ชายคนหนึ่งเล่าว่า ตอนเด็กถูกพ่อตีเสมอมา บางครั้งก็ถูกตีอย่างรุนแรง จนเกิดความรู้สึกกลัวผู้ใหญ่ทุกคน เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ จะทำตัวเรียบร้อย แต่ถ้าลับหลังผู้ใหญ่เมื่อไหร่ก็จะปล่อยตัวเต็มที่ แต่ถึงอย่างไร ลึก ๆ ก็ไม่มีความสุข เพราะความรู้สึกทั้งกลัวทั้งเกลียดพ่อคอยรังควานจิตใจ แม้กระทั่งในระหว่างทำสมาธิ หลายครั้งจะเกิดนิมิตเห็นมือข้างหนึ่งยื่นมาจะตีเขา จิตจะสะดุ้งทันที เพราะกลัวเจ็บ ต้องเลิกทำสมาธิกลางคัน
วันหนึ่ง ขณะทำสมาธิ เขาเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า ใครที่จะตีเขา ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นมือพ่อ แต่อีกใจหนึ่งก็พร้อมจะพบความจริง จึงตั้งสติ ทำใจให้เข้มแข็ง ยอมถูกตี แล้วเขาก็พบว่าในนิมิตนั้น คนที่จะตีเขาก็คือพ่อของตนจริง ๆ แต่เมื่อเขาเพ่งมองต่อไป มืนนั้นก็เปลี่ยนจากท่าตีมาเป็นแบมือขอ ความรู้สึกบอกว่าพ่อกำลังขอความรักความเมตตา ชั่วขณะนั้นเอง เขารู้สึกสว่างโพลง เกิดความเข้าใจในตัวพ่ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาได้คิดว่า สาเหตุที่พ่อเป็นคนเจ้าอารมณ์ ชอบใช้ความรุนแรง เพราะพ่อขาดความรัก ขาดคนเข้าใจ เวลาทำงานก็ไม่มีเพื่อน จึงหงุดหงิดฉุนเฉียว เมื่อมาบ้านเห็นลูกทำผิดนิดหน่อย ก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ลงโทษลูกอย่างรุนแรง ลึก ๆ พ่อก็รู้ว่าลูกไม่รักตน จึงยิ่งทุกข์มากขึ้น
เมื่อเข้าใจพ่อ ก็สามารถให้อภัยพ่อได้ ทันทีที่ให้อภัย ความติดข้องในตัวพ่อก็เลือนหายไปพร้อมกับความเกลียดความกลัว บาดแผลในใจสมานได้สนิท ตั้งแต่นั้นมา เขารู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ จิตใจโปร่งเบา ทำอะไรได้สะดวก ไม่เพียงแต่รักพ่อได้สนิทใจเท่านั้น หากยังไม่กลัวผู้ใหญ่อีกต่อไปด้วย
สงครามภายในของชายผู้นั้นยุติลง มันหมดพิษสงก็เพราะการให้อภัย เมื่อให้อภัยแก่ผู้อื่นได้ จิตใจก็เป็นสุข การยื่นไมตรีให้แก่ผู้อื่น จึงเป็นการสร้างไมตรีให้กับตนเองไปพร้อมกัน เมื่อสร้างสันติกับผู้อื่น เราเองก็พลอยมีสันติภายในด้วย
|