มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


พิธีปิดการอบรมฯรุ่นที่ ๒ ค่ะ..พร้อมข่าวการสัมภาษณ์




อบรมรุ่นที่ ๑. อ่านที่นี่

วันนี้วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ อันเป็นวันสุดท้ายของการอบรมวิปัสสนาหลักสูตรเร่งรัด รุ่นที่ ๒ เมื่อวานนี้พวกเราพี่น้องชาวมูลนิธิ และศิษย์เก่าในรุ่นที่ ๑ บางท่าน ได้พากันมาตระเตรียมสถานที่ให้สวยงามเพื่อจัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จการอบรม รวมทั้งมาช่วยกันจัดเตรียมอาหารเพื่อต้อนรับทุกท่านที่มาเยือนในวันนี้

ภาพที่ปรากฏในวันนี้ตั้งแต่เช้าก็คือความสดใสเบิกบานของผู้เข้ารับการอบรม ที่เดินทางเข้ามาในมูลนิธิพร้อมกับชุดที่เรียบร้อยสวยงาม และก็เช่นเดียวกันกับอาจารย์บุษกร ที่มาพร้อมกับความสดใสในชุดผ้าไทยสีน้ำตาล ที่เห็นแล้วไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ป่วยที่กำลังรอเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อผ่าตัดกระดูกคอ..ในไม่กี่เพลาข้างหน้านี้

...บรรยากาศการอบรมในรุ่นนี้ อาจารย์ยังคงทุ่มเทเพื่อให้ความรู้อย่างเต็มที่ ..แม้จะทราบข่าวตั้งแต่สัปดาห์ก่อนว่าตนเองอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง .. แต่ก็ดูเหมือนว่าข่าวดังกล่าวจะทำให้อาจารย์ยิ่งทุ่มเท และเป็นห่วงผู้เข้ารับการอบรมมากยิ่งขึ้น..ทั้งในรุ่นนี้และรุ่นที่ ๓ ...



ในเช้าวันนี้ เสียงทักทายและกิริยาอาการของอาจารย์ที่ปรากฏต้อนรับลูกศิษย์นั้น ไม่บ่งบอกถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อย ถึงแม้จะบอกให้พวกเราทราบว่า ...ขณะนี้มีอาการชาที่อีกครึ่งซีกตัวมากขึ้น เดินไม่ค่อยได้แล้ว เกรงว่าจะหกล้มลงไป...

แต่พอถึงเวลาที่จะให้การอบรมครั้งสุดท้ายที่เรียกว่า ปัจฉิมนิเทศนี้ อาจารย์ก็ค่อยๆเดินไปนั่ง ณ เวทีที่จัดเตรียมเอาไว้ แล้วก็เริ่มบรรยายสรุปอีกครั้งหนึ่งถึงวงจรของชีวิต ที่เริ่มจากการกระทำกรรม ..แล้วก่อให้เกิดผลของกรรมที่เรียกว่าวิบาก ผลของการกระทำกรรมที่เรียกว่าวิบากนี้ ...ส่งผลให้เกิดรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ รูปร่างกายและจิตใจ ...อารมณ์ที่ดีและไม่ดีที่มาปรากฏทางทวารต่างๆ ..ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมี หรือความเจ็บป่วยต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:19:30 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

รูปร่างกายและจิตใจนี้แหละที่เป็นตัวการสำคัญในการกระทำกรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะคล้อยตามอำนาจของกิเลสที่พอกพูนอยู่ภายในจิตใจ...เรียกว่า อนุสัยกิเลส ที่เมื่อมีการกระทบกับอารมณ์ใดๆแล้ว ตะกอนของอนุสัยกิเลสเหล่านี้ก็จะฟุ้งกระจายตัวขึ้นมาทำให้เกิดความไม่สงบภายในจิตใจ เมื่อมีไม่สามารถรักษาความสงบภายในจิตใจได้แล้ว กระบวนการทำงานของจิตก็จะตอบสนองออกมาเป็นปฏิกิริยาต่างๆ ทางกาย และวาจา ก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นบุยและบาปตามมา ..อันเป็นการเวียนวนชีวิตไว้ไม่รู้จักจบ ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ ...อันเป็นวงจรของชีวิตที่สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนานไม่รู้กี่กัปกัลป์แล้ว


มนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคดี เพราะสามารถเรียนรู้ที่จะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นมาได้ การที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์นั้น ..จะต้องใช้ปัญญามารื้อเงื่อนที่ร้อยรัดให้ขาดจากกัน ปัญญาที่ว่านี้คือ วิปัสสนาปัญญา



อาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสมาธิและวิปัสสนาอย่างง่ายๆอีกครั้งหนึ่ง และย้ำถึงความหมายของคำว่า วิปัสสนาอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นชื่อของปัญญา ที่เข้ามารู้สภาพของพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ที่มีอยู่ตลอดเวลาในชีวิต ..แต่เราไม่เคยพบ การพบพระไตรลักษณ์แล้วนั้น เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ เพราะทำให้ความเห็นผิดที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และทำให้คลายออกจากความอุปทานที่เห็นเป็นตัวตนและมีความคงที่คงทน

เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว..แม้ขณะนี้จะยังไม่ได้ญาณปัญญาอย่างใด แต่ก็จะทำให้โยคาวจรผู้นั้นมีความเห็นถูกเกิดขึ้น และคลายจากความยึดติดลงไปได้บ้าง รวมทั้งไม่พ่วงเอาปัญหาและอารมณ์ต่างๆมาครุ่นคำนึงให้กลุ้มใจ เพราะมีสติและปัญญาอยู่กับปัจจุบันนั่นเอง

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:26:40 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 2

นอกจากนี้ อาจารย์ยังได้ให้ข้อเตือนใจในการปฏิบัติตนว่า ควรที่จะครองตนอยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้มากๆ และหลีกเลี่ยงจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้ได้มากที่สุด เพราะเราจะเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏแก่เราในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นสภาพที่ไม่น่าปรารถนาทั้งสิ้น เช่น ความเจ็บป่วย ความสูญเสีย ความกังวลกลุ้มใจ การทะเลาะเบาะแว้ง เหล่านี้เป็นต้น

สภาพที่กล่าวถึงนี้เป็นผลของอกุศลกรรมบถทั้งสิ้น อย่างเช่นความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการฆ่าสัตว์ มาในชาตินี้เราเห็นว่า เรามีความเจ็บป่วยมากเหลือเกิน เราก็ต้องสืบสาวไปให้ทราบถึงต้นเหตุว่า ความเจ็บป่วยนี้มาจากไหน... ..เมื่อเราทราบแล้วว่ามาจากการฆ่าสัตว์ .. ..ก็ต้องถามตนเองต่อไปว่า แล้วชอบไหม ความเจ็บป่วยอย่างนี้ คำตอบคือไม่ชอบ ...เมื่อเราไม่ชอบผลชนิดนี้แล้ว ..ก็จะทำให้เราไม่กล้าที่จะกระทำเหตุอย่างเดียวกันนี้ซ้ำอีก เราจึงค่อยๆหลีกจากการฆ่าสัตว์มาได้ เราะเรามีปัญญารู้แล้วว่า ถ้าทำกรรมชนิดนี้แล้วให้ผลอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชาตินี้ ..ขอย้ำว่าเป็น..ผล..ที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เราก็ต้องยอมรับผลนั้นอย่างมีปัญญารู้ว่าเราทำมาเอง และผลนั้นก็จะต้องหมดลงได้ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อหมดเหตุปัจจัยมาสนับสนุน หรือหมดแรงไปแล้ว



อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนั้น แบ่งเป็น อกุศลกายกรรม ๓ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และประพฤติผิดในกาม อกุศลวจีกรรม ๔ คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ และพูดคำหยาบ อกุศลมโนกรรม ๓ คือ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฎฐิ

แต่สิ่งที่เราควรงดเว้นเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นก็คือ ทุจริต ๗ ประการ ที่ต้องเตือนตนไว้ให้มากว่า ทำไม่ได้ ไม่ควรทำ คือ อกุศลกายกรรม ๓ และอกุศลวจีกรรม ๔ นั่นเอง เพราะทั้ง ๗ ประการนี้จะนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นด้วย ไม่ใช่เดือดร้อนตนเองอย่างเดียว นี่จึงเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรจะมี มิใช่มุ่งเฉพาะการพัฒนาปัญญาด้วยการเจริญสมาธิหรือวิปัสสนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

บุคคลที่เว้นจากอกุศลกรรมเหล่านี้ได้บ้างแล้ว ก็เปรียบเสมือนเนื้อนาที่ดีมีคุณภาพ สามารถสนับสนุนให้ข้าวกล้าเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็วกว่าดินที่ไม่ได้บำรุงรักษา ในส่วนของการอธิบายอกุศลกรรมบถนี้

อาจารย์ได้ยกตัวอย่างหลายประการมาประกอบการอธิบายจนผู้ฟังเกิดความเข้าใจเป็นอย่างดี

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:33:10 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 3

และอาจารย์ได้เน้นว่า.. ทุกคนต้องจำให้ได้ว่า จริงเสียอย่างเดียว สำเร็จทุกอย่าง เพราะถ้าหากเราตั้งใจจริงว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อใครแล้ว เราก็จะสามารถรักษาคำพูดนั้นไว้เพื่อบุคคลผู้นั้นหรือสิ่งสิ่งนั้นได้ และก็จะทำเพื่อสิ่งนั้นบุคคลนั้นได้อย่างถึงที่สุด อย่างเช่นที่ตัวอาจารย์นั้นมีความรักเคารพในท่านพระอาจารย์บุญมี จึงได้สืบทอดรักษามูลนิธิให้อยู่รอดมาได้จนกระทั่งบัดนี้ หากผู้เข้ารับการอบรมท่านใดที่ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่า จะทำอะไรเพื่อใครอย่างหนักแน่นแล้ว ท่านก็จะแนะนำบุคคลท่านหนึ่งให้เป็นที่ตั้งสัจจะวาจาว่าเราจะไม่สามารถล่วงเกินได้เลย เราจะเป็นผู้รักษาคำสัตย์นั้นได้อย่างบริสุทธิ์ บุคคลท่านนั้น คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

เพราะหากเราตั้งเจตนาว่าจะไม่พูดโกหกเพ้อเจ้อกับพระองค์ท่านแล้ว เราก็สามารถรักษาคำสัตย์สัญญานั้นได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะโอกาสที่เราจะได้เข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลนั้นหายากยิ่งนัก เรียกว่าสำหรับบุคคลธรรมดาแล้วก็แทบไม่มีเลย เพราะฉะนั้นหากใครที่ยังไม่มีบุคคลให้ตั้งคำสัตย์ปฏิญาณ ก็ขอให้กระทำสัตย์สาบานต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ก็ได้ เพื่อที่จะได้ทราบว่าในชาตินี้เราก็สามารถรักษากายวาจาได้อย่างสุจริตต่อบุคคลผู้หนึ่ง

(ไม่ทราบว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างนะคะ..อิอิ)



ครั้นได้เวลาพอสมควรแล้ว (เพราะอาจารย์เริ่มรู้สึกชาที่บริเวณขามากขึ้น)ก็เป็นหน้าที่ของอาจารย์ทวีพร ที่จะขึ้นมาให้การทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่ได้อธิบายไปในวันต่างๆ รวมทั้งตอบข้อข้องใจที่จะมีขึ้น แต่ว่ายังไม่ทันที่อาจารย์ทวีพรจะอธิบายแต่อย่างใด อาจารย์บุษกรได้ถามอาจารย์ทวีพรว่า รู้จักคำว่าศีลธรรมไหม? อาจารย์ทวีพรตอบว่า รู้จัก อาจารย์บุษกรได้ถามต่อไปว่า แล้วที่เคยรู้จักมานั้นก่อนที่จะมาเรียนที่มูลนิธิ กับความรู้สึกหลังจากที่มาเรียนแล้วแตกต่างกันอย่างไร?

อาจารย์ทวีพรตอบว่า ต่างกันมากทั้งในระดับความรู้และความเข้าใจ เพราะในสมัยก่อนจะมีวิชาที่นักเรียนชั้นประถมจะต้องเรียน คือ วิชาหน้าที่พลเมือง วิชานี้จะมีการเรียนเรื่องศีลธรรมและพระพุทธศาสนาด้วย ในขณะที่เรียนนั้นก็เกิดแต่เพียงความรู้ที่จดจำได้ว่า ศีล ๕ มีกี่ข้ออะไรบ้าง แล้วก็ท่องจำไว้ แต่ไม่เคยรู้มากไปกว่านั้นว่าให้ผลอย่างไรเมื่อกระทำแล้ว เรียนแล้วว่าศีลข้อ ๑ คือห้ามฆ่าสัตว์ แต่ตัวเองก็ยังตบยุงอยู่ทุกวันๆ แต่พอมาศึกษาที่มูลนิธิแล้ว ก็ทำให้ทราบว่า ฆ่าสัตว์แล้วมีผล ๙ ประการและแต่ละประการเป็นอย่างไร หากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วจะทำให้สูญเสียโอกาสอะไรไปบ้าง เช่น ความทุพพลภาพ ที่มิอาจทำคุณงามความดีหลายๆประการได้

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:41:04 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 4

อาจารย์บุษกรได้ถามต่อไปว่า แล้วเปรียบเทียบได้หรือไม่ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง อาจารย์ทวีพรตอบว่า ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถที่จะรักษาชีวิตให้พ้นจาก อกุศลกรรมบถทั้ง ๗ ข้อได้อย่างแน่นอน..โดยเฉพาะเรื่องการพูด เพราะยิ่งเรียนก็ยิ่งทราบว่า การพูดเพ้อเจ้อนั้นมีความละเอียดและกว้างขวางมาก

ก็พอดีมีผู้เข้ารับการอบรมท่านหนึ่ง ได้ถามคำถามเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการกระทำอกุศลกรรมบถขึ้นมา ซึ่งอาจารย์ก็ได้รวมคำตอบพร้อมไปทีเดียวว่า อย่างเช่นเรื่องของการพูด ...เมื่อทราบว่า การพูดเพ้อเจ้อเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็พยายามงดเว้นโดยต้องทำความเข้าใจตนเองก่อนว่าเป็นบุคคลประเภทไหน หากเป็นประเภทที่ช่างพูดเองอยู่แล้ว ..ก็ต้องค่อยๆปลีกตนออกจากหมู่คณะไป เพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้น (start) การพูดคุยที่ไร้สาระ หากรู้ตัวว่าเป็นประเภทที่สามารถหยุดนิ่งยอมรับฟังได้ (stop) โดยที่ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เมื่อมีใครมาเริ่มต้น (start) กับเรา เราก็สามารถ (stop)ไว้เพียงการรับฟังไม่ขยายความต่อไปให้ยืดยาว ขุดคุ้ยอกุศลเก่าๆให้ไม่เลิกราและไม่จบสิ้น ...ทั้งที่เรื่องราวเหล่านั้นควรจบลงไปแล้ว

แต่โดยทั่วไป เรามักจะเป็นพวกชอบเริ่มต้น(start) จึงต้องหาวิธีแก้ไขโดยการหลีกออกจากการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ให้จำไว้ว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับหมู่มิตรให้ระวังคำพูด และเมื่อเราออกมาเจริญอยู่ในสติปัญญาแล้วก็จะเป็นการ ลด ละ เลิก อกุศลเหล่านั้นลงไปได้ทีละน้อย เพราะเราไม่ได้พูดกับใครเลย

จากนั้นแขกรับเชิญท่านต่อไปที่เผยโฉมต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้ง ก็คืออาจารย์อัญชลี สมโสภณ อาจารย์อัญชลีนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า มีภาระครอบครัวที่จะต้องดูแล แต่มีใจรักที่จะมาศึกษาธรรมแม้ว่าจะมีเวลาไม่มากนัก แต่ความตั้งใจจริงก็ได้ทำให้อาจารย์อัญชลีมีความแตกฉานและสามารถ ผลิตผลงานเพื่อพยุงพระพุทธศาสนาไว้ได้หลายประการ โดยเฉพาะการนำเสนองานผ่านเวปไซด์ของมูลนิธิเพื่อให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป

คำถามที่อาจารย์อัญชลีถูกถามก็คือ ปฏิบัติตนอย่างไรในขณะที่มีเวลาไม่มากเช่นนี้ แต่สามารถช่วยงานพระพุทธศาสนาได้มากมายทีเดียว อาจารย์อัญชลีตอบว่า ต้องรู้จักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม และก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าคู่ครองของเรามีจริตอัธยาศัยอย่างไร แล้วก็ค่อยๆปรับเข้าหากัน เพื่อพบกันครึ่งทาง หรือมากกว่านั้น ซึ่งตอนแรกๆก้รู้สึกขัดๆอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อค่อยๆหัดไปก็จะทำได้ จึงมีการกำหนดขอบเจตแย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ตกลงกันภายในครอบครัวได้ว่า เวลาของครอบครัวควรจะมีเท่าใด ...และจะให้เวลาในการศึกษาธรรมได้มากน้อยขนาดไหน



และก็จะใช้เวลาเหล่านั้นอย่างคุ้มค่า ... แม้จะไม่มีโอกาสอยู่จนถึงเวลาจบการสอน แต่เมื่อมีโอกาสเพียงสองสามชั่วโมงก็จะมาศึกษาให้ได้ ..เมื่อครบกำหนดแล้ว ก้ต้องรักษาเวลาของครอบครัวไว้ ที่ทำอย่างนี้ได้ก็เพราะว่า เมื่อมาเรียนที่มูลนิธิแล้วก็เข้าใจถึงเรื่องกุศลและอกุศลกรรมบถว่าสำคัญมาก บ่อยครั้งที่ประสบกับเหตุการณ์หลายๆอย่างก จะมาเปิดหนังสือธรรมะของมูลนิธิดูว่า ผลที่ได้รับนี้มาจากการกระทำกุศลหรืออกุศลในข้อไหน และก็มักจะหยิบหนังสือดังกล่าวมาทบทวนเตือนใจตนเองอยู่เสมอ จึงเห็นคุณค่าของพระธรรมเป็นอย่างมากว่าให้ประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงได้รักษาเจตนาตรงนี้ไว้..คือเมื่อมีเวลาเมื่อใดจะมากจะน้อย ก็จะมาศึกษาธรรมที่นี่ และไม่ลืมกติกาว่าหมดเวลาแล้วก็จะต้องกลับบ้านเพื่อไปทำหน้าที่ของแม่บ้าน จึงไม่มีปัญหาอย่างใดในการใช้ชีวิตของคนที่มีครอบครัวแล้วมาศึกษาธรรม

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:50:33 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 5

และก่อนที่จะไปรับประทานอาหารกลางวัน อาจารย์ก็ได้แนะนำศิษย์อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่มีความสม่ำเสมอในการมาศึกษาธรรมกว่าสามสิบปีแล้ว แม้จะไม่สามารถบอกให้ครอบครัวยอมรับได้ก็ตาม แต่บุคคลผู้นี้ก็มีวิธีการที่ไม่ผิดศีลธรรม ในการมาศึกษาธรรมะ และยังเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ทำงานเพื่อนำรายได้หลักมาให้แก่ครอบครัว ซึ่งบุคคลในครอบครัวนั้นส่วนใหญ่มีทัศนคติไม่ส่งเสริมต่อการศึกษาพระพุทธศาสนาเท่าใดนัก แต่ด้วยความเป็นผู้ที่มีความกตัญญูเป็นอย่างมาก ในแต่ละเดือนนั้นได้มอบเงินเดือนบางส่วนของตนเองเลี้ยงดูบิดามารดาและพี่ๆอย่างเต็มใจ บุคคลผู้นี้คือคุณวิภา .... (คิดว่าไม่กล่าวถึงนามสกุลดีกว่านะคะ เกรงว่าญาติๆจะมาเจอน่ะค่ะ แล้วเธอผู้นี้จะเดือดร้อนได้)




หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ถึงคิวนัดสัมภาษณ์ของหนังสือหญิงไทยค่ะ คำถามก็คือ ทำใจอย่างไรที่ต้องผ่าตัดมากมายขนาดนี้? และ วิปัสสนาช่วยได้อย่างไรในการใช้ชีวิต?

คำตอบคิดว่าน่าจะไปอ่านในหนังสือหญิงไทยกันนะคะ ว่าอาจารย์ตอบไปว่าอย่างไร สำหรับบรรยากาศในการพูดคุยกันครั้งนี้เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ....เหมือนคนที่รู้จักกันมาแล้ว ...(ความจริงก็ใช่นะคะ ..เพราะพี่ดอกแก้วน่ะรู้จักกับคุณดาวพรู และคุณอุ๊ ผู้ที่มาสัมภาษณ์..ด้วยการสนทนาธรรมและเสวนากลอนผ่านเวปบอร์ดของหญิงไทยมาแล้ว เว้นไว้แต่คุณกะปิน่ะค่ะ..ที่เพิ่งจะได้พบกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก)

แต่ที่จะเล่าก็คือ ส่วนที่ไม่ได้เป็นคำถามของคอลัมน์ สิ่งที่น่าสนใจในการพูดคุยเริ่มต้นของอาจารย์กับคณะผู้สัมภาษณ์ก็คือ การพูดถึงความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติ ที่พระพุทธศาสนาล่วงรู้มาก่อนวิทยาศาสตร์นานนับพันปี

สิ่งที่น่าสนใจในการพูดคุยเริ่มต้นของอาจารย์กับคณะผู้สัมภาษณ์ก็คือ การพูดถึงความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติ ที่พระพุทธศาสนาล่วงรู้มาก่อนวิทยาศาสตร์นานนับพันปี

อาจารย์ยกตัวอย่างว่า จิตเป็นสิ่งที่มีอำนาจมาก แต่เพราะเราใช้จิตอย่างกระจัดกระจายไปในอารมณ์ต่างๆ เราจึงไม่ค่อยมีอำนาจจิตที่กล้าแข็ง เหมือนอย่างแสงอาทิตย์ที่แผ่ความร้อนมายังโลก ที่ให้ความสว่างแก่เรา แต่ไม่สามารถทำให้เราถูกเผาไหม้ได้ แต่ถ้าเมื่อใดมีการรวมแสงไว้ที่จุดๆเดียว การเผาไหม้จากแสงอาทิตย์ ณ จุดนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ ...นี่เป็นการรวมอำนาจของแสง และในทางจิตก็เช่นกันที่สามารถรวมอำนาจได้เมื่อเราทำสมาธิจนได้ฌาณขั้นสูงๆแล้วแสดงฤทธิ์ หรือการหมั่นเจริญวิปัสสนาจนได้ญาณปัญญา ..เหล่านี้ก็เป็นอำนาจของจิตที่เกิดขึ้น

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 13:56:53 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 6

ระหว่างนี้ก็มีคำถามว่า ความทุกข์และความุขอยู่ที่ใจใช่หรือไม่
คำถามนี้ดูเหมือนคำถามธรรมดามาก แต่เมื่อพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจะทราบว่าเป็นคำถามที่ไม่ธรรมดา ที่ทราบเช่นนี้ก็เพราะฟังจากคำตอบนะคะ เพราะลำพังเพียงท่านผู้ถามนั้น ท่านก็คงไม่ทราบหรอกค่ะว่าเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง..เพราะท่านไม่มีพื้นฐานทางพระอภิธรรมเลย

คำถามนี้อาจารย์ตอบว่า ใจไม่ได้สุขหรือทุกข์ แต่ใจรับรู้ถึงความสุขหรือความทุกข์ คือการรับรู้อารมณ์เฉยๆ แต่ตัวสุขหรือทุกข์นั้นเป็นเจตสิก..เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นเมื่อรับอารมณ์ และใจเองนั้นก็มีลักษณะทุกข์ ....คือ สภาพหนึ่งในไตรลักษณ์นั่นเอง เปรียบเสมือนแก้วน้ำ ที่ใครจะใส่น้ำร้อนหรือน้ำเย็น ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่ทำหน้าที่รับน้ำเฉยๆ แต่ผู้ที่เย็นหรือร้อยก็คือน้ำที่นำมาใส่นั่นเอง แต่ตัวแก้วนั้นก็สามารถแตกได้เช่นกัน



เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนั้นย่อมมีความเสื่อมไปและนำไปสู่ความดับในที่สุด อย่างเช่นดวงอาทิตย์ที่แผ่ความร้อนมากขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งเป็นไปตามพระพุทธทำนาย....

การแผ่ความร้อนของดวงอาทิตย์นี้ก้คือการ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ของดวงอาทิตย์ ประกอบกับการทำลายชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้รังสีที่แผ่ออกมานั้นไม่มีชั้นบรรยากาศมากรองไว้ พอมีเรื่องเกิดขึ้นก็จะกระทบทระเทือนใจได้ง่ายรู้สึกร้อนรุ่มวุ่นวาย ยิ่งมาเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนเข้าไปด้วย ..ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่
นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างง่ายๆ เพราะการไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ประกอบกับกำลังอยู่ในกาลที่วิบัตินั่นเอง

นอกจากนี้อาจารย์ยังได้อธิบายถึงสังสารวัฏฏ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะขออนุญาตไม่กล่าวซ้ำไว้ในที่นี้เพราะกล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว แต่จะเพิ่มเติมในสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า
คำว่า..จิตว่าง..ไม่มี เพราะจิตต้องรับอารมณ์อยู่เสมอ แต่จะรับอารมณ์ประเภทใดนั้น
ขึ้นอยู่กับปัจจุบันขณะนั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้น

และการที่จิตรับอารมณ์อยู่เสมอนี่เอง ที่ก่อให้เกิดการกระทำกรรมใหม่ เพื่อส่งผลต่อไปเป็นวิบาก ...การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบก็เป็นการกระทำที่ให้เกิดวิบากซึ่งก็คือชาติโดยตรง การดูหนังดูละครก็เป็นการสร้างภพชาติโดยตรง เพราะกระทำกรรมด้วยความอยากคือโลภะ
ผลของกรรมก็จะไปสร้างกัมมชรูปไปรอไว้ แม้ในการเกิดขึ้นของมนุษย์ขณะแรก จะเป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆก็ตาม แต่คุณสมบัติรูปร่างลักาณะของคนผู้นั้น ได้ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้วว่า จะสวยงาม ฉลาด แข็งแรง ..อย่างไรบ้าง เหมือนกับการปลูกมะม่วงเปรี้ยวที่ยังเป็นต้นเล็กๆ

ถามว่า ต้นมะม่วงต้นเล็กๆนี้จะให้ผลมะม่วงได้ไหม ..คำตอบก็คือได้ คำถามต่อไปก็คือ แล้วขณะนี้ผลมะม่วงอยู่ที่ไหน ..คำตอบคือไม่ทราบแต่มีแน่นอน เพราะมะม่วงจะให้ผลก็ต่อเมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม คือ ได้น้ำได้อาหารจนเติบโตเต็มที่และถึงฤดูกาล มะม่วงจึงให้ผล

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 14:08:06 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 7

...เช่นเดียวกับการให้ผลของกรรมนั่นเอง ที่ขณะนี้เราทำกรรมไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถเห็นผลได้ ต้องรอเวลาที่เมาะสม ซึ่งบางทีเราก็จะเห็นว่า บางคนที่ติดคุกอยู่นั้น ไม่ได้ทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็มี แต่เพราะเคยทำการกักขังสัตว์ไว้ในอดีตชาติ ..ผลแห่งการกักขังนั้นได้มาให้ผลตามทันในชาตินี้ จึงต้องได้รับโทษทัณฑ์ดังกล่าวแม้จะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม ....

นี่คือการอธิบายเกี่ยวกับการให้ผลของกรรม ที่น่าจะทำให้คณะผู้สัมภาษณ์เข้าใจคำว่า กรรม ได้ดีขึ้น และหลุดพ้นจากข้อสงสัยในคำว่า..เจ้ากรรมนายเวร..ได้
เพราะอาจารย์อธิบายต่อไปว่า เจ้ากรรมนายเวรคือตัวเราเอง เพราะเราทำกรรมมาเอง เราจึงได้รับผลนั้น
อย่างเช่นการตาย ...ที่ไม่มีใครทำให้ใครตายได้
เพราะการตายมีเหตุอยู่ ๔ ประการคือ หมดกรรม หมดอายุขัย หมดทั้งกรรมและอายุขัย และมีกรรมอื่นมาตัดรอน ซึ่งเปรียบได้กับตะเกียงน้ำมันว่าไฟจะดับได้ด้วยเหตุ ๔ ประการ เช่นกันคือ หมดน้ำมัน หมดไส้ หมดทั้งน้ำมันและไส้ และแม้จะมีทั้งน้ำมันและไส้แต่ก็ถูกลมพัดให้ดับ

(...ขอบอกว่ายังมีรายละเอียดอีกมาก แต่คิดว่าน่าจะได้อ่านในคอลัมภ์ดีกว่านะคะ ทิ้งไว้ให้อยากรู้อยากเห็นแค่นี้ก็พอ..อิอิ)



หลังจากที่คณะผู้สัมภาษณ์เดินทางกลับไปแล้ว ก็ถึงชั่วโมงแห่งความปลื้มปิติคือการมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยมีท่านเจ้าคุณพระพิพิธธรรมสุนทรมาเป็นประธานในการแจก แต่ก่อนหน้าที่จะมีพิธีใดๆ ตัวแทนของรุ่นที่ ๒ คือ พลเรือตรี(หญิง)ศรีสุดา บรรลุศิลป์ ประธานของรุ่น ได้เป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณอาจารย์บุากรและทีมงาน และมอบปัจจัยไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในรุ่นที่สามจำนวนประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท ..สาธุ

หลังจากที่พิธีมอบวุฒิบัตรเสร็จสิ้นไปแล้ว ท่านเจ้าคุณพระพิพิธธรรมสุนทร ได้ให้โอวาทแก่ผู้ที่สำเร็จการอบรมในหลักสูตรนี้ เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่งอย่างจุใจ .....



และก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ช้างน้อยมะคะ..ม.ล.วรางคณา เกษมศรี ..ผู้เข้ารับการอบรมในรุ่นที่ ๒ ได้จัดทำวีซีดีในนามคณะศิษย์.... เพื่อขอบคุณอาจารย์บุษกร..จำนวน ๑ แผ่น ขอบอกว่า น่ารักและประทับใจมากค่ะ ..ช้างน้อย



นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ ดร.ชวาลิน เศวตนันทน์ ....ลุกศิษย์และเสมือนหนึ่งลูกสาวของอาจารย์บุษกร ได้นำเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองจำนวนหนึ่ง (ซองหนาปึ้ก)มามอบให้อาจารย์บุษกรเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณด้วยค่ะ..สาธุ

โดย น้องกิ้ฟ..นำมาฝาก [6 ก.ย. 2553 , 14:15:59 น.] ( IP = 61.90.91.148 : : )


  สลักธรรม 8

คุรั


การขับเคลื่อนชีวิต อย่างมีความรู้จริง ย่อมมีประโยชน์มากจริงๆนะครับน้องกิ้ฟ และเวลาที่ผ่านไปนอกจากมีค่าแล้ว บัดนี้ก็ยังอิ่มใจได้อยู่ว่า..ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ร่วมกันจรรโลงพระพุทธศาสนาไว้.

โดย พี่เณร [7 ก.ย. 2553 , 07:59:37 น.] ( IP = 58.9.150.184 : : )


  สลักธรรม 9

น่าปลาบปลื้มใจจริงค่ะ ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ได้มีโอกาสได้รับสิ่งที่มีค่าอันหาโอกาสได้ยากยิ่งในชีวิต

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์บุษกร ที่ได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อให้ศิษย์ได้รับประโยชน์มากที่สุดแม้สุขภาพจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม อนุโมทนาท่านอาจารย์อื่นทุกท่าน และผู้ร่วมให้ความช่วยเหลือ ให้การอบรมผ่านไปได้ด้วยความน่าปิติยินดีอย่างยิ่ง และก็ขอขอบคุณน้องกิ๊ฟ ที่พยายามถ่ายทอดให้ผู้เข้ามาเยี่อมชมได้รับความปิติเช่นนี้ ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ

โดย ปริญดา [8 ก.ย. 2553 , 13:17:36 น.] ( IP = 58.9.75.198 : : )


  สลักธรรม 10

very informative blog you have, thanks for sharing
optimization search engine, web design companies, website design companies

โดย paul [29 ธ.ค. 2554 , 16:36:53 น.] ( IP = 119.73.69.118 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org