มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


บรรยากาศการอบรมวิปัสสนาหลักสูตรเร่งรัด(รุ่นแรกค่ะ)






ขออภัยนะคะที่เพิ่งมาแจ้งกิจกรรมความเคลื่อนไหวให้ทราบ ทั้งๆที่ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วกับการอบรมวิปัสสนากรรมฐานหลักสูตรเร่งรัดของรุ่นที่ ๑ ก็เพราะประสบภัยทางธรรมชาติมาหลายเพลา เกิดความผันผวนในอุณหภูมิของร่างกายอยู่หลายวัน กว่าจะรวบรวมพละกำลังได้ก็ใช้เวลาอยู่ไม่น้อย ไม่เหมือนกับพี่ดอกแก้วหรืออาจารย์บุษกรหรอกค่ะที่นอนแค่วันละชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็รีบลุกขึ้นมาทำงานยังกับว่ามีใครมาบังคับอย่างนั้นแหละ

(อาจารย์บอกว่าการนอนคือการจมอยู่กับโมหะ ..นอนพอประมาณเพื่อการพักผ่อนร่างกายก็พอแล้ว และก็รีบตื่นขึ้นมาเพื่อทำกุศลชดเชยกับช่วงเวลาที่ต้องเสียไปกับโมหะเหล่านั้น นอกจากนี้อาจารย์ยังบอกว่า จะตื่นตั้งแต่ตีสี่ทุกวัน เพราะทราบว่าเป็นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงตรวจสัตวโลกด้วยข่ายพระญาณเพื่อจะโปรด ..แม้ในขณะนี้จะไม่มีพระพุทธองค์ก็จริง แต่การตื่นขึ้นมาในเวลาดังกล่าวก็คือการตื่นขึ้นมาถวายความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งยังเป็นการสร้างทางไปสู่ข่ายพระญาณที่จะทรงโปรดได้ในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป .. ไม่ใช่นอนน้ำลายไหลยืดยาดอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว..เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงนอนน้อยด้วยประการฉะนี้…แหะ..แหะ.. อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะตรงนี้ )

จะเจ็บจะป่วยอย่างไรก็นอนเท่าเดิม ทำงานเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมนิดหน่อยตามโอกาส คือวันละเกือบยี่สิบชั่วโมงเท่านั้นเองค่ะ อย่างเช่นในระหว่างที่เปิดการอบรมหลักสูตรเร่งรัดนี้ อาจารย์ท่านก็ทำงานอย่างหนัก ทั้งงานผลิดชุดวิชาธรรมานามัย งานเผยแผ่ธรรมทางอินเตอร์เน็ต ลานธรรม ลานกวี และอีกจิปาถะลานของเว็ปต่างๆ รวมทั้งตระเตรียมเนื้อหาการสอนให้ง่ายขึ้น

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:30:53 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ
[ 1 ] [ 2 ][ 3 ]


  สลักธรรม 1

ขอเรียนให้ทราบตามตรงว่า การสอนให้ผู้ที่ไม่เคยรู้หรือทราบเรื่องพระอภิธรรมมาก่อนเลยให้สามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้นั้น เป็นงานอันหนักของผู้สอนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อจำกัดของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ ผู้นั้นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางปริยัติพอสมควร มีความเข้าใจในภูมิวิปัสสนา เรื่องของรูปนาม กระบวนการทำงานของชีวิตที่รูปนามต้องอิงอาศัยกัน การทำงานของวิถีจิต การกำหนดอิริยาบถต่างๆ และการกำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้งหก

สามสิบชั่วโมงสำหรับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้นั้น ภาษาภาพยนตร์จีนกำลังภายในเขาเรียกว่า มีประสบการณ์พิศดาร … แต่สำหรับกับพวกเราที่เป็นทีมงานนั้นขอเรียกว่า มีบุญมากและมีโอกาสดีที่หาได้ยากด้วย

ไม่ต้องพูดถึงวันธรรมดาว่าอาจารย์บุษกรทำงานอะไรบ้าง แต่ทุกวันอาทิตย์นั้นอาจารย์จะมายืนทุ่มเทแรงกายแรงใจสอนผู้เข้าอบรมตั้งแต่สิบโมงเช้า สลับกับอาจารย์บางท่านในบางช่วง เพื่อเสริมความเข้าใจให้ผู้เข้ารับ การอบรมได้คลายคิ้วที่ขมวดมุ่น เวลาที่ฟังบรรยายสภาวะธรรมที่ไม่ชินหู มาสู่ตัวอย่างที่ง่ายๆ และสำหรับภาคบ่ายตั้งแต่ เที่ยงตรงไปจนถึงเกือบห้าโมงเย็น ก็เป็นรายการเดี่ยวของอาจารย์บุษกรค่ะ

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:36:02 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 2

กิจกรรมเช่นนี้เป็นมาตลอดจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ซึ่งเป็นการยืนสอนอย่างมาราธอนของอาจารย์ที่ผ่านการผ่าตัดกระดูกสันหลังมายังไม่ถึงหนึ่งปี (นี่ไงคะที่บอกว่า ผู้ที่เข้ารับการอบรมน่ะช่างมีบุญมาแต่เดิมกันอย่างมากมาย ถึงขนาดที่อาจารย์ยอมสละชีพเพื่อสอนเลยนะคะนี่ ไม่ได้พูดเล่นๆนะค่ะ ถามตัวเองดูก็แล้วกันว่า กล้าเสี่ยงที่จะยอมทำเพื่อผู้อื่นได้เช่นนี้หรือไม่)

อาจารย์ยืนสอนตั้งแต่เก้าโมงเช้า จากนั้นก็ควบคุมการปฏิบัติวิปัสสนาจนถึงเที่ยง พอบ่ายโมงเป็ะ ก็มาร่วมพิธีมอบวุฒิบัตร (ตามกำหนดการเดิม แต่ความจริงยังไม่ใครจบหลักสูตรนะคะ เพียงแต่พระเดชพระคุณเจ้าท่านเจ้าคุณเมธีวรญาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ท่านว่างที่จะมามอบให้ได้ในช่วงนี้เท่านั้นค่ะ) จากนั้นก็สอนกันต่อจนถึงห้าโมงครึ่ง แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่อาจารย์ไม่ลืมที่จะสั่งแล้วสั่งอีกว่า ให้มาฝึกหัดปฏิบัติกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

นี่เป็นรายงานคร่าวๆนะคะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น นอกจากนี้สิ่งที่คิดว่า น่าที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังก็คือคำสอนของอาจารย์ที่ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์อย่างทุ่มเท เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าและเป็นประโยชน์มากในการมองภาพรวมของการอบรมครั้งนี้ และเป็นการสรุปอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อหาทางวิชาการที่สอนไป ว่าเรียนทำไม ประโยชน์อยู่ที่ไหน…โดยเฉพาะเรื่องวิถีจิต และคำว่า นามรูป

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:39:20 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 3

เริ่มที่เวลาเก้าโมงตรงนะคะ อาจารย์กล่าวทักทายกับทุกคนแล้วก็กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายของการอบรมรุ่นแรก จะเห็นว่าในช่วงเข้าพรรษานั้น มีการรณรงค์ให้ทำความดีมากมาย แต่ความดีที่ดีสุดยอดคือการชำระกิเลสขันธสันดานให้หมดไปนั้น จะหาความดีใดมาเปรียบเทียบทัดเทียมนี้ไม่มีเลย

พระพุทธองค์อุบัติขึ้นมาเพื่อนำเวไนยสัตว์ให้พ้นไปจากวัฏฏสงสารคือการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเกิดนั้นเป็นทุกขื ไม่มีใครสักคนที่ไม่ทุกข์ ความทุกข์นั้นมีทั้งทุกข์ประจำและทุกข์จร

ทุกข์ประจำนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็หลุดพ้นความแก่ชราและมรณะได้ ไม่มีใครสักคนที่พ้นไปจากมัจจุมาร เพราะคนเราอาจจะเก่งเกินกัน แต่ไม่เก่งเกินกรรม เพราะเราต้องเป็นไปตามกรรม เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์เรามีกรรมเป็นของของตน ชีวิตที่เราแสนรักที่ดำรงมาถึงวันนี้ ยังไม่หลักกำหนดของชีวิตแน่นอนว่า เราจะไปไหน แม้จะอบรมธรรมะกันมาจนถึงวันนี้แล้วก็ตาม

เพราะว่าผู้ที่หลักกำหนดชีวิตที่แน่นอนแล้วมิใช่พวกเรา แต่เป็นพระอริยบุคคลนับตั้งแต่พระโสดาบัน แต่พระโสดาบันนั้นท่านก็มาจากบุคคลอย่างเราๆนี้ คือปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งมีอยู่สิบชนิด แบ่งเป็นสามตระกูลใหญ่ๆ มีตระกูลโลภ ตระกูลโกรธ ตระกูลหลง เพราะฉะนั้นเราท่านจึงมีตระกูลเดียวกัน แม้จะต่างกันที่นามสกุลซึ่งเป็นสมมุติบัญญัติ

ขอให้ค่อยๆพิจารณาดูความเป็นไปของตนเองว่า ตั้งแต่เกิดมา ไม่มีพ่อแม่คู่ใดอยากจะมีลูกที่เต็มไปด้วยอาสวะกิเลส หรือมีนิสัยที่ไม่ดี แต่สิ่งเหล่านี้ที่มีกับเด็กก็เพราะมีเหตุอดีตที่เราเวียนว่ายตายเกิดและกระทำกรรมสั่งสมเอาไว้

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:43:48 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 4

ดูกันง่ายๆที่พฤติกรรมที่แสดงออกอันบ่งบอกถึงทายาทตระกูลโลภะขนานแท้แน่นอนก็คือ เด็กที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดามาใหม่ๆนั้น พอหมอก็จะจับยกขึ้นมาเพื่อจะตีกระตุ้นให้ปอดทำงาน กระตุ้นให้รู้สึกตัวโดยการตี การร้องไห้จึงเกิดขึ้น การร้องไห้ของคนเรานี้มีสองชนิดคือ ร้องไห้เพราะดีใจมาก เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น เพราะมีความพอใจอย่างท่วมท้น ความพอใจนี้องค์ธรรมก็คือโลภะ ซึ่งเป็นกิเลสนั่นเอง กับร้องไห้เพราะไม่พอใจ องค์ธรรมก็คือโทสะ ซึ่งเป็นกิเลสอีกตระกูลหนึ่งเช่นกัน

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่วันแรกที่คลอดออกมา เด็กก็จะแสดงพฤติกรรมที่มีเหตุมาจากกิเลสให้เราเห็น โดยแสดงออกมาด้วยการร้องไห้ เพราะไม่มีใครเลยที่นำเอาตัวโทสะไปมอบให้เด็กได้ นี่คือของจริงที่เกิดขึ้นจากอนุสัยกิเลสที่ติดตามข้ามภพข้ามชาติมา หรือกิเลสที่แสดงออกมาในการกินนม แต่ไม่กินน้ำที่ป้อนเข้าไปแทน ที่เรียกว่าเลือกที่รักผลักที่ชัง ใครสอนให้เด็กมีการเลือกที่จะกินนมอย่างนี้ ถ้าหากไม่ใช่นิสัยของตนเองที่ติดมา

..นี่คือนิสัยที่เป็นรากเหง้าของจิตใจที่ฝังอยู่ในขันธสันดานคืออนุสัยกิเลสนั่นเองไม่มีใครสักคนเดียวที่ไม่มีกิเลส แต่จะมีมากหรือน้อยต่างกันเท่านั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดี เราก็ต้องทำโอกาสให้ดีที่สุด เพราะโอกาสไม่มีมีไว้สำหรับคนเฉื่อยชา และโอกาสไม่ได้วิ่งมาหาเราเสมอ แต่เราต้องวิ่งไปหาโอกาสเหมือนปลาเป็นที่ว่ายทวนน้ำ เราจะต้องตะกายออกจากกระแสกิเลสไปให้ได้

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:46:58 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 5

วันนี้จะให้มีการหัดปฏิบัติ เพื่อที่จะเข้าไปดูความจริงตามที่เรียนมา ท่านอย่าเพิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากเพราะตั้งใจจริงเสียอย่างเดียว จะสำเร็จทุกอย่าง ทำจริงเพียงอย่างเดียวก็จะมีอำนาจในการกระทำนั้นไม่กระจัดกระจายไป เหมือนกับพลังงานแสงอาทิตย์ที่มารวมแสงด้วยเลนส์นูน แล้วก็จะสามารถทำให้เกิดความร้อนจนเป็นประกายไฟขึ้นมาได้ แต่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเราตอนนี้ เพียงทำให้เราอบอุ่น ทำให้ผ้าแห้งได้ แต่ไม่สามรถเผาเราให้ไหม้เกรียมได้ เพราะมีความกระจัดกระจายของแสงนั่นเอง

แต่จิตของเรานี้มีอำนาจมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์สียอีก เมื่อมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดแล้วก็จะสามารถทำความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้ เช่น การประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ การแสวงหาอุปกรณืต่างๆ แต่ว่านักคิดที่อยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ศึกษาเลยว่า ชีวิตนี้แท้จริงแล้วคืออะไร จึงลุ่มหลงทุ่มเทการทำงานของจิตไปให้ความสำคัญกับสิ่งนอกตัวในเรื่องนอกจักรวาล พยายามหาเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จเหล่านั้น ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับอุปกรณ์มากกว่า เรื่องของจิต ทั้งๆที่ชีวิตของเรามีจิตเป็นประธาน

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:52:39 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 6

เมื่อเราได้ศึกษาอย่างนี้แล้วเราก็ต้องรวบรวมพลังงานของจิต ไม่ให้กระจัดกระจาย ซึ่งก็คือความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นเราต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ นายทหารเสนาธิการจะต้องเรียนรู้เรื่องของยุทธศาสตร์ เพื่อที่จะกำหนดเป้าหมายในการทำงานหรือการรบแต่ละครั้งได้อย่างบรรลุผล และมีทิศทาง และในพระพุทธศาสนาก็มีการศึกษาเรื่องของเป้าหมาย มาก่อนการเรียนเรื่องยุทธศาสตร์ของเสนาธิการเหล่านี้ นั่นก็คือการเรียนเรื่องสัมมาทิฎฐิ ที่เป็นเข็มทิศหรือเป้าหมาย

ที่เรามาเรียนในครั้งนี้ก็เพื่อสร้างเป้าหมายให้กับชีวิตว่า เราจะไปทางไหน ซึ่งโดยรวมก็คือทุกคนต้องการความสุข และก็พูดได้โดยอนุโลมได้ว่าคือทุกคนต้องการพระนิพพาน ที่เป็นสุขจีรังไม่ผันผวน เพราะสุขที่เราได้รับอยู่นี้เป็นสุขที่ปรวนแปรไม่จีรัง

ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาสมาอบรมเช่นนี้ ก็ควรจะใช้โอกาสให้ดีที่สุดโดยสร้างสัมมาทิฎฐิให้เกิดขึ้น ด้วยการเรียนรู้ตามการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 17:55:43 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 7

พระองค์ตรัสรู้อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทรงกลั่นกองออกมาเป็นหมวดหมู่ให้พุทธสาวกได้ศึกษา
และเราก็ยังมีพระอนุรุทธาจารย์ที่ได้รจนาคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะออกมาเป็นปริจเฉททั้ง ๙ ให้ง่ายแก่การศึกษา นอกจากนี้เรายังมีพระอรรถกถาจารย์ พระฎีกาจารย์ ที่ได้อธิบายขยายความคัมภีร์เหล่านั้นให้ง่ายและมีตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงเป็นผู้ที่โชคดีเพราะมีการศึกษาเล่าเรียนที่สะดวกมาก มีตำราเป็นภาษาไทยแล้ว ซึ่งศึกษาไม่ลำบากเท่าพระภิกษุบางท่านที่ไปศึกษาที่ประเทศพม่า ที่ต้องไปเริ่มต้นศึกษาของบ้านเขาเสียก่อน จากนั้นก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆให้ได้

พระอภิธรรมเป็นเรื่องของเหตุและผลเป็นภาษาสากลที่สุด ที่เรามาเรียนในหลักสูตรนี้ก็เพื่อให้เข้าใจถูกว่า ชีวิตนี้มิใช่เป็นเรา ที่เราเข้าใจผิดว่าเรายืนเดินนั่งนอนนี้ ที่จริงคือการประกอบด้วยสิ่งห้าอย่างคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

รูปคือ รูปร่างกายต่างๆ รูปนั่ง รูปเดิน รูปยืน รูปนอน ถ้าดูเข้าไปลึกๆก็คือรูป ๒๘ ....เวทนาคือ การเสวยอารมณ็เป็นสุข ทุกข์ เฉยๆ ที่ชั่วคราว ....สัญญาคือ ความจำได้หมายรู้เพียงชั่วขณะ ...สังขารคือ การปรุงแต่งไปในเรื่องต่างๆ อารมณ์ต่างๆ พิจารณาด้วยความความใจไม่พอใจ ...วิญญาณคือ จิตเป็นตัวที่รู้อารมณ์

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 18:00:21 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 8

ขณะนี้เราทราบหรือไม่ว่าเรากำลังเดินไปสู่ความตาย เราเคยทุ่มเทกับอะไรมามากมาย แต่เมื่อถึงสุดท้ายแล้วก็แบมือให้รู้ว่าเราเอาอะไรไปได้เลย แม้กระทั่งน้ำปรุงที่เขามาอาบศพ เมื่อเราได้เรียนมาจนทราบถึงองค์ประกอบของชีวิต เราก็จะยิ่งสลดใจ และต้องคิดให้ได้ว่า เมื่อเราตายแล้วเราเอาสิ่งใดไปไม่ได้ก็จริง แต่เราเลือกที่จะสร้างบารมีได้ คือการสร้างจิตให้มีอำนาจเหนือกิเลสด้วยความเพียรของเราเอง ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาเท่าที่จะสามารถ

วิปัสสนาเป็นชื่อของปัญญา ที่เห็นว่า นามรูปเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง และเป็นอนัตตา เป็นปัญญาแท้ๆที่พระพุทธองค์ต้องการให้สัตวโลกรู้ ฉะนั้นจึงเป็นคำตอบว่า ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะต้องเรียนรู้เรื่องของรูปนาม เพราะรูปนามเป็นตัวไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้

เราต้องเรียนรู้ว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม คือการเรียนรู้ภูมิวิปัสสนาที่เป็นการเรียนรู้ตัวเอง โดยจะต้องรู้ว่า นั่งเป็นรูป รู้ว่านั่งเป็นนาม แสงเป็นรูป การเห็นเป็นนาม รสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ดจืดเป็นรูป รู้รสเป็นนาม รักเกลียดชอบชังเป็นนาม เย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงเป็นรูป

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 18:03:15 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 9

เมื่อเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นรูปเป็นนามแล้ว ความเข้าใจนี้ก็จะมารื้อสัญญาที่เคยจำได้ว่าเป็นเรานั่งเดินยืนนอน เป็นของๆเราออกไป เพราะมีความเข้าใจในความเป็นรูปนามเข้ามาแทนที่นั่นเอง

อาจารย์บุษกรเน้นว่า รูปนามเป็นของจริงและทั้งรูปและนามก็ไม่มีอำนาจในตัวเองเลย เพราะนาม เช่น จิตถ้าหากอยู่ลำพังแล้วแม้จะเป็นประธานนั้น ก็ไม่มีความสามารถในตัวเองเพื่อการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่น รับประทานอาหาร เดิน ยืน อยู่ในอิริยาบถต่างๆ หรือหยิบแก้วแหวนเงินทองมาให้ชได้ เวทนา สัญญา และสังขารก็เช่นเดียวกัน

รูปนั้นก็ไม่มีอำนาจในตนเองเลย เช่น การรับประทาน เพราะรูปไม่มีความปรารถนา แต่นามนั้นปรารถนาแต่ก็ทำเองไม่ได้ การกระทำของรูปจึงเป็นไปตามความปรารถนาของนาม

จะเห็นว่า ชีวิตที่แบ่งเป็นสองอย่างคือรูปและนามนั้น แต่ละอย่างต่างก็ทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้เลย เพราะไม่มีอำนาจเลย
แต่ที่มีอำนาจเพราะทำงานร่วมกัน และก็มีวิบากมาส่งผลให้กระทำการตอบโต้พฤติกรรมไปเรื่อยๆ
รูปจะเป็นไปได้ก็ต้องอาศัยนาม นามจะเป็นไปได้ก็ต้องอาศัยรูป เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน

ความสำคัญที่ต้องศึกษาอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องศึกษาชีวิตของเราให้เข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิสนธิที่ค่อนข้างละเอียดและเป็นลำดับ นับตั้งแต่ปฏิสนธิวิญญาณปรากฏขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีปรากฏเป็นสมบัติเฉพาะตนแล้วว่า จะเป็นคนไตรเหตุหรือทวิเหตุ แล้วก็จะดำเนินไปตามลำดับขั้นจนกระทั่งถึงจุติจิต

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 18:09:04 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )


  สลักธรรม 10

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นการสะสมบารมีธรรมให้กิดขึ้น เหมือนเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ ที่ยิ่งเติมน้ำลงไปความเค็มก็จะเจือจางไปได้ในที่สุด แต่ก่อนที่อาจารย์จะให้ผุ้เข้ารับการอบรมได้ฝึกปฏิบัติกันนั้น อาจารย์ได้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องอันตรายประการต่างๆไว้เป็นข้อเตือนใจดังนี้

อันตรายของการสำเร็จมรรคผลนิพพานมีอยู่ 4 อย่าง

๑. กัมมอันตราย คือมีกรรมเป็นอันตราย ได้แก่การกระทำครุกรรม อกุศลกรรมบถในชาตินั้นจะเป็นสิ่งตัดรอนต่อมรรคผล เวลาที่เราจะกระทำวิปัสสนากรรมฐาน กรรมเหล่านี้ก็จะมาเป็นอันตรายต่อมรรคผลนิพพาน

๒. วิปากอันตราย คือผลของกรรมที่อันตราย ได้แก่เกิดมาวิปากขันธ์ไม่ดี เป็นทุคติบุคคล ทวิเหตุกบุคคล ทุพพลภาพ

๓. กิเลสันตราย คือกิเลสที่เป็นอันตราย ได้แก่มิจฉาทิฎฐิ 3 อย่าง คือ
อเหตุทิฏฐิ เห็นว่าไม่มีเหตุ ทุกอย่างไม่ต้องอาศัยเหตุอะไรๆก็เป็นเอง สวยเอง ดีเอง เลวเอง ฉลาดเอง โง่เอง
อกิริยทิฏฐิ เห็นว่าไม่มีผล ทำอะไรไปก็ไม่เป็นไร ทำดีไม่ได้ดี แต่ถ้าเราเรียนจนเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่าแม้เล็กๆน้อยๆก็มีผล เช่น ได้สารคดีเกี่ยวกับการเลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์ พอได้ยินปุ๊บก้หลับตาไม่อยากดุภาพนั้นเพราะรู้ว่าถ้าดุแล้วจิตจะเกิดอกุศล รู้สึกสลดหดหุ่ ซึ่งการดูสารคดีเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอกุศล เพราะเรารู้ว่าความเศร้าหมองนั้นเป็นอกุศล แต่ถ้าพวกที่ไม่เชื่อผลนั้นก็จะเห็นว่าดุแล้วไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าไม่ทั้งเหตุทั้งผล เช่นเราเกิดมาเอง ป่วยเองแล้วก็หายเอง เป็นต้น

๔. อริยปวาทอันตราย คือการกล่าวติเตียนพระอริยบุคคล เช่น บางท่านอาจชอบเรียกพระอรหันต์องคุลิมาลโดยไม่มีคำนำหน้าว่าพระอรหันต์ เท่ากับเป็นการกระทำที่น่ากลัวที่ไปเรียกชื่อท่านเฉยๆ เป็นการกล่าวจาบจ้วงท่าน โดยเฉพาะคำสั่งสอนของพระพุทธะเจ้า

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [1 ก.ย. 2553 , 18:15:32 น.] ( IP = 58.9.56.33 : : )
[ 1 ] [ 2 ][ 3 ]

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org