บุษกร โพสต์ 2016-11-25 17:54:59

รู้ช้ายังดีกว่าไม่รู้เลย



".... เราก็จะเห็นได้ว่า...
ชีวิตที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจกิเลสนั้นน่ากลัวขนาดไหน
ถ้าปล่อยปละละเลยชีวิตสักนิดหนึ่ง ก็จะแสดงออกถึงอารมณ์ที่เคยชิน
...แต่เราต้องมีความยับยั้งชั่งใจ ...
เมื่อสติเกิดขึ้นก็จะตัดความเป็นไปของจิต
ที่จะเป็นไปกับกิเลสตามอารมณ์ต่างๆ
ฉะนั้นการรู้ว่าเราทำไม่ดีไปแม้จะรู้ช้าก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย .

ขณะที่เรารำพึงถึงอดีตนั่นก็คือการตัดอาลัยไม่ขาด ขณะที่รำพึงรำพันจิตที่เกิดในขณะนั้นเป็นจิตที่ฟุ้งซ่านประกอบไปด้วยอุทธัจจะ

เรื่องของอุทธัจจะที่เกิดนี่ เมื่อเราศึกษาแล้วก็จะเห็นได้ว่า พระอรหันต์เท่านั้นที่จะตัดอุทธัจจะได้หมด เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่มีความฟุ้งซ่านเพราะสังโยชน์ถูกตัดไปหมดแล้ว เมื่อไม่มีความฟุ้งซ่าน ก็ไม่มีความรำคาญใจ จิตใจจึงเบิกบานอยู่เสมอ แล้วก็ตื่นอยู่ในความเป็นจริงเสมอ

เพราะอะไรคะ? เพราะกิเลสนั้นได้ถูกตัดริดรอนไปหมด แต่เรายังเป็นผู้ที่มีมีอนุสัยกิเลสอยู่ จึงดูได้เลยว่า ใครเป็นพระอริยบุคคล เราสามารถศึกษาแล้วตัดสินได้ โดยไม่ต้องไปว่าเขาหรือบอกเขาว่าไม่ใช่ หรือไปเตือนเขาว่าเธอตู่พระพุทธพจน์ หรือเธอทำผิด หรือเธออวดอุดตริมนุษยธรรมต่างๆ

บุษกร โพสต์ 2016-11-25 17:55:46

เพียงแค่เราอย่าไปทำอย่างเขา อย่าอวดอย่างเขา เพราะเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะนั้นเหมือนกัน แต่เรามีดีกว่าเขาคือ ความยับยั้งชั่งใจได้ไม่โอ้อวด

เพราะคนเรายังมีมานะจึงชอบโอ้อวดในสิ่งที่มี และในสิ่งที่ยังไม่มี เช่น ฉันเป็นคนชั้นต่ำแล้วก็คุยว่าตนเองเป็นคนชั้นกลาง คนชั้นกลางโอ้อวดตนเองว่าเป็นคนชั้นสูง .. อย่างนี้ไม่เป็นจริง

มานะที่เป็นจริง ก็เช่น ตนเองเป็นอย่างงี้แล้วก็เอาตัวเองโอ้อวดตามความเป็นจริงว่า ฉันเป็นคนรวย ฉันเป็นผู้ดี ฉันเป็นตระกูลมั่งคั่ง ฉันเป็นผู้รู้ธรรมะมากนะ นี้คือมานะในเรื่องที่จริง อย่างนี้เป็นต้น

อย่างเมื่อสักครู่ได้ฟังเพลงที่เกี่ยวกับความโดดเดี่ยวแล้วก็รู้สึกเศร้า และก็คิดได้ว่านี่เราไปดึงอดีตมาคิดอีกแล้วนะ พอดึงอดีตมาคิดปุ๊บน้ำตาก็จะไหลปั๊บ จึงเกิดรู้สึกว่านามรู้ รู้ว่ามันฟุ้งซ่านไป และรู้ว่าเป็นธรรมดาของปุถุชน เราไม่ใช่พระอริยะบุคคลเราจึงมีฟุ้งเป็นธรรมดา

แต่เราต้องมีความยับยั้งชั่งใจ สติก็เกิดขึ้นมาได้ เมื่อสติเกิดขึ้นก็ตัดความเป็นไปของจิตที่จะเป็นไปกับ กิเลสตามอารมณ์ต่างๆ

ฉะนั้นการรู้ว่าเราทำไม่ดีไปแม้จะรู้ช้าก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย รู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ฟุ้งก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยว่าฟุ้งซ่านไป รู้แล้วก็ยอมรับนะคะเพื่อความสบายใจที่จะมอบกุศลให้ตนเองเดินทางสู่เส้นทางแห่งดวงดาว คือความเจิดจ้าในธรรมต่อไปนั่นเองค่ะ

๏ บุษกร เมธางกูร๏
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: รู้ช้ายังดีกว่าไม่รู้เลย