พี่ดอกแก้ว โพสต์ 2025-7-27 09:34:12

อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเงาเสือพิทักษ์ (10)





https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif



เรื่องราวและข่าวสารที่ผ่านเข้ามาให้รับรู้ในช่วงนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้เราได้เรื่อยๆ แบบไม่มีข้อจำกัดทั้งข่าวสงครามที่อยู่ไกลๆ บ้าน ข่าวอลัชชี-สมี-สีกา ข่าวภัยพิบัติต่าง ๆแผ่นดินไหว ไฟไหม้ และน้ำท่วม มีประเด็นให้ต้องปะทุวาจาด้วยความไม่สบอารมณ์กันมากจากความคิดกลายเป็นความรู้สึกและก่อเกิดเป็นการกระทำทางวาจาและทางกายทั้งในเรื่องที่ดีและไม่ดี

อารมณ์ที่มากระทบกับเราแม้เป็นเพียงเรื่องราวเดียวแต่ก็สามารถกระตุ้นให้เรามีพฤติกรรมตอบโต้สืบเนื่องได้หลายทางคละเคล้ากันไปเพราะเราได้เผลอตัวเข้าไปแสดงบทบาทเล่นเป็นตัวละครทั้งตัวร้ายและตัวดี ตอนที่สวมบทบาทดีก็จะมีการทำบุญทำกุศลต่างๆเช่น การบริจาคช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ประสบภัย ตอนที่สวมบทบาทเป็นตัวร้ายก็จะมีการก่นด่าอาฆาต ทำลาย หรือทาร้ายฝ่ายผู้ที่เราไม่สบอารมณ์

หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่า ชีวิตเหมือนโรงละครใหญ่เรามาอยู่ในโลกใบนี้เกิดมาในชาตินี้ก็มีบทบาทเพียงชั่วคราว จากที่เคยเป็นลูกหลานก็กลายเป็นพ่อแม่ลุงป้าน้าอา จากที่เคยเป็นลูกคนเดียวก็กลายเป็นพี่ใหญ่ จากที่เคยเป็นนักเรียนก็กลายมาเป็นคนทำงานหรือคนตกงานจากที่เคยเป็นลูกน้องก็กลายเป็นหัวหน้า และจากที่เคยเป็นหัวหน้าก็กลายเป็นลูกน้องเมื่อพบกับผู้ที่ตำแหน่งสูงกล่าบทบาทของเราจึงไม่เคยหยุดนิ่งหัวโขนที่สวมอยู่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามวาระโอกาสจนกว่าโรงละครจะปิดตัวลงเมื่อเราตายและก็จะเปิดโรงละครใหม่อีกครั้งพร้อมกับการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่

หัวโขนของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบทบาทของเราก็เปลี่ยนไปมาไปตามความพอใจกับความไม่พอใจ ละครชีวิตของเราเข้าแสดงในโรงละครมานับครั้งไม่ถ้วนและผ่านการสวมหัวโขนในบทต่างๆ นั้นก็มีบทบาทอยู่เพียงแค่สองบทเท่านั้น คือ บทดีกับบทร้าย ท่านบอกว่า เมื่อเรามีโอกาสมาศึกษาพระอภิธรรมแล้วก็ต้องรู้จักดูละครแต่อย่าไปเล่นละคร


พี่ดอกแก้ว โพสต์ 2025-7-27 09:41:35

https://victorytale.com/wp-content/uploads/2019/09/65011666_414911149357349_4823649122705735680_n.jpg



ดูละคร ..ดูอย่างไร คือดูว่าแต่ละคนต่างมีกงกรรมเป็นของตน มีกิเลสคอยหมุนกงให้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆเขาชินกับสิ่งใดเขาก็จะทำในสิ่งนั้นอยู่เสมอจนเกิดเป็นความชำนาญการที่เรามีความคิดที่จะให้เขาสร้างความแตกต่างไปจากเดิมจึงเป็นเรื่องที่ยากการที่เราพยายามจะไปบังคับฝืนใจใครให้กระทำบางอย่างจึงเหมือนการเข้าไปเล่นละครและอาจมีฉากการทำลายล้างตามมาได้ เพราะเมื่อสวมบทบาทไปนานเข้าเราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์ส่งผลให้หัวโขนมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ จนตกลงมาทับคอทับบ่าของเราเองเมื่อดูเขา..เราจึงแย่

ดูละคร... ดูดีเก็บมาใช้ ดูชั่วเก็บไปละถอนตัวออกมาจากการเป็นแฟนคลับผู้ลุ่มหลงและการเป็นเจ้าบุญนายคุณเหมือนสปอนเซอร์รายใหญ่ ทำสิ่งใดแก่ให้ลงไปให้ตัดอาลัยให้ขาดตัดการหวังผล ลดการอ้างความปรารถนาดี


ดูละคร...ดูเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา เพราะเวลาจะมีค่าเวลานั้นต้องประกอบไปด้วยปัญญา ดูให้รู้ว่านอกจากเรื่องของกรรมและวิบากจะต้องดูให้รู้ว่า ดูให้รู้ว่าไม่มีเขาไม่มีเราไม่มีตัวตนคนสัตว์ อะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม เพื่อให้เข้าถึงการเกิดและดับของสิ่งเหล่านั้น

พี่ดอกแก้ว โพสต์ 2025-7-27 09:43:31


บทอิติปิโสฯ แสดงพระพุทธคุณ 9 ประการ ซึ่งเราได้สวดท่อง และอัญเชิญสิริมงคลมาคุ้มครองให้มีความปลอดภัยทุกวี่วันมีพระพุทธคุณประการหนึ่งที่กล่าวว่า “วิชชาจะระณะสัมปันโน” แปลว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติถ้อยคำนี้ได้มีการนำมาปรับเป็นคำคล้องจองหรือคำขวัญเพื่อให้จดจำง่าย เช่นความรู้คู่ความประพฤติ หรือความรู้คู่คุณธรรม หรือปริยัติคู่กับปฏิบัติ ซึ่งคำเปรียบเปรยเหล่านี้ยังไม่สามารถเข้าถึงคำว่า “วิชชา” และ “จรณะ”ได้แม้แต่เศษเสี้ยวแต่ก็เป็นถ้อยทำที่มีค่ามากที่ทำให้รู้ว่าจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติด้วยจึงจะทำให้เกิดคุณได้สูงสุด

การดูละครแล้วบอกได้ว่าใครรับดี ใครรับบทร้ายใครเป็นบทกรรม ใครเป็นบทวิบากก็ยังไม่เกิดประโยชน์เท่ากับการได้ใช้สติและปัญญามาระงับฉากละครภายนอกให้ย้อนกลับมาดูละครภายในที่กำลังเกิดขึ้นที่ชีวิตของเราเองคือรูปและนามจึงต้องมีความมั่นคงตรงต่อเส้นทางว่าการศึกษาพระธรรมก็เพื่อจุดหมายเดียวคือ มุ่งกำจัดกิเลสของตนเองไม่ใช่มุ่งกำจัดกิเลสของคนอื่น

การดูละครชีวิตที่จริงแท้ไม่ใช่แค่การเข้าไปหลบดูอยู่ในห้องปฏิบัติธรรมหรือเรือนกรรมฐานเพราะเรายังมีชีวิตอยู่ในทุกหนแห่งที่เราไป อารมณ์ต่าง ๆ ก็พร้อมมาปรากฏอยู่เสมอ สนามรบของเราจึงมีอยู่ตลอดเวลาไม่ได้มีเฉพาะในเวลาที่เราเข้าปฏิบัติเราจึงต้องหมั่นเพียรฝึกฝนการนำความรู้ทางธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดผลดีอยู่เสมอ

พี่ดอกแก้ว โพสต์ 2025-7-27 09:48:12

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-7-27 09:54


การนำความรู้มาใช้ในการปฏิบัติจึงเสมือนการรับสิริมงคลแห่งพระพุทธคุณ“วิชชาจะระณะสัมปันโน” ให้มาบังเกิดขึ้นที่ตนได้โดยตรง และภายใต้ร่มเงาเสือพิทักษ์ก็ได้มีกิจกรรมนี้เพื่อสานต่อสิริมงคลดังกล่าวในชื่อชมรมละกิเลสมีการฝีกสอนวิธีการดูละครชีวิตที่โรงละครจิตตะนคร เพื่อทำให้เรื่องราวสิ้นสุดด้วยการหยุดที่ตน

การพิจารณาอารมณ์หรือดูให้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจขณะนี้คืออะไรเป็นธรรมประเภทไหน เพื่อตัดวงจรของกิเลสไม่ให้เรื้อรังสืบเนื่องการสร้างชัยชนะด้วยการรู้เท่าทันอารมณ์และความรู้สึกด้วยความเป็นรูปเป็นนามไปในแต่ละอารมณ์ด้วยการทำทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ต้องรอเวลาของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานประจำแต่ละวันหรือรอช่วงเวลาหยุดต่อเนื่องเพื่อเข้าไปฝึกในห้องกรรมฐานเพราะปัจจุบันธรรมมีอยู่ตลอดเวลา    อยู่ที่ว่าเราจะมีวิธีการดูละครจนพบกับปัจจุบันอารมณ์ได้ที่ไหนและเมื่อใด.


ดูทีวี ดูเวที ดูที่ใจ
เราจักเหมือนเขาไหมฝ่ายทั้งสอง
จึงตั้งต้นดูใหม่อย่างไตร่ตรอง
ได้พบเห็นครรลองของกรรมกล

เวลาผ่านไปรวดเร็วมากๆ นี่ก็จะหมดเดือน 7 เข้าไปแล้ว ชีวิตเราเป็นละครโรงใหญ่มาก บัดนี้เราแสดงบทบาทอะไรกันอยู่ นางเอก พระเอก หรือ รับบทตัวร้ายกัน หรือใช้ชีวิตแค่ตัวประกอบ ผ่านหน้ากล้องไปวันๆ อย่าลืมนะคะ ฉากสุดท้ายต้องตายทุกตัวละคร


https://webboard.abhidhammaonline.org/old/abhidhamonline.org/flower.gif


หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเงาเสือพิทักษ์ (10)