ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 845|ตอบกลับ: 5

ดอกแก้วบาน ตอนที่ ๖

[คัดลอกลิงก์]

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วยุรี เมื่อ 2017-5-14 12:24





ดอกแก้วบาน ตอนที่ ๖

โดย...พี่ดอกแก้ว


เป็นธรรมดา ที่ต้องทรมานใจบ้าง บางครั้งความรู้สึกทรมานใจก็ช่วยให้เราเข้าใจชีวิต ในโลกนี้ ทั้งคนดีและคนชั่ว... ต่างก็มีความรู้สึกอันแท้จริงของใจเหมือนกันทั้งสิ้น คือ....ไม่ต้องการความทุกข์และผิดหวัง


เป็นของธรรมดาที่สุดสำหรับการมีชีวิต เพราะว่าเราได้ทำกรรมมาในอดีตชาติต่างๆนานา นอกจากอกุศลกรรมบถ 10 ที่เราได้รู้แล้วว่า เป็นบรรทัดฐานของอกุศลที่จะส่งผลให้เราได้รับในปฏิสนธิกาล และปวัตติกาลแล้ว ยังมีกรรมอื่นๆ ที่เราได้กระทำเอาไว้เป็นอาจิณกรรมมากมาย

ฉะนั้น ในชีวิตของแต่ละคนย่อมอยู่อย่างทุลักทุเล แต่ถ้าเผื่อผู้ที่ไม่เข้าใจชีวิตแล้ว ก็จะรับรู้อารมณ์และคล้อยตามอารมณ์ไปด้วยความทุลักทุเลของจิตใจ เราจะห้ามอะไรให้เกิดกับชีวิตไม่ได้ แม้กระทั่งห้ามความรู้สึก

แม้ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คนส่วนมากและยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังมีมนสิการไม่ถูกต้อง คือ พยายามห้ามความรู้สึก ความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบกับผัสสะทำให้เกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา โสมนัสและโทมนัส



12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:27:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ในเรื่องของชีวิตนั้น ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรามันเป็นไปด้วยความยาก เลี้ยงชีวิตได้ยาก อยู่ได้ยาก เพราะว่า ... สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่เราบงการไม่ได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ปุถุชนก็จะต้องได้รับความรู้สึกทรมานใจบ้าง แต่ ความทรมานในบางครั้งก็ช่วยให้เราเข้าใจชีวิต เราจะได้ไม่ทิ้งโอกาสแห่งการสังเกตและการเรียนรู้

เราจะสังเกตได้อย่างไร

สังเกตจากความรู้สึกของเราว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้างในใจ จากสิ่งที่เกิดภายนอก เราก็คอยสังเกตใจของเราเอง และ เรียนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรานั้นมันเป็นบาป หรือมันเป็นบุญ

จากการสังเกตเราก็จะได้เรียนรู้ว่ามันมาจากเหตุปัจจัยอะไร ถ้าเหตุปัจจัยนั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้เรา เราก็จะได้รีบละเหตุปัจจัยนั้นออกไปเพื่ออนาคตชาติของเรา เพราะว่า ในโลกนี้ ไม่ว่าคนดี หรือคนชั่วต่างก็มีความรู้สึกอันแท้จริงของใจ ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเราไม่ต้องการความทุกข์ และไม่ต้องการความผิดหวัง

…มีผู้ตั้งคำถามมาว่าเราจะใช้ความทุกข์อย่างไรให้เป็นความสุข
ไม่มีทางทำได้เลยในโลกนี้ เพราะ ทุกข์ก็เป็นสภาพของทุกข์ เป็นปรมัตถธรรมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ พระปรมัตถ์นี่เที่ยงคงทนถาวร

…เหมือนกับตั้งคำถามว่า เราจะทำฝนให้เป็นแดดได้อย่างไร ก็เหมือนกับทำความทุกข์ให้เป็นความสุขได้อย่างไร ซึ่งไม่มีทางทำได้เลย

แต่ถ้าเผื่อทำความทุกข์ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตขึ้นมา ทำได้ค่ะ

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:37:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด

หากตั้งคำถามว่า ถ้าเผื่อทำให้เป็นความสุขไม่ได้ จะทำให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ก็จะทำให้เป็นประโยชน์ได้ถ้าเผื่อเราสังเกตและเรียนรู้ สังเกตเห็นว่าทุกข์นั้นมันเกิดขึ้นที่ใจของเรา ความทรมานก็เกิดขึ้นที่ใจของเรา

ฉะนั้น ตราบใดที่เรายังมีใจที่รับรู้อารมณ์อยู่ ใจเราก็จะต้องรับรู้ความทุกข์จากภายนอกก็ดี จากภายในก็ดี จะเป็นประโยชน์ก็ตรงที่ว่า .... เราเห็นความจริงของชีวิตแล้วว่า นอกจากความทุกข์ อันเป็นพระปรมัตถ์แล้ว ความสุขที่เรามีอยู่ เราคิดอยู่ เรานึกอยู่ เราแสวงหาอยู่นั้น มันเป็นความวิปลาส เป็นการกระทำและการแสวงหาได้มาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น เราจะทำให้เป็นประโยชน์ได้ก็คือ เราต้องยอมรับและยอม เลิกจากการผูกติด ยึดติดกับชีวิตที่จะต้องมีต่อไป

ประโยชน์ก็คือ เห็นความจริงของชีวิตว่า ทุกข์เสมอด้วยการมีชีวิตนั้นไม่มี ถ้าจะพูดอีกมันก็เหมือนสอนเด็กปัญญาอ่อนนะคะ คือว่าชีวิตมันเป็นทุกข์ เราเรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.5 เท่าที่จำได้ก็เรียนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ตอนแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เราก็รู้แล้วว่า พระบรมศาสดาของเรานั้นสอนแนวการดำเนินชีวิตอย่างไร เพื่อจะได้พ้นไปจากทุกข์

พระพุทธองค์ไม่เคยสอนว่าทำอย่างไรชีวิตจะเป็นสุข เพียงแต่รู้ เพียงแต่ชี้ และเพียงแต่แนะให้ฟัง หรือเพียงแต่เปิดม่านตาอันมืดสนิทของเราให้รู้ว่า....ความสุขที่เรารู้อยู่และเล่นอยู่และหลงอยู่นั้น แท้จริงมันคือ สภาพของความทุกข์นั่นเอง

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:37:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด

การที่เราจะเห็นประโยชน์จากความทุกข์นั้น เราก็เรียนแล้ว แต่การเรียนนั้น คือการเรียนเพื่อผ่านชั้น หรือการศึกษาเพื่อเก็บเอาไว้ หรือทำความรู้จักแค่นั้นเอง แต่ เรายังไม่เข้าใจ ถ้าตราบใดสิ่งนั้น หรือความทุกข์นั้นมันเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นกับเราในขณะนั้น เราก็คอยสังเกตว่าใจของเราที่เป็นตัวรู้ ที่มันเคยรู้เรื่องราวต่างๆ และเคยรู้ว่าสุขนั้นมันมีอยู่ แต่จริงๆ แล้วความสุขนั้นมันก็ไม่มีอยู่แล้วก็ ดำเนินชีวิตไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบให้ดีที่สุด แต่หยุดการแสวงหาความสุข

เพราะ เมื่อใดแสวงหาความสุข เมื่อนั้นก็เท่ากับแสวงหาความทุกข์ นี่คือประโยชน์ที่จะต้องมาสอนใจค่ะ เป็นประโยชน์จากความเข้าใจตัวเอง ประโยชน์ในที่นี้หมายถึงว่า...
ประโยชน์ที่เราจะได้เพิ่มศรัทธาในคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา

ถ้าเผื่อความศรัทธามีอยู่ทั่วไป คือไม่รวบรวมมาในจุดศูนย์กลาง ของคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ความศรัทธาของเราที่มีอยู่นี่มันก็จะตามไปด้วยความรัก ความยินดีติดใจ ความผูกมัดและความมั่นคงกับสิ่งนั้น เพราะสภาพของสิ่งนั้นมันไม่มีความมั่นคงในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ถ้าเผื่อเราเข้าใจชีวิตและสังเกตดู คอยรู้ว่า เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นของความทุกข์นี้มันมาจากกรรม สิ่งที่ได้พบเห็นนี้มันเป็นวิบาก
คำว่า “กรรม” “วิบาก” เรารู้มาจากไหน

... เรารู้มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็จะเพิ่มความศรัทธาเข้าไป และความศรัทธาอันนี้ ก็ไม่สามารถทำให้เราเกิดความรักได้ ความศรัทธาในคำสั่งสอนไม่ได้ทำให้เรารักพระธรรม รักพระพุทธเจ้า แต่ทำให้เรานั้นสามารถถอยออกมาเดินตามทางของพระพุทธองค์ได้ว่า จงหยุดความรัก จงหยุดความแสวงหา แล้วก็กลับมาแก้ไข พยายามปลดเปลื้องเครื่องพันธนาการชีวิต และก็พยายามละคลายความกำหนัด และสลัดออกจากสังสารวัฏให้ได้

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:38:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นั่นก็คือ ต้องรู้ว่า ความทรมานนั้นมันเกิดมาจากไหน รู้เหตุของความทรมาน จริงไหมคะ

…การที่เรามีชีวิตเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เราก็มีสิ่งเพิ่มเข้ามาในชีวิตทุกวันถ้าเผื่อเรามีวันเดียว สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็มีแค่วันเดียวนั้น ถ้าเผื่อจะพูดข้ามกระโดดไปนะคะ ก็คือว่า พระอรหันตสาวกทั้งหลายมีชีวิตอยู่ชาติสุดท้าย ...ฉะนั้น ทุกข์ก็มีอยู่แค่ชาติสุดท้าย เช่นเดียวกัน หากเรามีวันนี้วันเดียว ทุกข์ก็มีวันนี้วันเดียว แต่ถ้าเผื่อเรามีพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ก็มีทุกข์เพิ่มเข้ามาอีก จึงไม่มีวันจบสิ้น…
ความทรมานใจมันเกิดขึ้นจากการที่เรายังต้องมีชีวิตอยู่ รับรู้อยู่ ต้องทำอยู่ และต้องแก้ไขอยู่

ฉะนั้น เราก็หาสาเหตุนั้นว่า ความทรมานใจมันมีบ่อเกิดจากอะไร บ่อเกิดนั้นมันเกิดขึ้นมาเองได้ไหม ถ้าเผื่อใจเราไม่ไปยอมรับ ฉะนั้น เรารู้แล้วว่า เพราะเราไปยอมรับและต้องการสิ่งนั้น เมื่อเรารับมาแล้วมันเป็นทุกข์ เราก็จะได้รู้ว่า.... แท้จริงสิ่งนั้นมันยุติจบไปแล้ว เราจะมาทนทุกข์อยู่ทำไม

หากท่านไม่มีความทรมานใจอยู่ในนี้ ถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางทราบ จริงไหมคะ ถ้าเผื่อเรารู้ว่าคนอื่นทำให้เราทุกข์ แล้วเราไปมีคนอื่นทำไม ก็ในเมื่อเรารู้ว่าคนอื่นทำให้เราทุกข์ ฉะนั้น ก็รู้แล้วว่าเหมือนคนนั้นทำให้เราทุกข์ แล้วเราจะไปมีเขาอีกทำไม ถ้าเผื่อไม่มีเขาเราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะว่าเราตัดเขาไม่ได้ ทำไมไม่ได้ เพราะเราอุปทาน เรายังมีความวิปลาส เราให้การตัดสินใจของเราเอง ..คือมองผิด ดูผิด คิดผิด

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-14 12:38:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

พี่ดอกแก้วเป็นคนพูดตรง และขืนพูดไป.....ถ้าเผื่อผู้นั้นไม่ยอมรับความจริง ก็จะคิดว่า คำสอนของพระบรมศาสดานี่ไม่ดี ใช่ไหมคะ ให้ทิ้งทุกอย่าง ...ทิ้งความรับผิดชอบ ก็เป็นการเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ แต่ถ้าเผื่อ.... สภาพใจของเรานี่ ยอมรับรู้และก็แก้ไขทีละเรื่อง และยอมรับความจริงได้

พี่ดอกแก้วคิดว่าพวกเราคงไม่นั่งกันอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เพราะว่าเราปฏิเสธในสิ่งที่เรายังไม่ดีบางจุด เราไม่ต้องการสิ่งที่ไม่ดีบางจุด แต่เราต้องการความสุขบางจุด ใช่ไหมคะ

ในครอบครัวๆ หนึ่ง ถ้าเผื่อเราทะเลาะกัน เราไม่ต้องการเขา แต่เราต้องการตัวเขาเวลาเขาไม่ทะเลาะ ฉะนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ทะเลาะกับเราได้ตลอดไป ขณะทะเลาะกันเราก็ไม่ต้องการ เราคิดว่าเป็นทุกข์ แต่เวลาเขาไม่ทะเลาะเขาชม เราก็นึกว่าสุข ...ไอ้ตรงที่เราไปหลงอยู่ ติดอยู่ตรงนี้ค่ะ กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่จริงมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่ปรากฎทางใจ เพราะเรากำลังมีโมหะอวิชชาอยู่ เท่านั้นเอง

ฉะนั้น ก็ไม่ได้ให้ตัดอะไร คือ...ถ้าเผื่อเราจะต้องพูด หรือมีคนในบ้าน3 คน เรารู้ว่าเราจะต้องนั่งคุยกับคนๆ นี้ แล้วมันเกิดทุกข์ เราก็หยุดการคุย คำว่า “หยุดการคุย” ไม่ได้หมายถึงว่า หยุดคำพูดตลอดชีวิต .. . ต้องคิดให้ถูก แล้วแก้ให้ถูก

ถ้าเผื่อเรารู้ว่าเรามีความทรมานใจกับการทำกับข้าว เราก็เลิกการทำกับข้าว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยุติการมีกับข้าว เราก็ไปซื้อทานได้ ก็ต้องรู้จักคิด รู้จักแก้ด้วย ไม่ใช่คิดได้อย่างเดียว แต่แก้ไม่เป็น หรือคิดไม่ได้ แต่พยายามแก้ ....มันก็ไม่มีทางแก้ไขได้

นี่แหละค่ะ มันจะต้องมีเนื้อเรื่อง ถึงจะอธิบายได้


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-21 23:27 , Processed in 0.088424 second(s), 21 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้