|
แต่ทุกคนมีทั้ง ๖ จริตเหมือนกันหมด แต่จะมีจริตอะไรสุดโต่งกว่ากันเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อรู้ว่ามีทุกจริต จึงต้องเอาเอาปัญญามาดัดจริตที่ไม่ดี เพื่ออะไร? เพื่อจะได้เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน
ทำไมคนเราจึงเวียนว่ายตายเกิด? เพราะยังมีตัณหาอยู่ ตัณหามีที่ออกเข้า ๖ ที่ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงต้องใช้วิปัสสนากรรมฐานพิจารณาดังนี้
ทางตา ขณะเห็นรูป กำหนด นามเห็น
ทางหู ขณะได้ยินเสียง กำหนด นามได้ยิน
ทางจมูก ขณะได้กลิ่น กำหนด รูปกลิ่น (รูปหอม รูปเหม็น เป็นต้น)
ทางลิ้น ขณะได้ลิ้มรส กำหนด รูปรส (รูปเปรี้ยว รูปหวาน รูปเผ็ด เป็นต้น)
ทางกาย ขณะถูกต้องสัมผัส กำหนด รูปร้อน รูปเย็น รูปอ่อน รูปแข็ง
ทางใจ ขณะรู้สึกนึกคิด กำหนด นามทางใจ (นามรู้สึก นามรู้ นามทุกข์นามเจ็บ เป็นต้น)
ขณะเดิน ยืน นั่ง นอน กำหนด รูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน
ขณะนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้วนะ พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปีเศษ ผู้สืบสายโลหิตหลงเหลือไม่กี่ชีวิตแล้ว ผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาอย่างไม่กลัวตาย ท้าทายเกิดมีไม่มาก ฉะนั้นการแบกงานพระศาสนาในการสั่งสอนวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้ที่ทำได้บุญมากมายมหาศาล ขอโทษนะ พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมจักรกำลังหมุนอยู่ ผู้รู้ย่อมมีมาก ในขณะเดียวกัน พระธรรมจักรที่ยังหมุนอยู่และผู้รู้นั้นหมุนตามย่อมไปสู่สุคติสวรรคโลกและนิพพาน
ในขณะนี้พระธรรมจักรหมุนอยู่ แต่มีผู้นอนขวาง ย่อมประหารชีวิตลงอเวจี ท่านเตือนว่า ถ้าเราได้เจอนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้กว่าผู้สูงกว่าด้วยภูมิธรรมของเรา แล้วกำลังไขข้อข้องใจในวิปัสสนากรรมฐาน ท่านบอกว่า นอกจากคนเคารพในธรรมได้บุญแล้ว เคารพในธรรมอันเป็นทางพ้นทุกข์นั้นได้บุญสูงกว่าจะเป็น ปุพเพ กะตะ ปุญญตา ให้เรานั้นมีโอกาสเกิดในที่ๆ มีพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป แต่ถ้าผู้ใดหลับอยู่ในท่ามกลางธรรมจักร ผู้นั้นจะต้องอยู่ในกงจักรแห่งชีวิตคือสังสารวัฏนาน เป็นการถ่วงตัวเองด้วย
|
|