Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
ทำไมเราจึงต้องปฏิบัติธรรม (๑)
สลักธรรม 1
เมื่อมีลาภ ก็ต้อง หมดลาภ มีสรรเสริญก็มี นินทา มีสุข ก็ต้อง พบทุกข์
จึงควรจะรีบ หลีก ละ ลด เลิก ในสิ่งที่ไร้สาระ ไร้แก่นสาร ไร้ประโยชน์ และ พยายามปลูกผังปัญญา
นำพากาย วาจา ใจให้เจริญอยู่ในกุศล ที่จะให้ความสุขสันติที่แท้จริงแก่ตนองได้ เพราะทุกอย่าง ใครทำ-ใครได้ ใครพบ-ใครพ้น
ในชีวิตของปุถุชน ...วัตถุเป็นเหตุให้เกิดกิเลส .... เพราะเหตุอะไรเล่า... เวลานี้กิเลส อกุศลต่างๆ.. ของปุถุชนจึงเกิดมากขึ้น เพราะโลกเวลานี้ต่างก็พยายามสร้างวัตถุ.......เป็นอารัมณปัจจัยให้เกิดกิเลสขึ้น
วัตถุในโลกเจริญมากขึ้นเท่าใด กิเลสคือ ความปรารถนาที่ต้องการจะมี จะได้ ก็ย่อมเกิดมากขึ้นเท่านั้น โดย น้องกิ้ฟ...นำมาฝาก [1 ก.ค. 2557 , 12:06:35 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
สลักธรรม 2
เพราะผู้สร้างวัตถุนั้นขึ้นมาก็มีเจตนาว่า จะสร้างให้เป็นที่ต้องการของมนุษย์ หรือเป็นที่ปรารถนาได้มากเท่าไรยิ่งดี ยิ่งมีประโยชน์ต่อผู้สร้างมากเท่านั้น ....สรุปได้ว่า วัตถุต่างๆ เกิดขึ้นเพราะกิเลส และเป็นเครื่องล่อกิเลสโดยมิรู้จักจบ
ฉะนั้น เมื่อวัตถุอันเป็นปัจจัยของกิเลสเจริญขึ้นมากเท่าใด กิเลสย่อมเจริญขึ้นมากเท่านั้น
เพราะธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจาก เหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ถึงแม้ว่าผู้คิดสร้างอาจจะไม่ได้มีเจตนาที่จะให้กิเลสตัณหาของบุคคลทั้งหลายเกิดขึ้น
หากมีเพียงเจตนาที่จะให้คนในโลกได้ความสุขความสบายเท่านั้นก็ตาม แต่สุขเวทนาที่ได้รับมาจากกามารมณ์.....เวทนาอย่างนี้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาและตัณหาก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ..เพราะว่าถ้าตัณหาเกิดมากเท่าใด ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลธรรมอื่นๆ เกิดมากขึ้นเท่านั้น โดย น้องกิ้ฟ...นำมาฝาก [1 ก.ค. 2557 , 12:07:28 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
สลักธรรม 3
เมื่ออกุศลธรรมเกิดมากขึ้นเท่าใด ความเบียดเบียนกัน ความเอารัดเอาเปรียบกัน การล่อลวงฉ้อโกงกัน การฆ่าฟันกัน การรบหรือทำสงครามแย่งความเป็นใหญ่กัน ก็มีมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ขาด ความเมตตากรุณา ซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้จึงสมควรที่ต่างคนต่างจะต้อง หันกลับเข้าหาความสุขอันสถาพรด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เพราะจะสามารถทำให้ผู้เข้าถึงได้พบความสุขอันแท้จริง
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการสงบของกองกิเลส เป็นการสงบจากการเบียดเบียน สงบเนื่องจากการละวางศัสตราวุธ และเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากตัวเอง ไม่ใช่จากวัตถุต่างๆ ซึ่งเป็นอารมณ์ภายนอก เป็นของไม่แน่นอน
เป็นความสุขที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติลุล่วงจากสังสารวัฏได้ในที่สุด ว่าด้วยการเริ่มศึกษาหลักและเหตุผลอันแท้จริงของชีวิต และปฏิบัติตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้ ในกิจของพระพุทศาสนาก็มีอยู่ ๒ อย่าง เท่านั้น
กิจ ๒ อย่างนั้นก็คือ คันถธุระ กับ วิปัสสนาธุระ
คันถธุระ ได้แก่.... การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะ...ตามที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก
วิปัสสนาธุระ ได้แก่.... การเจริญวิปัสสนา หรือ มรรค ทั้ง ๘ ....เพื่อมุ่งทำลายอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป โดย น้องกิ้ฟ...นำมาฝาก [1 ก.ค. 2557 , 12:09:14 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
สลักธรรม 4
นอกจากตัวเองจะต้องเป็นผู้จัดทำธุระทั้ง ๒ คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระแล้ว ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามเราต้องพิจารณาให้ถูกต้องตามสภาวธรรมที่เป็นจริงว่า อะไร เป็นของจริงแท้ และอะไรเป็นของจริงเทียม
เพื่อประโยชน์อันจะเกิดแก่ตน จะได้ไม่ลุ่มหลงไปในสิ่งที่สมมุติกันขึ้นจนเกิดการกระทำเนื่องด้วยกิเลสตัณหาจนนำพา กาย วาจา ใจ ให้เป็น ทุจริตติดตามมา
ของจริงเทียม ได้แก่สิ่งที่สมมุติกันขึ้น ตั้งชื่อขึ้น เพื่อใช้เรียกขานให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันในหมู่ชนเดียวกัน ใช้ภาษาเดียวกัน เรียกว่า สมมุติสัจจะ
ของจริงแท้ ได้แก่ความเป็นจริงตามสภาวธรรมล้วนๆ ปฏิเสธความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคลออกไปหมดสิ้น เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ
โปรดติดตามตอนต่อไป โดย น้องกิ้ฟ...นำมาฝาก [1 ก.ค. 2557 , 12:11:02 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
สลักธรรม 5กราบนมัสการหลวงพ่อผู้เป็นครูครับ
ผมก็คิดเสมอเลยครับว่า...คนที่มาปฏิบัติธรรมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติสมาธิ หรือวิปัสสนาก็ตามที่ ควรเหลือเกินที่จะต้องรู้ชัดว่า...มาปฏิบัติทำไม เพื่ออะไร เพราะการรู้นั้นจะได้เป็นเสมือนเป้าหมายที่จะกระทำทางเดินของตนให้ตรงไปตามทางที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
เพราะถ้าขาดความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต่างจากการที่พยายามตัดถนนแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ใช้เพื่ออะไรนะครับ และที่สำคัญไม่มีจุดหมายที่ตั้ง(ใจ)ของการกระทำเลยนั่นเองครับโดย พี่เณร [1 ก.ค. 2557 , 12:12:06 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
สลักธรรม 6กราบนมัสการหลวงพ่อ
ผมอ่านข้อความข้างต้นของหลวงพ่อแล้ว เหมือนได้ทบทวนย้อนกลับไปในอดีตเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ชีวิตผมนี่ก็แปลก ผมคงทำให้มันแปลกไปเอง จริงๆแล้วน่าจะนำคำสอนของหลวงพ่อที่พอจะจดจำได้มาปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ชีวิต แต่กลับไม่ทำ
ผมขอยืนยันว่า คำสอนที่หลวงพ่อสอนมาตั้งแต่ต้นนั้น ทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นจากทุกข์ได้จริง ขนาดผมได้รับมาแต่น้อยก็ยังพอประคับประคองชีวิต ไม่ให้ถลำลึกลงไปใต้ก้นลึกแห่งกองทุกข์ได้ จะทำอย่างไรดีหนอ ถามไปก็เท่านั้น รู้แล้วต้องลงมือปฏิบัติซินะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว ปล่อยเวลาผ่านพ้นมาได้อย่างไรตั้งเกือบสามสิบปี ตายไปจะกล้าเอาหน้าที่ไหนไปพบหลวงพ่อครับ.โดย บรรพต [1 ก.ค. 2557 , 12:13:23 น.] ( IP = 58.11.47.44 : : )
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |