ชีวิตใกล้จบลงไปอีกปีหนึ่งแล้ว ทุกราตรีที่ผ่านไปของคนเขลา ย่อมไม่ต่างไปจากคำอุทานของพระเจ้าอาชาติศัตรูที่เปล่งว่า...
" ราตรีนี้น่าอภิรมย์เสียจริง " ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแก้ไขว่า ดูก่อนมหาราช ชีวิตของฆารวาสนั้นคับแคบนัก เป็นที่มาของธุลี จากความตรงนี้เอง จะเห็นได้ว่าชีวิตนั้นวนเวียนอยู่กับเรื่องราวที่ไร้สาระและยังเป็นบ่อเกิดกรรมและวิบากอันหาจุดจบลงได้ยากนัก
พ่อเองได้เพียรพยายามสร้างจิตสำนึกที่มีประโยชน์จริงให้แก่ลูกๆมามาก มากพอที่จะนำไปพยุงชีวิตให้ลอยขึ้นจากเหวแห่งกิเลสได้
แต่ดูๆไปแล้วพลังแห่งความดีที่มีในจิตลูกนั้นยังอ่อนกำลังเหลือเกินถ้าเทียมกับกิเลสในใจ ซึ่งเป็นดั่งสนามแม่เหล็กมี่มีแรงดึงดูดอารมณ์ภายนอกเข้ามาในใจและยังมาปรุงแต่งด้วยความเขลา ทำให้ชีวิตเสียหลักได้ง่ายดาย
ที่สู้ไม่ได้นั้น ไม่ใช่ธรรมฝ่ายดีจะแพ้นะลูก แต่เนื่องจากธรรมะฝ่ายดีนั้นมิได้ผ่านการพัฒนานั่นเอง หากลูกมีสติมีปัญญาควบคุมใจตนเองให้ชำนาญ แน่นอนธรรมฝ่ายต่ำย่อมหมดอำนาจลงไปได้ ตรงกับคำคุ้นชินที่ลูกท่องได้ไง ใครทำใครได้ ทำมากได้มากทั้งดีและชั่ว.
แหละเนื่องจากสมัยแห่งการอวยพรเวียนมาอีกครั้ง พ่อก็ขออวยพรให้ลูกๆทุกคน มีสติที่สามารถทำให้สะดุ้งกลัวต่อชีวิต และมีปัญญานำพาชีวิตของตนเอง หันทิศทางไปในเส้นทางที่ควรดำเนินได้ มีความรู้ประกอบด้วยความสามารถพาตนเองพ้นภัยทั้งปวงได้นะลูก อย่างลืมสิ่งที่จะช่วยชีวิตลูกได้คือ...
เรียนให้รู้ ..... คือรู้จักตนเอง ว่าคืออะไรประกอบด้วยอะไร ไม่ใช่เรียนให้มาก
ดูให้จำ ........คือจำดีเก็บมาใช้ จำชั่วเก็บมาละ
ทำให้มาก....คือทำปัญญาบารมีนั่นเอง หรือจะเรียกอีกอย่างว่า กุศลวิวัฏฏะ
รักและห่วงลูกพ่อเสมอ
พ่อเสือ.
๒๙ ธันวาคม ๖๐