ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 18:05:41

กิจกรรมวันครู

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 19:35

https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14315.gif@n

             วันนี้มีความตั้งใจว่าในวันครูควรจะต้องทำอะไรอย่างหนึ่งก่อนเพราะเมื่อคืนมีความรู้สึกว่า ที่มานั่งจัดดอกไม้ ไปซื้อดอกไม้ เป็นอามิสบูชาความรู้สึกมันชัดเลยนะ อยากจะปฏิบัติบูชาแต่คำว่าปฏิบัติบูชาในความรู้สึกตอนที่กำลังเกิด อยากเอากุศลบูชา ทำกุศลไม่ใช่ไปนั่งปฏิบัติ คือ อยากเดินไปทำกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งมาถวาย

             เมื่อวานซืนได้สนทนากับพระทอง แต่ไม่ได้เรียนให้ท่านทราบว่าจะไปพบที่วัดแต่ที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งนั้น ก็เลยตั้งใจว่าจะไปถวายอาหารเพลที่วัดศรีประวัติเลยบอกกับน้องที่อยู่ด้วยกันว่าพรุ่งนี้รีบหน่อยนะเพราะว่าไปจะไปซื้อภัตตาหารถวายพระ โดยจะไม่อยู่ถวายเพล พอถวายเสร็จแล้วจะรีบไปพบผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน

             น้องที่อยู่ด้วยกันก็ถามว่า“ทำไมจึงต้องไปหา”             จึงตอบไปว่า “มีความรู้สึกว่าต้องการหาผู้ใหญ่สักหนึ่งคนที่เราไหว้ได้กราบได้”
             ตอนที่คุยกับน้องคนนั้นได้คิดถึงผู้ใหญ่ที่อยู่ในใจก็คือคุณป้าอัมพา เพราะคุณป้าอัมพาเป็นครู และเป็นครูที่สูงวัยมากแล้วอายุแปดสิบกว่าปีซึ่งครูที่อายุมากขนาดนี้ก็คงไม่มีใครไปหามากนัก จึงขอเป็นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนของลูกศิษย์ทางโลกไปแสดงคารวะในวันครู
             โดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่า คุณป้าเป็นครูที่เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ในมูลนิธิเป็นผู้ที่มีการวางตัวดี คุณป้ามักจะเรียกใคร ๆ ว่า “หนู”และมักจะทักทายลูกศิษย์ที่นั่งในมูลนิธิว่า “หนูสุพรรณ... หนูแอ๊ว...”คุณป้าเป็นผู้มีมธุรสวาจา และไม่ทำตัวให้เป็นภาระกับใครเวลาคุณป้าจะเดินทางกลับบ้านก็จะร่ำลาแล้วก็รีบกลับด้วยตนเอง โดยไม่ละล้าละลังหรือรอคอยใครคุณป้ามักจะพูดว่า “กลับเองนะคะ” หรือ “ดิฉันกลับแล้วค่ะ ถึงเวลาแล้ว”คุณป้าก็จะแยกตัวไปอย่างนี้โดยไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ใครซึ่งเป็นชีวิตที่มองดูแล้วรู้สึกดี และก็มีชีวิตที่ดีอยู่จนถึงวันนี้ จึงอยากไปหาและเป็นตัวแทนของคำว่า“มีคนไปหาวันครู”
             วันนี้ได้เริ่มต้นความรู้สึกเช่นนี้ก่อนเดินทางไปตลาดเพื่อซื้อภัตตาหารและอาหารไปฝากคุณป้าอัมพาเมื่อไปถึงวัดศรีประวัติก็จอดรถที่หน้ากุฏิของพระทองและได้โทรศัพท์ไปเรียนท่านก่อนว่ามาถึงแล้ว

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 18:16:18

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 19:53

             ท่านพระทองบอกว่า “เดี๋ยวจะออกไปหาเพราะตอนนี้มีพระบวชใหม่มาพบ”
ก็รู้สึกว่าท่านคงกำลังสอนธรรมะอยู่ จึงบอกท่านว่า "จะขอเข้าไปพบสักครู่เดียวเพื่อถวายภัตตาหาร"ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปนั้น ก็มองเห็นกุฏิที่เคยเป็นเรือนของหลวงพ่อแสวง จึงได้หยุดที่หน้ากุฎิหลวงพ่อ เงยขึ้นมองในขณะที่ใจก็ประมวลภาพเหตุการณ์ที่เราได้กระทำไว้ตั้งแต่ได้พบกับหลวงพ่อจนกระทั่งท่านได้จากไป ซึ่งเป็นเวลาเพียงชั่วขณะเดียว และได้พูดในใจว่า “ลูกก็ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม และยังมีความรักเคารพและระลึกถึง” แล้วก็ยกมือไหว้

             ตอนนั้นชื่นใจว่า ไหว้กุฏิก็ยังดี แล้วก็เดินเข้าไป ถือไปด้วยความชื่นใจ และในวันนี้ก็มีความตั้งใจที่จะทำบุญโดยบุพพเจตนาได้สำเร็จแล้วด้วยการไปจัดเตรียมภัตตาหารเพื่อถวายพระ แต่หลวงพ่อคงรับเจตนานี้ไม่ได้ แต่ก็จะหาทางทำบุญต่อเมื่อไปถึงกุฏิของท่านพระทองแล้วก็ได้เห็นว่ามีพระอยู่สองรูป จึงได้นั่งลงกับพื้นแล้วบอกกับท่านพระทองว่า“วันนี้วันครู อยากทำบุญ จึงนำภัตตาหารมาถวาย ขอให้หลวงพี่ช่วยเป็นธุระให้ด้วย” ในระหว่างที่พูดก็หันไปพบภาพหลวงพ่อเสือที่แขวนอยู่ในกุฏิของท่าน

https://webboard.abhidhammaonline.org/data/attachment/forum/202501/18/193322ahyhrj89z1eusyyu.jpg
             ท่านพระทองได้พูดขึ้นว่า“เสียดาย คิดถึงหลวงพ่อตั้งแต่ไหนก็ไม่มีใครสอนอะไรได้เท่าหลวงพ่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ” จึงได้ตอบว่า “ในเวลานี้เราจึงต้องทำดีถวายท่าน” แล้วพูดต่อว่า “หนูไม่อยู่นะคะ เดี๋ยวจะไปหาคุณป้าอัมพา”

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 18:49:53

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 20:22

             ท่านพระทองบอกว่า “กำลังสอนพระบวชใหม่อยู่ เพิ่งบวชได้สามวัน” ในตอนนั้นได้นั่งฟังอยู่สักครู่หนึ่งก็ทราบว่าท่านกำลังอธิบายเรื่องถนนชีวิตเจ็ดสายและคิดว่าจะขอเข้าห้องน้ำก่อนออกเดินทางแต่ได้สังเกตเห็นว่าพระสองรูปนั้นมีรูปหนึ่งอายุสี่สิบกว่าปีอีกรูปหนึ่งอายุยี่สิบกว่าปี ก็มีความคิดที่จะส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้นจึงได้กล่าวกับท่านพระทองว่า “หลวงพี่ไม่ให้ท่านทั้งสองรูปถามล่ะคะ”และได้พูดต่อว่า “ถ้าท่านไม่ต้องการถาม ก็จะขอถามท่านว่าท่านตั้งใจบวชมาเพื่ออะไร”

             พระรูปที่อายุประมาณสี่สิบกว่าปีตอบว่า“ มีหลายประการเลย หนึ่งคือหนีหลาน เบื่อมาก ขู่หลานว่าถ้าเลี้ยงแล้วไม่เชื่อจะหนีมาบวชสองคือเป็นโรคหัวใจแล้วก็ผ่านความตายมาได้และได้บนไว้”             พระรูปที่อายุประมาณยี่สิบกว่าปีตอบว่า“บวชทดแทนคุณพ่อแม่"
             ได้พูดกับพระว่า“การทดแทนคุณพ่อแม่นั้นดีมากเลยค่ะ และขอเติมว่าการทดแทนคุณพ่อแม่ดีที่สุดแล้ว แต่อย่าลืมทดแทนคุณตัวเองท่านเข้าใจหรือไม่คะ ว่าบวชทดแทนคุณ
ตัวเองต้องทำอย่างไร”
             พระทั้งสองรูปก็ตอบพร้อมกันว่า“ไม่รู้”
             จึงได้อธิบายว่า “ที่ท่านทั้งสองเกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคนก็เพราะอำนาจของบุญ ถ้าไม่ใช่อำนาจของบุญก็จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น และที่ท่านเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วได้บวชก็เพราะมีบุญผลักมาให้ได้บวช แต่เมื่อได้บวชแล้วก็เหมือนกับเสียงที่ท่านปรบมือเพียงหนึ่งครั้งคือสมปรารถนาที่ได้บวชก็จบแล้ว” แล้วก็ได้ทำท่าปรบมือให้ฟัง แล้วพูดต่อว่า “เสียงที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง คือความเป็นพระเกิดขึ้นแล้วก็จบ” แต่ จีวรที่ท่านห่มอยู่ไม่ใช่พระ เป็นเพียงแค่เครื่องหมายที่แสดงถึงเพศของพระแต่ความเป็นพระนั้นอยู่ที่ใจที่มีศีลมีธรรม และรักษาพระวินัย ดังนั้น การที่ท่านได้มีโอกาสมาบวชเป็นพระนับว่าโชคดีมาก แต่นั่นก็คือการ ปรบมือที่มีเสียงครั้งเดียวแล้วจะทำอย่างไรให้ความโชคดีมีอยู่ทุกวัน จึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองและหาเหตุผลให้ได้ว่าเราจะอยู่ไปทำไม? สวดมนต์ทำไม? ถือศีลทำไม?ตั้งใจทำไม? เพราะว่าคำตอบเหล่านี้เป็นบุญทั้งสิ้น

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 18:54:53

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 20:18

             ท่านรู้จักศีลห้าแบบที่โยมถืออยู่ เช่น การไม่ฆ่าสัตว์หรือการไม่พูดปด หรือการไม่เสพสุรายาเมาแต่ตอนนี้ท่านต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อแม้ว่าท่านอาจจะยังไม่รู้จักแต่ที่ท่านได้ทำแล้วคือการไม่กินข้าวเย็น ซึ่งจะต้องมีความตั้งใจงดเว้นมีความยับยั้งชั่งใจมาก แต่คนเราส่วนมากมักชอบทำตามใจตัวเอง เมื่อท่านมีศีลก็ต้องมีความยับยั้งชั่งใจว่าเราทำไม่ได้ เช่น ข้าวเย็น เป็นต้น
             เมื่อสักครู่เห็นว่าระหว่างที่ท่านฟังหลวงพี่ทองท่านได้อ่านเรื่องราวในโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่ท่านอ่านไปก็มีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดีมีทั้งรู้สึกชอบและไม่ชอบ คือถ้าเปิดดูคลิปที่ชอบก็จะรู้สึกถูกใจสิ่งเหล่านี้ที่หลวงพี่ทองบอกก็คือ ที่ชอบ เรียกว่า โลภะ เป็นกิเลส ส่วนที่ไม่ชอบเรียกว่า โทสะ ก็เป็นกิเลส
             ฉะนั้น จะเห็นว่าถ้าเรามีความเข้าใจก็จะรู้ว่าโลภะกับโทสะเป็นกิเลสท่านได้รู้จักว่าอันไหนเกิดเป็นโลภะ อันไหนเกิดเป็นโทสะ นั่นเรียกว่าท่านได้ทดแทนบุญคุณตัวเองแล้วไม่ว่าจะบวชที่วัดก็ตามและท่านได้ทดแทนคุณที่ได้เกิดมาเป็นคน โดยอาศัยผ้าเหลืองนี้ทดแทนคุณ และในวันที่ท่านกลับไปบ้านท่านก็ไปบอกโยมแม่โยมพ่อว่าอาตมารู้จักคำว่า “กิเลส” แล้ว และขอกุศลนี้ให้โยมพ่อโยมแม่อนุโมทนา อย่างนี้ดีกว่าท่านบวชร้อยปีแล้วไม่รู้อะไรเลย”
             พระทั้งสองรูปหันมาแล้วก็กล่าวว่า "ครับ"
             ในตอนที่พูดนั้นรู้สึกว่ามันตื้อขึ้นในใจและน้ำตาจะไหลบางครั้งในการอธิบายเรื่องราวที่มีเนื้อหา มากเกินไป ก็อาจเหมือนน้ำในทะเลไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งหัดว่ายน้ำเพราะว่ายไปไม่นานก็จะจมลง สำหรับพระทั้งสองรูปนี้เพิ่งมาบวชเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าธรรมะเป็นเรื่องที่ยากก็คิดว่าการตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายของการบวชน่าจะช่วยให้เกิดความเข้าใจได้บ้างและได้กล่าวกับพระทั้งสองรูปว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าอาจารย์เป็นลูกของหลวงพ่อแสวง และเป็นลูกรักด้วยอยู่กับวัดนี้จนมีชีวิตถึงทุกวันนี้ ได้ดีเหมือนเป็นคนดี ที่เขาเรียกอาจารย์ก็เพราะว่า อุปัชฌายะคือเจ้าอาวาสท่านเก่า ท่านหล่อหลอมให้เป็นคนดี”หลังจากนั้นก็คิดว่าจะลากลับได้หันไปมองพระทั้งสองรูปอีกครั้งแล้วรู้สึกในใจว่าท่านเพิ่งบวชแล้วก็เพิ่งได้ฟังธรรมในขณะนั้นรู้ว่าในกระเป๋ามีเงินแบงค์ใหม่อยู่ ๕,๐๐๐ บาท จึงหยิบออกมา ๖๐๐ บาทถวายพระใหม่รูปละ ๓๐๐ บาท และตั้งใจถวายพระทอง ๑,๐๐๐ บาท พร้อมกับบอกท่านว่า “ขอถวายพระ เนื่องในวันครู”

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 19:04:06

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 19:38

             เมื่อถวายเสร็จแล้วได้หันไปพระใหม่ทั้งสองรูปว่า“ท่านสงสัยหรือไม่ว่าเราไม่เคยรู้จักกันเลย เพิ่งได้พบกันวันนี้เป็นครั้งแรกทำไมอาจารย์จึงทำอย่างนี้กับท่าน ท่านทราบหรือไม่ว่าอาจารย์ทำอะไร?”
             พระท่านตอบว่า “ก็โยมทำบุญ”
             จึงได้ถามท่านต่อว่า “บุญคืออะไรท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมมาอธิบายให้ท่านฟังและถวายปัจจัยท่านด้วย เป็นใครก็ไม่รู้ที่ท่านก็ไม่รู้จักท่านทราบหรือไม่ว่าทำเพื่ออะไรถ้าท่านไม่ทราบก็ให้ตั้งคำถามกับอาจารย์มาว่าโยมทำเพื่ออะไร”
             พระใหม่ที่อายุน้อยกว่าถามว่า“โยม โยมทำถวายเงินเพื่ออะไร”
             ได้ตอบพระท่านว่า “อยากได้บุญ ได้ชนะใจตนเอง เพราะทุกคนจะมีความรู้สึกหวงแหนในทรัพย์กันมาก ไม่อยากหยิบอะไรออกไปจากตัวเองโดยเฉพาะการหยิบเงินมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะความหวงแหนแต่สำหรับอาจารย์นี่จะง่ายมาก เพราะว่าเห็นคุณค่าของบุญ โดยเฉพาะในวันนี้ขอบอกจริงๆ ว่า อยากทำบุญ เพื่อจะได้มีทุน
             ท่านจะเห็นว่าแบงค์ร้อยที่ท่านถืออยู่ ๓๐๐ บาทที่พระทองท่านสอนว่าเป็น ทรัพย์ภายนอก อาจารย์ได้นำทรัพย์ภายนอกมาทำบุญกับท่านแล้วนำบุญนั้นส่งให้หลวงพ่อแสวงได้แต่อาจารย์จะเอาเงิน ๓๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ตรงนี้ ยื่นให้หลวงพ่อแสวง ท่านก็ไม่สามารถรับได้แล้วเพราะฉะนั้นอาจารย์จึงต้องแปลงของภายนอกให้กลายเป็นบุญ ซึ่งเป็นของละเอียดแล้วส่งความละเอียดจากหัวใจที่ดีไปยังผู้ที่เราต้องการให้เรียกว่า การอุทิศกุศล สิ่งที่อาจารย์ทำนี้จึงเรียกว่าการอุทิศกุศล เพราะอาจารย์ได้ตั้งใจมาตั้งแต่เช้าว่าจะต้องทำบุญแล้วนำบุญไปบูชาครูบาอาจารย์ซึ่งในขณะนี้ก็ได้สมความปรารถนาแล้ว”
             ตอนนั้นน้ำตาได้ร่วงลงมานิดหนึ่ง แต่ก็เอามือปาดออกได้เกิดความปิติขึ้นมาว่า ความตั้งใจของเราที่มีความเห็นถูกและได้ทำจนสำเร็จ เป็นโอกาสที่ทำได้ยากมาก

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 19:06:37

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 19:54

             และได้พูดกับพระทั้งสองรูปว่า “ในวันนี้ท่านทั้งสองได้รับ๒ คำตอบ และ ๒ คำชี้แนะแล้วว่า บวชแล้วจะกตัญญูต่อตัวเองอย่างไร กับการทำบุญนั้นทำอย่างไรทรัพย์ภายนอกสำคัญมากก็จริง เราสามารถส่งให้ใครได้หลายคน โดยเฉพาะให้พ่อแม่กินดีอยู่ดีแต่เมื่อพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ตายไปแล้ว ถ้าเราไม่รู้วิธีที่จะเอาของดีเหล่านั้นส่งให้คนที่เรารักที่ตายไปแล้วได้อย่างไรถ้าเราไม่มีความรู้ว่าบุญทำอย่างไร ไม่รู้จักค่าของบุญ คือ การเปลี่ยนทรัพย์ เราก็จะทำบุญเช่นการใส่บาตรไม่ได้แต่ถ้าเรามีความรู้ ทุกอย่างก็อยู่ในกำมือของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำหรือไม่
             ตอนนี้อาจารย์เป็นคนมีความรู้แต่ก็ไม่ใช่คนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ในวันนี้มีโอกาสเปิดคือ เป็นวันครู ได้มาพบกับท่านและได้พูดธรรมะ จึงเป็นเหตุปัจจัยที่พอเหมาะพอควร วันนี้ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้อธิบายธรรมะท่านก็จะเห็นว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกหรืออยู่บนธรรมาสน์ และไม่ได้อยู่ที่การพูดยาวๆ แต่อยู่ที่ความจริงที่สอนให้เข้าใจ และพิสูจน์ได้ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ทำได้ ฉะนั้นก็ขอให้บุญนี้ส่งเสริมท่าน ไม่ว่าท่านจะบวชอยู่กี่วันก็แล้วแต่ขอให้รักษาเป้าหมายได้เพื่อที่จะได้ทดแทนคุณพ่อแม่และเปลี่ยนวิถีความรู้สึกจากการบวชเพื่อเดินหนีเป็นบวชเพื่อเดินเข้ามาหาธรรม
             และขอบอกท่านว่าวันนี้มีผู้อาวุโสที่อาจารย์จะต้องไปท่านเป็นคนที่มีคุณธรรม เป็นคนที่เรากราบไหว้ได้ แต่ก่อนที่จะเดินทางไปอาจารย์จะขอกราบท่านเพราะท่านเป็นผู้สงบฟังธรรมและเป็นผู้ควรแก่การสักการะ และขอให้ท่านฟังธรรมจากหลวงพี่ทองต่อไป”
             เมื่อกราบลาพระใหม่ทั้งสองรูปแล้วได้รู้สึกอยู่ในใจว่าสิ่งที่ได้ทำไปเป็นเหมือนการจุดประกายปัญญาเหมือนแสงเทียนที่ครูจุดให้ลูกศิษย์ ตอนที่เดินออกมาจากกุฏิท่านพระทอง ก็รู้สึกอิ่มใจและได้ระลึกถึงหลวงพ่อเสือเพื่อบอกกล่าวภาพหลวงพ่อก็ปรากฏในใจ รวมทั้งภาพของอาจารย์บุญมีด้วย ได้ระลึกรู้ว่าความรู้ความสามารถที่เรามี และที่แสดงออกมาต่อใคร ๆ แม้กระทั่งการอธิบายธรรมะในวันนี้ถ้าหากไม่มีครูก็จะไม่มีความสามารถเช่นนี้ได้ คนเราอาจจะมีทุนของตนเอง แต่วิธีคิด เทคนิค และการอธิบายล้วนได้จากการสอนของครู ซึ่งท่านผู้นั้นก็คือ หลวงพ่อเสือ ผู้เป็นครุที่ประเสริฐที่สุดแล้วในความรู้สึกจากนั้นก็เอาหัวใจที่ปิติและอิ่มเอิบไปด้วยกุศลกราบรำลึกในพระคุณของหลวงพ่อด้วยความเคารพยิ่ง
ปาเจราจริยาโหนติคุณุตตรานุสาสกาฯ
https://webboard.abhidhammaonline.org/data/attachment/forum/202501/18/195035zg2d4d2jqqlgk0d4.jpg

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 19:11:45

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ศาลาธรรม เมื่อ 2025-1-18 20:22

             ตลอดการเดินทางมาบ้านคุณป้าอัมพารู้สึกถึงความอิ่มใจมาตลอดทาง เมื่อมาถึงแล้วก็หิ้วของที่ตั้งใจซื้อไปฝากคุณป้าโดยเฉพาะบะหมี่ราดหน้าที่คุณป้าชอบมายืนที่หน้าประตูได้ยกมือไหว้และบอกคุณป้าว่า “มาเซอร์ไพรส์วันครู”              คุณป้าอัมพาบอกว่า“นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จะมา”              ได้ตอบคุณป้าอัมพาว่า “อะไรที่ไม่คาดฝันมีเสมอ”             คุณป้าบอกว่า “ชอบกินบะหมี่มาก ซื้อมาเยอะเลยนะ”              จากนั้นก็สนทนากันพอสมควรแล้วได้เข้าไปนั่งข้าง ๆ คุณป้า แล้วยกมือกราบไปที่อกและกอดคุณป้าแล้วบอกว่า“วันนี้วันครู ขอเป็นตัวแทนของกัลยาณมิตรและทุกคนที่มูลนิธิที่รู้จักคุณป้า มาสวัสดีและกราบครูแทนทุกคนและขอกราบที่หัวใจในฐานะเป็นผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้วยบุญ เพราะคุณป้าเป็นคนมีบุญ เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เบียดเบียนสัตว์การไม่ฆ่าสัตว์ จึงมีอายุยืนเช่นนี้ แม้กระทั่งป่วยเจ็บก็ยังสดชื่นแจ่มใสเพราะว่าจิตใจดี”              คุณป้าก็น้ำตาซึม จากนั้นก็เรียกเด็กที่ดูแลคุณป้ามาบอกว่า “วันนี้เป็นวันครูครูขอมอบเงินให้ ๕๐๐ บาท ครูอยากทำบุญด้วย”คุณป้าอัมพาพูดขึ้นว่า “เห็นไหม เธอโชคดีอาจารย์มาทีไรเธอก็ได้เงินทุกที” ได้พูดกับเด็กที่ดูแลว่า “ขอบคุณมากที่ดูแลคนที่อาจารย์รักเพราะหนูเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีจึงดูแลคุณป้าได้ดีอย่างนี้ อาจารย์จึงขอมอบเงินให้เป็นรางวัล”
             จากนั้นก็ทบทวนบทอาขยานเก่า ๆ กับคุณป้าอัมพา และก็ให้คุณป้าหนึ่งถึงสิบเป็นภาษาอังกฤษขณะนั้นก็ได้หยิบเงินแบงค์ร้อยออกจากกระเป๋าตามจำนวนที่คุณป้านับแล้วก็มอบให้คุณป้าบอกว่า “อันนี้สวัสดีปีใหม่”ต่อจากนั้นก็ให้คุณป้านับอีกสิบแล้วก็มอบให้คุณป้าพร้อมกับบอกว่า“อันนี้เป็นวันครู เพราะคุณป้าเป็นครูที่ดี”แล้วก็ให้นับอีกครั้งจนถึงสิบแล้วก็หยิบทั้งหมดรวมกันเป็นจำนวน ๓,๐๐๐ บาทบอกกับคุณป้าว่า “ไว้สำหรับทำบุญหรือใช้จ่ายอะไรก็ได้”

            ในขณะที่หูได้ยินเสียงคุณป้านับหนึ่งถึงสิบแต่สิ่งที่รู้สึกในใจเป็นคนละแบบกับเสียงที่ได้ยินสิ่งที่ใจได้ยินก็คือเหมือนมีอีกใจหนึ่งมาดูใจตนเองว่า กำลังมีความเมตตา กำลังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนกำลังมีความเสียสละ และเห็นแม้กระทั่งมือในขณะที่ยื่นออกไป รู้ว่าไม่ได้เป็นมือที่เกิดขึ้นจากความสันทัดหรือความยินดีแต่เกิดขึ้นจากใจที่หวังดีและหัวใจแห่งการให้ รู้สึกว่าเป็นการให้จริง ๆ คือ ให้ด้วยใจและให้ด้วยมือไม่ใช่ทำตามใจสั่ง มันมีคำว่า "ให้" แล้วก็ "บุญ" รู้ว่าเรากำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางของบุญ(ลักษณะอาการของกายและใจมันเคลื่อนไหวไปด้วยอำนาจบุญ) เหมือนมีบุญที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่อีกทางหนึ่งที่ต่อเนื่องจากบุพพเจตนาที่ไปซื้อของที่ตลาดเพื่อถวายภัตตาหารเจตนาที่ได้ทำบุญที่วัดในการถวายภัตตาหารอธิบายธรรมะและถวายปัจจัยแก่พระทั้งสามรูปต่อเนื่องมาจนถึงการทำบุญในขณะนี้

ศาลาธรรม โพสต์ 2025-1-18 19:18:29

                    ก่อนที่จะลากลับคุณป้าอัมพาได้พูดติดตลกว่า“แบบนี้อยากให้อาจารย์มาทุกอาทิตย์"
          ได้ตอบคุณป้าอัมพาไปว่า “จะให้มาทุกอาทิตย์ก็ได้ถ้าสุขภาพแข็งแรงถึงไม่มาก็รู้สึกว่า ไม่เคยลืม และขอบอกสิ่งหนึ่งที่สำคัญว่าขอให้คุณป้าจดเบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์ เขียนตัวโต ๆแล้วติดไว้ที่ฝาผนังเผื่อเป็นอะไร ให้เจ้าต้อง (ลูกชาย) โทรมาบอกด้วย เพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่ เราพูดกันตามตรงตอนนี้แก่กันหมดแล้ว ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ ให้พร้อมแต่ถ้าเผื่อเราได้ยินเสียงคนที่เราต้องการได้ยิน อยากฟังในสิ่งที่เราต้องการฟังจากคนที่เราต้องการ บางทีในขณะนั้นเราไม่สามารถพูดบอกใครได้ก็ขอให้ลูกชายโทรมาได้ทันที จะรีบมา”
          คุณป้าร้องไห้และบอกว่า“ซาบซึ้งและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตจริง ๆดิฉันไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้อย่างที่อาจารย์บอก ดีใจจริง ๆกราบขอบคุณอาจารย์มากเลย วันนี้เป็นวันครูที่ดิฉันมีความสุขมาก”
          เหตุการณ์ทั้งวันในวันนี้คงเป็นแนวทางให้กับทุกท่านที่เข้ามาอ่านได้มีโอกาสจัดสรรตนเองให้เกิดกุศลเมื่อมีโอกาสและความพร้อม บุญจะเกิดขึ้นได้ง่าย และบุญที่เกิดขึ้นจากการคิดถูกเห็นถูก จะทำให้ท่านรู้สึกว่าคำว่าบุญที่เกิดขึ้นที่ใจตนเองนั้นมันให้ความสุขจริงๆ

   จากใจครู   
๑๖มกราคม ๒๕๖๘https://webboard.abhidhammaonline.org/old/abhidhamonline.org/flower.gif
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: กิจกรรมวันครู