว ผู้รักษายังชื่อว่าได้บำเพ็ญทานอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งมวลด้วย เพราะ....
ผู้รักษาศีลข้อที่หนึ่ง ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ ไม่ทำให้สัตว์ต้องหวั่นวิตก และหวาดกลัวว่าจะถูกฆ่า
ผู้รักษาศีลข้อที่สอง ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
ผู้รักษาศีลข้อที่สาม ชื่อว่าให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามี ของผู้อื่น
ผู้รักษาศีลข้อที่สี่ ชื่อว่าให้ความจริงแก่ผู้อื่น
ผู้รักษาศีลข้อที่ห้า ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือ ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ ให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีผู้อื่น และให้ความจริงแก่ผู้อื่น
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
เพราะเหตุที่ผู้รักษาศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ ได้ชื่อว่าให้ความไม่มีเวรไม่มีภัย แก่สัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์จึงตรัสเรียกศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ว่า มหาทาน เพราะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไม่มีทานชนิดใดเสมอเหมือน
ทาน นั้น แปลว่า การให้ ..การให้สิ่งของแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นของดีมีค่าเพียงใด พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า ทาน เท่านั้น หาได้ทรงเรียกว่า มหาทาน ดังที่ทรงเรียกศีลทั้ง ๕ ข้อนี้
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
ด้วยเหตุนี้ ศีล จึงสูงกว่าทาน
ละเอียดอ่อนกว่าทาน
ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าทาน
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
หากทุกคนพร้อมใจกัน รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว เราก็จะอยู่ในโลกนี้ร่วมกัน ด้วยความเป็นสุขจริง ๆ เพราะต่างคนต่างก็พร้อมใจกัน ในการให้ความไม่มีเวรไม่มีภัยแก่กัน
เพราะฉะนั้น การมีศีล จึงเป็นสาราณียธรรมอีกข้อหนึ่ง ที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@n
สำหรับในสาราณียธรรมข้อสุดท้าย คือ เป็นผู้มีทิฏฐิความเห็นเสมอกัน ทิฏฐิความเห็นในที่นี้ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ คือเห็นว่าบุญบาปมีจริงเป็นต้น
คนเราถ้ามีความเห็นไม่ตรงกัน คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่อีกคนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ จะอยู่ร่วมกันเป็นสุขได้อย่างไร มีแต่จะถกเถียงทะเลาะวิวาทกัน เพราะความเห็นที่ขัดแย้งกันเท่านั้น ..ถึงอย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายมีเมตตาอภัยให้กันแล้ว ก็ยังพอจะอยู่ร่วมกันได้ แม้จะไม่เป็นสุขนักก็ตาม
สาราณียธรรม ๖ ข้อ ดังกล่าวนี้แหละ ที่จะเป็นเหตุให้ระลึกถึงกันด้วยความรัก ความเอ็นดู และอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ไม่ทะเลาะวิวาทกัน
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
หากรักคือกุหลาบอาบสีสัน
ตัวของฉันเปรียบใบร่วมในก้าน
จะเติบโตเคียงคู่อยู่ชั่วกาล
เศร้าหรือหวานอย่างใดไม่ปรารมภ์
ด้วยความรักและความปรารถนาดีคะ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/6335.gif@nhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/www.dhammathai.org/flowers/flower11.gif
หน้า:
[1]