แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย บุษกร เมธางกูร เมื่อ 2018-10-2 17:25
ความมืดเปรียบเสมือนภัยอันน่ากลัวของชีวิต
เพราะความมืดทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งรอบตัว มองไม่เห็นเส้นทางและสภาพที่แท้จริง
รวมทั้งมองไม่เห็นว่ามีภัยร้ายหรืออุปสรรคใดกีดขวางอยู่ข้างหน้าอยู่หรือไม่
เราจึงไม่รู้ว่า สภาพแวดล้อมของเราเป็นคุณหรือโทษ และแต่ละก้าวที่เหยียบย่างไปนั้นจะพบกับสิ่งใด
บางครั้งเราอาจเดินผ่านทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากมายไปอย่างน่าเสียดาย
ก็เพราะอิทธิพลของความมืดเข้าครอบคลุมเสียจนเราไร้ดวงตาที่จะให้ความใส่ใจ
บางครั้งมีหลุมพรางปกปิดไว้หรือศัตรูร้ายซุกซ่อนอยู่ก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดความกลัวในภัยนั้น
นั่นเป็นเพราะความมืดทำให้เรามองไม่ชัดตา เราจึงเกิดความประมาทและขาดความระมัดระวัง
ฉะนั้น ภัยร้ายที่อยู่รอบกายหาได้ร้ายแรงเท่าภัยของความมืดไม่ เพราะหากปราศจากความมืดเสียแล้ว
เราก็จะสามารถแก้ไขหรือหลบเลี่ยงภัยไปได้บ้างตามความสามารถที่มี
หลายคนอาจแย้งว่า ความมืดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ตน เช่น อยู่ในความมืดเพื่อสงบจิตใจหรือสำรวจความเป็นไปของตน
แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ..เรามิได้ต้องการความมืดนั้นแท้จริงเลย
สิ่งที่เราต้องการระหว่างที่อยู่ในความมืดนั้นคือ ความกระจ่างหรือความสว่างของใจมากกว่า
เราต้องการหลุดพ้นจากปัญหาทั้งหลาย แต่อาจเป็นเพราะเรามีความไม่มั่นใจ มีความกลัว หรือความอับอาย
เราจึงต้องอาศัยความมืดเพื่อเป็นเครื่องมือปิดบังอำพรางความอ่อนแอนั้นเอาไว้ ..ซึ่งก็ต้องการเพียงชั่วคราว
และขณะที่อยู่ในความมืด เราก็ต้องยอมรับว่า อากัปกิริยาต่างๆ ล้วนไม่สำรวมหรือละเลยความรู้สึกตัวไปหลายประการ นั่นคือ ความประมาท
ความมืดมิได้ให้อิสระเสรีภาพแก่เราเลยสักนิด
แต่เป็นอาณาบริเวณที่กักขังให้เราซ่อนเร้นตนเองจากความจริงที่ไม่กล้ายอมรับอย่างซึ่งหน้า
ความมืดจึงเป็นเสมือนเกราะคุ้มกันผู้อ่อนแอให้อ่อนแอยิ่งขึ้น
และยังทำให้หลงคิดไปว่า การกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
นับแต่โบราณกาลมาจึงมีผู้พยายามคิดค้นหาสิ่งที่ให้แสงสว่างเพื่อทำลายความมืดในยามค่ำคืนให้สิ้นไป
แต่การอยู่ในแสงสว่างก็ใช่ว่าจะพ้นไปจากความมืดได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
เพราะเมื่อหันเข้าหาแสงเมื่อใด ที่ด้านตรงข้ามหรือด้านที่อยู่ข้างล่างก็ยังมีความมืดปรากฏเป็นเงา
ฉะนั้น ในยามใดก็แล้วแต่ที่ชีวิตของเราพบกับความมืด และเราไม่มีแสงไฟมาเป็นเครื่องมือช่วยเหลือ ..เราจึงต้องรู้จักสงบ...
เพื่อที่จะพิจารณาตรวจตราสิ่งที่เป็นไปรอบข้างให้ชัดเจน
โดยต้องใช้ประสาทสัมผัสเท่าที่มีอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อช่วยในการระวังภัย และแก้ไขปัญหา
เพราะการรู้จักสงบและพิจารณานี้เปรียบเสมือนการฉายแสงจากดวงใจให้มีความเตรียมพร้อม
เพื่อที่จะพาตนไปให้พ้นจากความมืดนั้นได้
วิถีชีวิตของชาวพุทธจึงเป็นวิถีที่ดำเนินไปสู่ความสว่าง...
คือ สว่างด้วยการรู้จัก และแก้ไขด้วยเหตุผล เพื่อพาตนให้พ้นจากปลักที่มืดมนไปได้ในที่สุด.
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
บุษกร เมธางกูร
|