ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 825|ตอบกลับ: 7

กำหนดทิศทางชีวิตให้ดีกันดีกว่า

[คัดลอกลิงก์]

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138


พุทธศาสนิกชนที่แท้จริงต่างมีความปรารถนา ที่จะเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกันทั้งสิ้น ...และผู้ที่สามารถเอาชนะกิเลสมาสร้างเหตุแห่งการเข้าถึง...ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นที่น่าอนุโมทนายิ่งนัก

การปฏิบัติวิปัสสนานั้นคือการทำใจให้แยบคายถูกต้องตรงต่อปรมัตถ์ด้วย โยนิโสมนสิการ

ลองสำรวจชีวิต แล้วตั้งคำถามตนเองว่าท่าน “มีเวลาเข้าปฏิบัติสัก ๗ วัน๑๐ วันหรือไม่” ถ้าไม่มีโอกาสก็จงอาศัยเวลาที่มีน้อยนั้น
อย่าปล่อยให้ใจคล้อยไปกับกิเลส รีบสร้างเหตุ เพื่อทำลายรอยมนทิล..อันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งมีอยู่เป็นประจำในชีวิตปุถุชนคนธรรมดาให้หมดไป

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:44:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ทุกวันนี้ที่ปฏิบัติกันไม่ได้นั้น ก็ไม่เพราะกิเลสหรือ กิเลสมันห้ามไว้เราตกอยู่ภายใต้คำสั่งกิเลส ... พอตั้งใจจะเข้าปฏิบัติ ๕ วัน ๗ วัน...... กิเลสมันบอกทันทีว่าไม่ได้ ธุระก็มี .... ภาระก็มาก.... งานที่ทำงานที่รออยู่ ....บ้านไม่คนเฝ้า ..... สารพัดที่กิเลสจะสรรหามาอ้าง ซ้ำยังมีการขู่เข็ญ ... สำทับว่าถ้า... ไปแล้วขโมยอาจขึ้นบ้านก็ได้ .... หรือไม่ก็ถูกไล่ออกจากงาน.... พอกิเลสตัว นี้มันขู่ เจ้ากิเลสโลภะอีกตัวที่มีอยู่เกิดความกลัว.. กลัวไม่ได้เงินเดือนขึ้นกลัวตกงานเลยต้องหยุดเดินทาง งนี้ก็เพราะเราเป็นทาสกิเลส .... ตกอยู่ในอำนาจการบงการของมันๆก็ไม่ปล่อยโอกาส ให้เราได้ไปปฏิบัติ ไม่เปิดโอกาสให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมหาสติปัฏฐาน ชีวิตเราจึงต้องคืบคลานอยู่ในสารวัฏฎะ

ฉะนั้นจงใช้เวลาที่เรามีโอกาส ในขณะที่กิเลสพ่ายแพ้ มาสร้างความแน่วแน่แก่ใจ โดยอาศัยช่วงเวลาที่มีน้อยนิดกำหนดทิศทางให้กับชีวิตตนเอง

โดยพยายามทำจิตให้เกิดความตั้งมั่นเพื่อไปให้ถึง พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า วันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า กิเลสจะควบคุมเราแค่ไหน ฉะนั้นเมื่อมีเวลาจงใช้เวลาให้มีคุณค่าด้วยการเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติและพึงระวังสังวรสอนใจตนเองว่า ขณะนี้เรากำลังจะเดินขึ้นยานพาหนะที่วิเศษที่สุด ซึ่งมนุษย์ เทวดา หรือพรหม ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน จะฤทธิ์มากเพียงใด ก็ไม่สามารถสร้างยานพาหนะนี้ได้

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:44:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ยานพาหนะที่ยอดเยี่ยมนั้นบัดนี้เรามีแล้ว เราต้องรีบขึ้น รีบแจวรีบจ้ำเพื่อชีวิตจะได้ไม่คว้าอยู่ในแม่น้ำตัณหา ที่นำมาแต่ความทุกข์ทั้งสิ้นยานพาหนะนี้ก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเอง

ดังนั้นการที่ทุกคนมาสร้างกุศลในพระพุทธศาสนา ด้วยการฟังธรรมะอันเป็นสัจธรรมก็ดี หรือการทำความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รือมหาสติปัฏฐานก็ดี เราจะมีโอกาสได้ก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ ยานพาหนะนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้

ถ้าถามว่าเราขึ้นยานนี้ได้เพราะอะไร คำตอบคือเพราะกิเลสอนุญาต แล้วถ้าถามว่ายานพาหนะนี้เกิดขึ้นได้เพราะใคร เท่ากับถามว่าการปฏิบัติอย่างนี้เกิดขึ้นได้เพราะใคร ก็ต้องตอบว่า... เพราะ มีพระพุทธจ้าอุบัติขึ้นมาเมื่อพระองค์ตรัสรู้ทรงสั่งสอนเพื่อ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย

ในสมัยก่อนพุทธกาลก็มีบรรดาฤาษีมากมาย ที่สามารถทำอิทธิวิธีต่างๆ ได้เช่นเหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ ฯลฯ ซึ่งจัดเป็นวิชชาแต่ขาดอยู่เพียง๒ อย่างคือ วิปัสสนาญาณและอาสวักขญาณ ซึ่งวิชชาทั้ง๒ นี้มีขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ซึ่งก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้........การปฏิบัติมีอยู่สารพัด ... แต่ก็ยังเป็นทางเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ

ต่อเมื่อพระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ ได้พบทางที่ไม่วนเวียน อันเป็นเส้นทางที่สิ้นสุด เป็นมรรคาแห่งสันติสุข คือพระนิพพาน อันเป็นความสิ้นสุด ทุกข์นั่นเอง

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:44:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ดังนั้นผู้ปฎิบัติจึงต้องอาศัยทางนี้ คือมหาสติปัฏฐานเป็นทางเดินของชีวิตเมื่อมีโอกาส สร้างกุศลด้วยการเรียน และปฏิบัติธรรม

เรากำลังขึ้นยานพาหนะ อันวิเศษ เหตุนี้จะมีได้เมื่อมีการตรัสรู้และทุกคนทราบว่าศาสนาพระตถาคตก็จะหมดไปในเวลานั้นพวกเราก็ต้องอยู่ตรงนั้นด้วยช่วงเวลาที่ว่างจากศาสนาขณะนั้นยานเช่นนี้จะมีได้ หรือคำตอบคือมีไม่ได้ไม่มีแล้วสำเภาทองหมดแล้ว

ยานพาหนะที่พาเราให้แผ้วพานพ้นภัยไปจากความทุกข์ได้ไม่มีแล้วทางมรรคผล นิพพานไม่มีแล้ว ศีล สมาธิ ปํญญา

แต่บันนี้ สายสำพันธ์ เหล่านั้นยังพอมีอยู่ เราจึงควรอย่างยิ่งที่จะรีบ ฉกฉวย โอกาสอันประเสริฐ เทjาที่จะหาได้.. ด้วยการศึกษาเล่าเรียนและเพียรปฏิบัติให้อยู่ในทางซึ่ง จะทำให้เราพ้นไปจากความทุกข์ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พระบรมศาสดา ได้ทรงบัญญัติ ไว้นะคะ

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:45:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ซึงในสมัยที่พระพุทธองค์...ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่....ก็มีผู้รู้ตามกันมาแล้ว เป็นอนันต์

เพราะท่านเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามพระองค์ ( ผู้รู้ตามคือผู้ ที่ถึง ซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) และมีการดำรงสืบต่อกันมาเกิน กึ่งพุทธกาลแล้ว..ความเสื่อมย่อมเกิดขึ้นเป็นของธรรมดา เพราะแม้พระธรรม...ก็ย่อมต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ซึ่งเราจะเห็นว่าพระธรรมก็เสื่อมไปจากความเข้าใจที่ถูกต้องของคนสมัยนี้

บางครั้งคำสอนบางแห่ง บางที่ เริ่มผิด เพี้ยนไปตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล พุทธบริษัทส่วนหนึ่ง ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยได้รู้จักหนทางที่พระพุทธองค์ทรงว่างไว้ให้เลย

ในขณะที่พระพุทธศาสนากำลังค่อยๆ เสื่อมลง...โอกาสที่เราจะ มาสร้างกุศลเช่นนี้ นับวันจะน้อยลงไปทุกที่.. เพราะอุปสรรคที่มีอยู่มาจากมลภาวะ และสิ่งแวดล้อม กำลังน้อมไปสู้ความวิบัติประกอบกิเลส และวิบากของแต่ละคนต่างมีกันอย่างท่วมท้น อีกทั้งชีวิตของทุกคนยังต้องผจญกับคนพาล ที่นับวันจะมีมากขึ้น

แม้บางท่านมีโอกาสเรียนก็จริง แต่ก็ไม่เข้าใจการปฎิบัติทำอย่างที่รู้...คือผิดบ้าง ..ถูกบ้าง

บางท่านเรียนรู้เข้าใจปฎิบัติได้ถูก..แต่มีเวลาให้กับการปฏิบัติน้อย ....เพราะต้องคอยไปเข้าเวรยามกับงานทางโลกที่ตนต้องทำไม่ทำไม่ได้

ในขณะที่บางท่านปฎิบัติผิด แต่มีเวลาให้กับการปฏิบัติมาก จึงยากที่จะมีผู้รู้เกิดขึ้นได้

โดยเฉาะสถานที่บางแห่งโฆษณาว่า.. สามารถพาผู้ปฏิบัติไปเที่ยวนรก.. สวรรค์ได้ ..ผู้ที่ปฏิบัติเห็นนรกแล้วเกิดความหวาดกลัว.. สยองขวัญ.. พอเห็น สวรรค์เกิดความยินดี ติดใจ...

อภิชฌาและโทมนัสเข้ามาเป็นทิวแถวล้วนไม่ใช่แนวทางที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพราะทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เดินนั้นคือ.... มัชฌิมา ปฏิปทา ซึ่งเป็นทางที่ขวางกั้นอภิฌาและโทมนัสไม่ให้เกิดขึ้นโดยตรง

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:45:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บัดนี้เมื่อรู้แล้วว่าเรากำลังเดินทางมาอย่างถูก ต้องตามควรลองที่พระบรมศาสดาทรงให้ไว้ ก็จงสร้าง ศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจ อย่างมั่นคงว่า... เมื่อตายแล้วเรายังต้องเกิดอีกอย่างแน่นอนและที่แน่นอน

ยิ่งกว่านั้นก็คือเราไม่รู้ว่าจะไปเกิด ณ ที่ใด เกิดเป็นอะไรเพราะไม่มีใคร สามารถรู้มรณาสันนกาล และมรณาสันนวิถีของ ตนเองได้ แต่สำหรับ ผู้ที่ไม่เกิดมีจริง และมีบุคคลเพียงประเภทเดียว คือ พระอรหันต์.... ซึ่งเป็นผู้หมดสิ้นจากอาสวะกิเลสเท่านั้นจึงเป็นผู้หมดสิ้นซึ่งภพชาติ


แต่เราเป็นผู้ที่มีใจเปี่ยมล้นระคนไปด้วยกิเลส... ทว่ากำลังสร้างเหตุของความดีด้วยการศึกษาให้มีปัญญา... เพื่อนำชีวิตออกจากความเป็นปุถุชนสู่กัลยาณชน..จนสามารถพาตนสู่อริยชนได้ในที่สุด

ฉะนั้นเราจงหันหน้ามาสร้างกำลังใจให้กับตนเองว่า.... เราจะต้องสร้างทางเพื่อการเป็นพระอรหันต์ให้จงได้ ....กำลังใจย่อมยิ่งใหญ่และสำคัญ ...จงหมั่นบอกตนเองในขณะที่กำลังทำความดี หนีความชั่ว ไม่เกลือกกลั้วกับกิเลสว่า... ชาตินี้เราโชคดีที่มีโอกาสได้นั่งอยู่ในพาหนะ ยวดยานที่พระพุทธเจ้าเพียรสร้างขึ้นมาโดยใช้เวลานับเป็นกัปป์... เป็นกัลป์

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:45:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ถ้าผู้ปฏิบัติมีความตั้งใจ เช่นก็จะไม่สั่นคลอนใจเจตนา....เพราะชาติหน้า หรือชาติต่อไปๆ ไป ...ไม่มีใครรับรองได้ว่า

เราจะมีโอกาสได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา ....หรือไม่จะมีโอกาสได้ทำกุศล ..ได้พบพระพุทธ ..... พระธรรม... พระสงฆ์.. และมีความเข้าใจ เช่นทุกวันนี้

หรือไม่ หรือพบแล้ว จะมีโอกาสถึงได้หรือไม่เพราะในเวลานั้นจะยังคงมีวิธีการที่ ถูกต้องเช่นทุกวันนี้อยู่ อีกหรือเปล่า ไม่มีใครล่วงรู้ อาจไม่มีหนทางเลย หรืออาจไม่มีโอกาสเลย

เมื่อเช่นนี้การสร้างกุศลอันเป็นเครื่องบันดลให้พ้นทุกข์ก็จะอัปปางโดยสิ้นเชิงดังนั้นเมื่อมีโอกาสในชาตินี้ วันนี้ ขณะนี้ จึงควรที่จะรีบเร่ง ขวนขวายสร้างสายสัมพันธ์ของ ศิล สมาธิ ปัญญา ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
โดยอาศัยหลักการใหญ่ ๓ประการคือ

๑ ต้องระวัง ไม่ไห้จิตใจตกไปจากอารมณ์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ รูป-นาม โดยการสำรวมอินทรีย์ เป็นการใช้ชีวิตอยู่ในศิล ที่เรียกว่าอิทรียสังวรศีล

๒ ต้องสังเกต ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในปัจจุบันอารมณ์นั้นด้วยการมีความระลึกรู้สึกตัว ไม่เผลอไปจากสติ พลาดจากปัจจุบันนึกไปในเรื่องของอดีต หรือคิดไปในเรื่องอนาคต ซึ่งล้วนไม่เป็นความจริง เพราะ “ อดีตคือความปด ...อนาคตคือความฝัน...ปัจจุบันคือความจริง”

238

กระทู้

231

ตอบกลับ

4138

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
4138
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-16 10:46:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ผู้ปฎิบัติจึงต้องมี สมาธิ ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ ปัจจุบันที่เกิดขึ้นด้วยขณิกสมาธิ

๓ . ต้องรู้ ด้วยปัญญา ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นเป็นรูปอะไรหรือนามอะไร เพราะรูปนามคือความจริงที่เป็นปรมัตถ์อันเป็นปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิที่จะชีวิตออกจากความหลงผิดที่คิดว่าเป็นตัวเรา

ผู้ปฎิบัติต้องมีควาเข้าใจเป็นอย่างดี ในภูมิของวิปัสสนา ต้องรู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ต้องกำหนดได้ถูกต้อง

ต้องรู้เหตุผลว่ากำหนดไปเพื่ออะไร เพราะถ้ากำหนดผิดพลาลการปฎิบัตินั้นย่อมปราศผล.... เพราะไม่สามารถแก้ไขความโง่หรืออวิชชาอันเป็นต้นตอของวัฏฏะได้

ฉะนั้นจึงต้องรู้ว่าเราโง่ที่ไหนก็ต้องแก้ไขที่นั้น เช่น ความโง่ที่เกิดขึ้นทางตา เพราะเราหลงผิดคิดว่าเราเป็นผู้เห็นจึงต้องกำหนด “นามเห็น” เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ ..อภิชฌาและโทมนัส....เกิดขึ้น

ซึ่งเป็นวิวัฏฏะคามินีปฏิปทา ตัดสิ้นซึ่งตัณหาอันเป็นสมุทัยเหตุแห่งกองทุกข์ใหญ่ทั้งปวง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นเสมือนอำนาจส่วนหนึ่งที่จะคอยพยุงจิตใจของทุกๆท่านให้ลอยหลุดได้
จากการหมักดองแห่งอาสาวะทั้งหลาย และมาตั้งจิต.. กำหนดทิศทางชีวิตให้ดีกันดีกว่านะคะ


ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
บุษกร เมธางกูร




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-1 07:15 , Processed in 0.083191 second(s), 21 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้