หรืออย่างพระบรมศาสดาได้ทิ้งรอยธรรมไว้ แต่เรามัวไปเดินออกนอกเส้นทางหรือเกียจคร้าน จึงไม่เคยเดินตามท่านทัน และไม่เคยพบท่านสักครั้งด้วยดวงตาแห่งปัญญา
โดยเฉพาะได้เตือนตนเองว่า ถ้าเผื่อท้อก็เหงา ถ้าเผื่อถอยก็แพ้ ถ้าเผื่อท้อแท้จิตใจก็ยิ่งว้าเหว่ เช่น การคบหากับคนบางกลุ่มแล้วไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ ความท้อที่จะคบคน
ความท้อที่จะทำงานก็จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เลยต้องปลีกตัวออกจากกลุ่มที่คบ ก็เลยทำให้เหงาเศร้าสร้อยในอารมณ์ จินตนาการไปอย่างฟุ้งซ่านในอคติ ๔
จึงเตือนตัวเองเสมอว่า ถอยเมื่อไรเราก็แพ้ คือ แพ้อารมณ์ตัวเอง เมื่อเราแพ้อารมณ์ตัวเองแล้ว เป้าหมายของชีวิตก็จะหายไป
สำหรับวันนี้ได้มีโอกาสมาโอภาปราศรัยกันก็อย่าคิดมากในความเจ็บป่วยของผู้พูดนะคะ เพราะการมาบอกความในใจ และความนึกคิดแก่กันนี้ เป็นการเฉลี่ยความสุขให้ทราบ เฉลี่ยความทุกข์ให้รู้เท่านั้นเองค่ะ ให้รู้เพียงแค่นั้นนะคะ อย่าไปคิดมาก เพราะความเจ็บป่วยเป็นวิบากของแต่ละคน การมาให้ความรู้เป็นการกระทำกรรมใหม่ของแต่ละคน อะไรที่ซึมซับไว้จากคุณพ่อและเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะนำมาแบ่งปันทุกท่านผู้มีอุปการะคุณแก่มูลนิธิแห่งนี้
๏ บุษกร เมธางกูร๏
|