อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเงาเสือพิทักษ์ (7)
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif
การศึกษาธรรมะจะบังเกิดผลดีได้ก็ต่อเมื่อได้นำมาปฏิบัติอย่างจริงจังผู้ที่ปวารณาตนเพื่อความหลุดพ้นและมุ่งมั่นปฏิบัติตนเองให้บรรลุธรรมขั้นต่างๆก็คือ นักบวชลัทธิศาสนาต่าง ๆ หรือพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จะมีพระวินัยคือศีลมาเป็นกรอบจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตให้แตกต่างไปจากฆราวาสเพื่ออำนวยความสะดวกให้มีความสงบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกัน และเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองศีลจึงเป็นอาภรณ์อันประเสริฐที่ควรนำมาสวมใส่
เพราะข้อจำกัดที่มีมากจะส่งผลให้มีความสำรวมในการประพฤติ ความสำรวมในการประพฤติยิ่งมีมาก ยิ่งรักษากายวาจา ใจ ให้อยู่ในความบริสุทธิ์ได้มาก ทุกข์ที่มีมากจากการใช้ชีวิตอย่างจำกัดขอบเขต จะส่งผลให้เห็นกิเลสที่กำลังดิ้นรนการพบเห็นความดิ้นรนของกิเลส จะส่งเสริมการพิจารณาธรรมได้เป็นอย่างดี
ในร่มเงาเสือพิทักษ์นอกจากจะมีพระธรรมของพระศาสดาและคำสอนของหลวงพ่อมาเป็นเครื่องกำกับใจแล้วในบางคราวยังเสมือนมีเรด้าตามติดความคิดนึกของบรรดาลูกศิษย์ที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยในบางคราวที่ลูกๆ มีความดิ้นรนมากในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสหลวงพ่อก็จะแจกการบ้านให้เป็นรายคนหรือทุกคนให้เข้าสู่การจัดระเบียบชีวิตอย่างในช่วงเวลาของการเข้าพรรษาท่านก็จะให้ลูกศิษย์หัดรับประทานอาหารมื้อกลางวันหรือมื้อใดมื้อหนึ่งในแต่ละวันโดยไม่ต้องปรุงบางคนได้รับโจทย์เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ บางคนได้รับโจทย์เป็นข้าวผัดการบ้านของหลวงพ่อท่านจึงมีไว้เพื่อปรับปรุงพัฒนาชีวิตของลูกๆไม่ใช่การลงโทษ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14572-1.gif@nhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14572-1.gif@n
นอกจากการจัดระเบียบชีวิตแล้วหลวงพ่อท่านยังได้สร้างความงามให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูกศิษย์ทั้งหลายด้วยคำสอนที่ว่าแต่ละคนมีเสบียงของชีวิตที่ต่างกัน ในขณะนี้เรายังมีภาระในการครองเรือนต้องประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นอกจากการรู้จักใช้ทรัพย์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองต่อครอบครัว และต่อส่วนรวม ด้วยการจัดสรรทรัพย์ที่ได้มาออกเป็น 4 ส่วนเพื่อใช้ชีวิตให้เหมาะสมตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในเรื่องสมชีวิตาได้แก่
ส่วนที่ 1 จัดสรรทรัพย์เป็นค่าเลี้ยงชีพตน ครอบครัวและผู้มีพระคุณส่วนที่ 2 จัดสรรไว้เป็นทุนในการประกอบอาชีพเพื่อให้มีผลกำไรงอกเงยส่วนที่ 3จัดสรรเพื่อเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็นหรือฉุกเฉินส่วนที่ 4 จัดสรรไว้ประกอบกิจกรรมอันเป็นกุศล
การบริหารทรัพย์ทั้ง 4ส่วนเป็นสิ่งที่ต้องผู้ครองเรือนอย่างเราๆ จะต้องใส่ใจพิจารณาเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นด้วยการไปพึ่งพิงอาศัยอยู่เนืองๆ และต้องใช้กำลังของสติปัญญาเป็นอย่างมากในการบริหารทรัพย์ส่วนที่ 3และทรัพย์ส่วนที่ 4 เพราะหากขาดสติปัญญาในการดำเนินชีวิตแล้วเราก็จะมีทรัพย์เพียงแค่2 ส่วน คือ ทรัพย์เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน กับทรัพย์เพื่อเก็บออมเท่านั้น
โดยปกติเราจะมีความโลภเป็นพื้นฐานนิสัยเห็นอะไรก็อยากได้ อยากมี ท่านเปรียบว่าความโลภก็เหมือนเกลือยิ่งกินก็ยิ่งกระหายน้ำต้องดื่มน้ำเรื่อยๆไม่รู้จักพอยิ่งมีความพึงพอใจในทรัพย์เมื่อยิ่งสะสมก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นจากเกลือเม็ดเล็กก็กลายเป็นก้อนโตใหญ่ หวงแหนทรัพย์และห่วงหาความปลอดภัยในทรัพย์หลวงพ่อท่านจึงเข้ามาช่วยคลี่คลายความเค็มนี้ลง โดยให้แปรเปลี่ยนทรัพย์ที่มีไปเป็นอริยทรัพย์คือ จาคะ บำเพ็ญทานด้วยการสละออก เพราะนอกจากจะสละทรัพย์แล้วยังเป็นการสละกิเลสคือความโลภ ความตระหนี่ออกไปจากชีวิตได้อีกด้วย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-7-19 17:33
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14602-2.gif@nhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/14602-2.gif@n
คำสอนนี้เป็นการเสนอให้กระทำเพียงอย่างเดียวแต่มีผลหลายทิศทางกล่าวคือ เป็นการสอนให้ใช้ทรัพย์ที่ได้มาด้วยความปลอดภัย และเป็นลดความเค็มของชีวิตด้วยการใช้ทรัพย์ในส่วนที่4 เพื่อการสละออกหรือการบริจาคไปสู่ผู้อื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว ญาติ หรือเพื่อนซึ่งเป็นการสร้างกุศลสาธารณะประเภทต่าง ๆทั้งด้วยการทำร่วมกันเป็นหมู่คณะและการกระทำส่วนตนด้วยการบริจาคให้แก่วัด โรงเรียนโรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ ผู้ประสบภัยพิบัติ และผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ
การบริจาคทานจึงมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อกำจัดกิเลสคือความตระหนี่หวงแหนที่ตนเองผู้ให้ทานสามารถลดความเห็นแก่ตนละมัจฉริยะออกไปได้ในบางโอกาสเสมือนเติมน้ำจืดลงไปในโอ่งเกลือเรื่อยๆ จนในวันหนึ่งเมื่อมีปริมาณน้ำจืดมากขึ้นๆ ความเค็มก็จะคลายรสไปและแม้จะเป็นการบริจาคให้แก่ผู้ที่มีความสมบูรณ์อยู่แล้วหรือผู้ที่ไม่ประสงค์จะรับก็ยังจัดว่าเป็นการลดความตระหนี่ของตนสร้างความอ่อนโยนในจิตใจของตนเองที่ปรารถนาจะให้ผู้นั้นได้รับความสุข
บางคนบอกว่ามีเฉพาะเงินใช้จ่ายในแต่ละวันไม่มีทรัพย์ที่จะไปทำบุญ เวลาเห็นใครเขาทำบุญก็รู้สึกน้อยใจในขีวิตตัวเองที่ไม่มีโอกาสเช่นนั้นหลวงพ่อท่านก็ได้ปรับปรุงความรู้สึกของบุคคลนั้นว่า การบำเพ็ญทานบารมีไม่ได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้กำลังแรงกายบำเพ็ญทานด้วยการกระทำกิจการงานกุศลต่าง ๆ เช่นการทำความสะอาด การทำอาหาร การซ่อมแซมตกแต่งสถานที่ซึ่งเป็นการสละความสุขส่วนตนเพื่อให้ประโยชน์แก่บุคคลอื่น และนอกจากที่กล่าวมาแล้ว การแผ่ส่วนกุศลหรือการอุทิศกุศลรวมทั้งการกล่าวอนุโมทนากับผู้อื่นแสดงความยินดีในการทำความดีหรือการทำบุญของผู้อื่นก็เป็นทานกุศลที่สามารถทำได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เงิน
การบำเพ็ญศีลและทานให้มีคุณภาพจำเป็นต้องใช้ปัญญาเข้าไปบริหารจัดการเพื่อให้เกิดผลดีและเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ต้องเข้าใจถึงผลดีที่ได้ทำและผลเสียที่ไม่ได้กระทำแล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้มากขึ้นๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้เกิดความสุข.
ขอให้ทางชีวิตของแต่ละท่านมีหนทางที่จะพัฒนาจิตใจตนเอง
และยกระดับคุณภาพชีวิตได้ยิ่งขึ้นไป
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/i77.photobucket.com/albums/j76/payear/Line/Line117.gif
หน้า:
[1]