ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 848|ตอบกลับ: 4

ผู้มีความคิดอย่างชาญฉลาด

[คัดลอกลิงก์]

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901

ผู้มีความคิดอย่างชาญฉลาด

ความคิดของสัตว์ทั้งหลาย พาสัตว์ไปสู่สิ่งที่สร้างสรร หรือทำลาย เหตุเพราะสัตว์ทั้งหลายมีจิต อันเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ และอารมณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดความคิดดีหรือไม่ดี หมู่สัตว์จะเป็นไปตามความคิดของตนๆ

ความคิดของสัตว์ทั้งหลายเกิดจากสิ่งที่มีมาภายนอกอย่างหนึ่งซึ่งทางธรรมะเรียกว่า ปรโตโฆษะ และเข้ามาถึงจิตแล้ว ถ้าไม่พิจารณาปล่อยคล้อยไปตามอารมณ์ บางครั้งยังจิตให้เป็นทาสหรืออยู่ในกำกับของกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น แต่เมื่อใดพิจารณาให้เห็นอารมณ์ตามความเป็นไปตามความเป็นจริง ทางธรรมะเรียกว่าประกอบด้วยโยนิโสมนสิการ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคิดอย่างชาญฉลาด

การคิดจึงเป็นกิจกรรม... คือการกระทำที่มีกิจยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของมนุษย์ ด้วยความคิดมนุษย์ได้สร้างสรรค์และทำลายสิ่งต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งความสุขและความทุกข์ของตนเอง การคิดนั้น มีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ บางคนคิดจนสร้างโลกได้ บางคนคิดจนโลกหายนะ และบางคนคิดจนเป็นบ้าไปเลย ถ้าคิดดีก็สร้างสรรค์ คิดร้ายก็ทำลายคิดถูกก็ประสบความสำเร็จ คิดผิดก็ล้มเหลว ฉลาดคิดก็เป็นสุข ไม่ฉลาดคิดก็เป็นทุกข์

ดังนั้น ทำอย่างไรเล่า จึงจะคิดได้อย่างชาญฉลาด เอื้อต่อความสุข สรรสร้างสู่ความสำเร็จ

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-6-12 08:48:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด

การคิดอย่างชาญฉลาดนั้น ต้องฉลาดคิดใน ๕ ประการคือ

๑) คิดในสิ่งที่เป็นไปได้
๒) คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์
๓) คิดตลอดสายเหตุผล
๔) คิดรอบคอบโดยลำดับ
๕) คิดหยุดความคิดเป็น

สิ่งที่เป็นไปได้นั้นมีมากมาย หากจะสาธยายกันแล้ว คงจะได้หลายหน้ากระดาษ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ อันเป็นข้อจำกัดของโลกนั้นมีอยู่ ๓ ประการตามกฎแห่งความเป็นไปไม่ได้ คือ


๑. โลกนี้ไม่เที่ยง การพยายามทำให้โลกเที่ยงหรือสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เที่ยงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โลกนี้หมุนอยู่ตลอดกาลจักรวาลเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เอกภพก็ยืดตัวหดตัวอยู่เสมอ ธรรมชาติทั้งหลายไหลเลื่อนไปตามกระแสการเกิด – ดับ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้อมตะในโลกนี้

ดังนั้น การพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกให้นิรันดร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็เราจะไปทำสิ่งที่อยู่ในกระแสแห่งการหมุนนิรันดร์ให้หยุดนิ่งนิรันดร์ได้อย่างไร ใครไม่ยอมรับกฎความเป็นจริงข้อนี้ พยายามไปก็จะสูญเปล่า และผิดหวังร่ำไปจนกว่าจะเรียนรู้และยอมรับความเป็นจริงเสีย ปัญญาชนย่อมไม่ปรารถนาหรือคิดหาความถาวรใด ๆ ในโลกหรือธรรมชาติแห่งการเกิด – ดับทั้งปวง สภาวะที่แท้นั้นมีอยู่ แต่อยู่ในธรรมบริสุทธิ์ที่พ้นธรรมชาติอันเกิด – ดับแล้ว แม้การเมืองเรื่องยุ่งๆต่างในสังคมไทย เป็นไปตามกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-6-12 08:48:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด

๒. โลกนี้เป็นทุกข์ การพยายามทำให้โลกหรือสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เป็นสุขแท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ทั้งโลกและสรรพสิ่งในธรรมชาติตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์) ก็แม้ในอะตอมทุกอะตอมซึ่งเป็นหน่วยอิสระที่เล็กที่สุดของสิ่งทั้งปวงก็มีการบีบคั้น (ทุกข์) กันอยู่ระหว่างอนุภาคที่มีคุณสมบัติตรงข้ามคือประจุบวก(โปรตรอน) และประจุลบ (อิเลคตรอน) เมื่ออะตอมพัฒนามาเป็นโมเลกุล โมเลกุลรวมตัวกันเป็นสสาร รวมตัวกันเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุรวมตัวกันเป็นสิ่งมีชีวิตก็ดี ไร้ชีวิตก็ดี หรือแม้ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งภาวะทุกข์(ภาวะบีบเค้น) ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้สิ่งปรากฎอยู่ในโลกจึงเต็มไปด้วยคู่คุณสมบัติตรงข้ามที่มีอำนาจบีบเค้นกันอยู่ เช่น หญิง – ชาย, มืด – สว่าง, ดี – ชั่ว, โง่ – ฉลาด, รวย- จน, แข็งแรง – อ่อนแอ, ร้อน – เย็น, แรงหนีศูนย์กลาง – แรงเข้าศูนย์กลาง, เกิด – ดับ และ ฯลฯ และเพราะแรงกระทำระหว่างคู่ตรงข้ามที่บีบเค้นกันอยู่นี้เอง จึงทำให้สรรพสิ่งในธรรมชาติเปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลา ใครที่หวังจะทำให้โลกนี้เป็นสุข หรือหาความสุขจากโลกนี้จึงผิดหวังอยู่ร่ำไป

ดังนั้น ปัญญาชนย่อมไม่ปรารถนาหรือคิดหาความสุขใด ๆ ในโลกหรือในธรรมชาติอันตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์นี้ ความสุขแท้จริงนั้นมีอยู่ แต่อยู่ในธรรมบริสุทธิ์อันอยู่นอกเหนือธรรมชาติที่อยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์นี้

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-6-12 08:49:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด

๓. โลกนี้ไม่เป็นตัวตน การพยายามทำโลกนี้หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ให้เป็นตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกทั้งหลายเกิดจากการปรุงหรือการเข้ารวมแห่งธรรมทั้งหลาย(สังขาร) นับแต่ในส่วนรูปธรรม เรื่องของรังสีหรือสิ่งของทั่วไปย่อมมีการปรุงประกอบกันเป็นอนุภาคอนุภาคปรุงประกอบกันเป็นอะตอม อะตอมปรุงประกอบกันเป็นโมเลกุล เรื่อยมาจนเป็นโลก เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์

ดังนั้น ทุกอย่างในสรรพสิ่งล้วนเกิดมาจากการปรุงประกอบทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวของตัวโดยอิสระแท้จริง และด้วยการปรุงประกอบนี้องค์ประกอบที่มาปรุงกันอยู่ล้วนบีบเค้นกันอยู่โดยโครงสร้าง แม้จะสนับสนุนกันบ้างโดยหน้าที่ ด้วยเหตุนี้สิ่งทั้งหลายจึงเคลื่อนไหวจากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมสลายเสมอ ดังนั้น ใครที่อุปโลกน์ส่วนใด ๆของธรรมชาติมาเป็นตน ย่อมเศร้าเสมอ

ปัญญาชนจึงไม่พยายามและไม่คิดไขว่คว้า ยึดถือสิ่งใด ๆ ในธรรมชาติหรือในโลกมาเป็นตน แม้ร่างกายที่ประกอบกันอยู่นี้ก็ตาม เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเป็นตน มันเป็นผลของการปรุงประกอบของสสาร พลังงาน วิญญาณ และกรรม ที่ทำให้เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วต้องแตกสลายไปตามกลไกขององค์ประกอบนั้น ซึ่งเกิดดับอยู่เนืองนิจตามธรรมชาติ นี่คือสามสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติมีเหตุหรือเป็นไปตามปัจจัย

ความคิดที่ถูกเห็นทางที่ชอบย่อมก่อประโยชน์สร้างความคิดที่ชาญฉลาดเป็นไปตามพุทธประสงค์ที่ให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้เป็นไปตามความเป็นไปแห่งเขาและเห็นจริงตามความเป็นจริง

42

กระทู้

114

ตอบกลับ

1901

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
1901
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-6-12 08:49:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด

เมื่อความคิดของสังคมกันสวนทางกัน ขัดแย้งมุ่งร้ายทำลายกันเห็นประโยชน์ของตนคิดว่าเป็นประโยชน์เพื่อชาติ จึงมุ่งกระทำในสิ่งที่คิดว่าถูก ที่ต้อง

ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้สามารถเยี่ยวยารักษาสังคมนี้ได้ ถ้านำความคิดเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการกลั่นกรองด้วยโยนิโสมนสิการ ให้แยกแยะตามสามัญญลักษณะแห่งโลก ว่าด้วยไม่เที่ยง ทนได้ยากและไม่ใช่ของตนบังคับได้อย่างไร

ประวัติศาสตร์สอนไว้ ว่าคนไทยต้องรักกัน รัฐนาวา กำลังมีมรสุมโถมลูกแล้วลูกเล่า มัวเกี่ยงมัวแย่ง มัวแข่งดีแข่งเด่น มัวถากมัวถาง มุ่งร้ายทำลายกัน ที่สุดก็เป็นตามกฎแห่งสัจจธรรม ผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายปล่อยว่างปล่อยวาง เขาก็คือเขาเราก็คือเรา ทีจะปกป้องพระพุทธศาสนายังให้ปล่อยวางว่าเป็นไปตามกฎแห่งความเสื่อมแล้วไฉนเลยการเมืองเรื่องกิเลสแท้ๆยังยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมจบ อนิจจัง วะตะ สังขารา


"ยามบุญมากาไก่ก็กลายเป็นหงส์
ยามบุญลงหงส์เป็นกาน่าฉงน
ยามบุญมี หมูหมาก็ว่าคน
ยามบุญหล่นคนเป็นหมาน่าอัศจรรย์"


ใครกำลังเฟื่องฟูลอยอยู่ หรือกำลังถดถอยจม ท่านว่าเอาไว้เตือนตัวเองดีนักแล! อย่างน้อยก็จะช่วยลดอัตตาที่ยึดมั่นถือมั่นในตนในพรรคพวกของตนที่คอยสร้างความหลงผิดสำคัญในตนเองมันจะเริ่มลดน้อย ถดถอยลง ความพอกพูนของคุณธรรม ความใจเย็น จะเป็นผลเข้ามาอยู่เสริมแทนที่ ณ ที่นั่น เมื่อประจักษ์เข้าใจในความเป็นอนิจจังขั้นพื้นฐานของสิ่งต่างๆทั้งภายใน ภายนอก ตามความเป็นจริง ใจจะได้ร่มเย็น เป็นสุข


สิ่งทั้งหลายในโลกนั้นไม่มีเที่ยง
ล้วนตายเกลี้ยงไม่เหลือให้ถูกขัง
กรรมเคยก่อสร้างไว้เราจึงยัง
เพราะกรรมบังจึงเป็นเช่นนิยาย

อย่าเสียใจที่จนหรือค้นแค้น
สิ่งที่เด่นเรามีอีกเหลือหลาย
ก่อกรรมหลายมุ่งดีไว้ก่อนจะตาย
จะขวนขวายละโมบโลภไปใย



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-1 09:29 , Processed in 0.070790 second(s), 21 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้