Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
การปฏิบัติวิปัสสนามีความมุ่งหมายอะไร?
[ 1 ] [ 2 ]
สลักธรรม 1
ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อนเลยว่า ความทุกข์อันแท้จริงนั้นคืออะไร นอกจากจะรู้เรื่องของทุกขเวทนา เช่น เจ็บ ป่วย หรือไม่สบาย เมื่อได้อารมณ์ที่ตนไม่ชอบ ซึ่งชีวิตทั้งหลายกำลังประสบอยู่
ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อนเลยว่า ความทุกข์ทั้งหลายที่ครอบครองชีวิตอยู่นั้นมีสาเหตุเกิดมาจากอะไร นอกจากจะเข้าใจทุกข์ตื้นๆ เผินๆ เพียงอาศัยเหตุว่า ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเงินจะใช้ ไม่มีบ้านจะอยู่
ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อนเลยว่า หนทางที่จะไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและได้ตลอดนิรันดรนั้นไปทางไหน นอกจากจะทราบแต่เพียงว่า เมื่อหิวกระหายก็ไปกินไปดื่ม แล้วก็สบาย แก้ทุกข์ได้ชั่วคราว
ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อนเลยว่า กิเลส กล่าวคือ โลภะ, โทสะ และโมหะ ที่แฝงประทับอยู่ภายในจิตใจ เป็นตัวการก่อให้เกิดความเศร้าหมองเร่าร้อน เป็นตัวการก่อให้บังเกิดขึ้นซึ่งชีวิต แล้ววนเวียนอยู่ในภพชาติต่างๆ ไม่มีใครมีความสามารถทำลายมันให้หลุดถอนออกไปจากจิตใจ หรือมีหนทางที่จะทำลายมันเสียได้อย่างแน่นอนเด็ดขาดได้อย่างไร
ไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อนเลยว่า ความเศร้าโศกเสียใจรำพัน ความระทมตรมตรอมใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา หรือเมื่อได้พลัดพรากจากสิ่งอันตนปรารถนานั้น มีโอกาสที่จะทำลายให้หลุดถอนออกไปได้ แม้แต่จนมฤตยูก็หมดโอกาสที่จะมาวนเวียนเรียกร้องถามหาได้อีกต่อไป
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:57:27 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 2
ไม่มีบทเรียนในเรื่องอะไร ไม่มีพิธีกรรมของลัทธิใด และไม่มีกิจกรรมของศาสนาไหน ที่จะทำให้ชีวิตถึงซึ่งความบริสุทธิ์สะอาดจนหมดสิ้นเชิงได้ ที่จะทำให้ความทุกข์ดับสูญหมดสิ้นลงได้ นอกจากการศึกษาปฏิบัติกิจสูงที่สุด ประเสริฐที่สุดในพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ วิปัสสนากรรมฐาน
แต่บทเรียนแบบฝึกหัดเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่ผู้ใดจะคิดค้นว้าเอาเองได้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เร้นลับซับซ้อน พิสดารยิ่ง เกินกว่าใครจะคาดคะเนถึงเพราะเป็นเรื่องของปัญญาอันละเอียดอ่อนที่แอบแฝงซ่อนเร้น ผู้ที่มีความเข้าใจอย่างผิวเผินก็ย่อมจะเข้าถึงความจริงไม่ได้
อีกประการหนึ่งก็เพราะหลักฐานการศึกษาและปฏิบัติส่วนมาก ไม่อาจที่จะแสดงให้เป็นถ้อยคำหรือเป็นตัวอักษรที่จะให้เข้าถึงความจริงแท้อันเป็นปรมัตถ์เหล่านั้น จึงต้องอาศัยการแสดงโดยแวดล้อมเทียบเคียงจึงจะเข้าใจ ทั้งยังต้องอาศัยการศึกษาให้กว้างขวาง ยิ่งการปฏิบัติด้วยแล้วจำต้องฝึกฝนจนมีสันทัดจัดเจนทีเดียว ผู้มีปัญญาบารมีมาก สำเร็จง่าย แต่ก็ได้ผจญความยากมาในอดีตชาติ
ดังนั้น ผู้ที่ฝึกหัดเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลของตนเอง ไม่ได้มีศรัทธานำหน้าแต่อย่างเดียว แล้วจะต้องอาศัยองค์ธรรมปรมัตถสภาวะเป็นหลักการตัดสิน อาศัยหลักปริยัติเป็นแผนที่มิให้ออกนอกทิศทาง แล้วอาศัยความสันทัดในการปฏิบัติพร้อมทั้งความรักในเหตุผลเป็นชีวิตจิตใจเข้าช่วย มิใช่ทำไปตามตัวหนังสือ เพราะเพียงแค่ตำราอย่างเดียวเท่านั้นทำอย่างไรก็อธิบายให้เข้าถึงความจริงแท้ไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้เอง อาจารย์ผู้บรรยาย และอาจารย์ผู้ควบคุมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานซึ่งมีอยู่มากมายก่ายกอง ณ สำนักต่างๆ จึงได้ทำการสอนผิดแผกแตกต่างกันไป ตั้งแต่แตกต่างกันเล็กน้อยไปจนถึงแตกต่างกันมากประดุจฟ้ากับดิน
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:58:31 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 3
อาจารย์แต่ละท่านมีความหวังดี มีเจตนารมณ์ที่เป็นมหากุศล ยอมเสียสละ ยอมเสียประโยชน์ส่วนตัวด้วยอยากจะให้ศิษย์ของตนพ้นทุกข์ พ้นความเดือดร้อน และพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นบุคคลที่หาไม่ได้ง่ายนัก
แต่ที่สอน ไปคนละอย่างคนละทางก็เพราะเป็นความคิดเห็น เป็นความเข้าใจของตนอย่างนั้นจริงๆ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือริษยาอาจารย์อื่นแต่ประการใด แต่เพราะศรัทธาความเชื่อมั่นในความเห็นของตนที่มีอยู่ภายในส่วนลึกของใจมากเกินไป จึงได้ตัดสินไปตามที่เชื่อมั่นนั้น บางท่านไม่ยอมฟังเหตุผลของผู้อื่นเลย หรืออาจจะเห็นว่าของผู้อื่นไม่ถูกต้องไปเสียหมด
พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้ล่วงเลยระยะเวลามานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เราหมดหนทางที่จะได้อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์องค์ใดๆ ที่จะมาเป็นครูอาจารย์ แนะแนวทางพ้นทุกข์ให้แก่เราโดยตรงได้ เราก็จำต้องอาศัยปริยัติพร้อมทั้งเหตุผลมาเป็นหลักประกอบ
สถานที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นนี้มีมากมายก่ายกอง แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่า หนทางที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้นเป็นหนทางแห่งสัจธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เป็นการถูกต้องแน่นอน และเป็นหนทางที่จะทำให้ชีวิตหลุดรอดไปจากความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด
อาจารย์บางท่านก็ว่า ทำไปเถิด ทำไปเถิด เมื่อถึงคราวแล้วมันจะถึงเอง เมื่อถึงเวลาแล้วจะรู้ขึ้นมาเอง เมื่อเกิดสมาธิมากขึ้นแล้ว ปัญญาก็จะเกิดเอง
ถ้าเราไม่ได้เหตุไม่ได้ผลอะไรจากทฤษฎีเสียแล้ว เมื่อปฏิบัติไปประสบเหตุการณ์ต่างๆ ที่มาปรากฏแก่จิตใจซึ่งเราไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน เราก็อาจทึกทักว่า บัดนี้เราได้ถึงที่สุดของการปฏิบัติเข้ามาแล้ว เราถึงมรรคผลแล้ว โดยที่มิได้เข้าใจเหตุผลอะไรแม้แต่เล็กน้อยเลยก็ได้
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:58:48 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 4
อาจารย์บางท่านก็ว่า ให้กำหนดลมหายใจเข้าออกโดยดู(สำนึกรู้ลมหายใจเข้าออก) ให้รู้ว่า ลมเข้า ลมออก พวกลูกศิษย์ก็ได้กำหนดตามไป จิตก็เกิดสมาธิจนสงบระงับดับความเร่ร้อนกระวนกระวาย แล้วก็เลยเข้าใจไปว่ากิเลสตัณหานั้นได้ถูกประหาณออกไปเสียมากแล้ว หรือตนได้ถึงขีดสูงสุดในการปฏิบัติแล้ว
อาจารย์บางท่านก็ให้พิจารณาร่างกาย เพ่งให้เกิดสมาธิจนเห็นว่าร่างกายนี้สกปรกโสโครก ร่างกายนี้ไม่สวยงามไม่น่ารักอะไรเลย มีแต่ความเน่าเปื่อยแตกสลาย แล้วพิจารณาจนเห็นเป็นแต่โครงกระดูก แล้วจึงเพ่งให้เห็นเพลิงลุกโหมเผาโครงกระดูกนี้จนเป็นธุลี จิตจึงไม่มีโอกาสติดใจในรูปอะไรอีกต่อไป จิตจึงพ้นความผูกพัน และในไม่ช้าก็จะหลุดออกไปจากความเกี่ยวเกาะในสิ่งทั้งปวงและย่างเข้าสู่มรรคผลในที่สุด
การคิดเห็นไปดังที่กล่าวมานี้เป็นการคิดเห็นโดยการสร้างมโนภาพขึ้นทั้งนั้น หาได้ประสบความจริงไม่
อาจารย์บางท่าน สอนไม่ให้ยึด ไม่ให้เกาะในสิ่งสารพัดทั้งปวงเมื่อเห็นสิ่งที่ดีก็ไม่ให้ติดใจ เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ยอมรับอารมณ์ใดๆ ไม่ให้ความโกรธความไม่พอใจเกิดขึ้น ทำใจให้เฉยๆ เสีย ไม่ยอมรับรู้ในเรื่องอะไรทั้งนั้น เมื่อทำดังนี้ จิตก็จะเกิดปัญญาสามารถทำการประหาณกิเลสออกจากจิตได้
ความจริงการกำหนดจิต เห็น ได้ยิน เป็นต้นนี้ แล้วไม่ข้องแวะในสิ่งใดก็ไม่เกิดโลภะ ไม่เกิดโทสะขึ้นจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่าในขณะนั้นจิตกำลังตกอยู่ภายใต้โมหะ การที่ทำเฉยเสียเท่ากับเป็นการสร้างบ้านเรือนให้โมหะอยู่ได้อย่างสบาย
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:59:05 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 5
อาจารย์บางท่านสอนให้ทำสมาธิทำให้จิตไม่ให้เกาะเกี่ยวสิ่งใด ไม่ให้จิตหลงใหลในเรื่องอะไร ไม่ให้เห็นคนเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ ให้ถอยจิตไปจากความยึดมั่นทั้งหลาย แล้วทำใจให้ว่างเปล่า พ้นจากความยึดมั่นในสิ่งใด จะเป็นทางเข้าไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ถึงมรรค ผล นิพพานเองโดยไม่ต้องไปคร่ำเคร่งทรมานร่างกายแต่อย่างใด
การกระทำดังนี้หาได้เป็นไปตามสภาวธรรมไม่ เพราะจิตนั้นย่อมจะต้องมีอารมณ์อยู่เสมอหยุดไม่ได้เลย แม้ใขณะหลับสนิทก็ตาม แล้วการไม่ยึดว่าเป็นคนเป็นสัตว์นั้นเป็นการสร้างจินตนาภาพขึ้นมาเองหาได้เป็นไปจริง ๆ ไม่ หาได้เข้าไปรู้เห็นความจริงสิ่งใด ที่มีอยู่ต่อหน้าในขณะนั้น จึงหนีโมหะหรืออวิชชาให้พ้นไปไม่ได้เลย
อาจารย์บางท่านสอนว่า ทุกๆ คนนั้นมีร่างกายเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นกายเนื้อ ชั้นในเรียกว่ากายทิพย์ อยู่เฉยๆ ก็ไม่อาจจะรู้เห็นอะไรได้ แต่เมื่อทำสมาธิมากๆ ขึ้นก็จะบังเกิดความสามารถจนถึงส่งกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์วิมานได้ทั้งๆ ที่กายเนื้อนั่งสมาธิอยู่ แม้ถึงพรหมโลกก็สามารถไปถึงได้ภายในพริบตาเดียว หรือต้องการรู้เห็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เมื่อจิตถึงขั้นนั้นแล้ว จะกำหนดให้ถึงมรรคผลนิพพานก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร ก็ให้กำหนดความว่างเปล่าไม่มีอะไรเสีย ให้เห็นหรือรู้สิ่งอะไรก็ให้สูญไปหมด เมื่อจิตไม่ยึดสิ่งไรแล้ว นั่นก็คือนิพพานอันเป็นการล่วงพ้นไปจากทุกข์ไปได้ขั้นหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
ที่ยกตัวอย่างขึ้นมานี้ก็เพื่อให้เป็นที่สังเกตพิจารณาดูว่า การปฏิบัติในวิธีการดังกล่าวประกอบด้วยเหตุผลตลอดจนหลักฐานข้อเท็จจริงเพียงใด ถ้าการกระทำดังนั้นเป็นการถึงมรรคผลแล้ว ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไร้ความหมาย วิปัสสนามิใช่สมถกรรมฐานที่เพียงทำจิตให้สงบแล้วก็เป็นการเพียงพอ แต่จะต้องมีปัญญาเกิดขึ้นด้วย แล้วก็มิใช่ปัญญาสามัญทั่วไป แต่จะต้องมีปัญญารู้ความโง่ที่เป็นตัวปิดบังซ่อนเร้นความจริงของชีวิตว่ามันอยู่ตรงไหน
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:59:20 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 6
การปฏิบัติวิปัสสนามีความมุ่งหมายอะไร?
ก่อนอื่น เราควรจะทำความเข้าใจกันเสียให้ถ่องแท้ว่า ผู้เข้าปฏิบัติเหล่านั้นเข้าปฏิบัติโดยมีความปรารถนาอะไรอยู่ในใจ
บางท่านมีจิตใจฟุ้งซ่านรำคาญตั้งอยู่ในอารมณ์อะไรไม่ค่อยได้ เมื่อได้ยินเขาว่า เข้าปฏิบัติแล้วใจคอสงบเยือกเย็นดี จึงได้มาปฏิบัติ
บางท่านมีเหตุยุ่งยากเกิดขึ้นในครอบครัว ได้รับความทุกข์ความเร่าร้อนเป็นอันมาก เศรษฐกิจไม่สมดุล มีความผิดพ้องหมองใจกัน เกิดความเข้าใจผิด คิดอะไรไม่สมปรารถนา บุคคลอื่นไม่เป็นไปดังใจ จึงมาปฏิบัติเพื่อหวังจะได้รับสิ่งเยือกเย็นใจ
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:59:34 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 7
บางท่านได้รับคำบอกเล่าจากผู้รู้ว่า การกระทำกุศลอะไรก็ได้ไม่เท่ากับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงมาเข้าปฏิบัติเพื่อหวังจะได้กุศลผลบุญมากๆ เพราะเมื่อได้กุศลมากแล้วก็คงจะไม่ไปตกนรก แล้วคงจะไม่ตกระกำลำบาก หรือยากจนอดอยาก เหมือนในชาตินี้
บางท่านได้ฟังเขาพูดว่าถ้าปฏิบัติอย่างจริงจังก็เป็นผู้มีอำนาจทางจิต จะว่าคาถาเสกเป่าอะไรก็ขลังดี จะทำพิธีอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ จะบังคับจิตใจของตนก็ได้ จะให้หลับให้ตื่นเวลาไหน หรือให้ทำอะไรก็เป็นผลสมความตั้งใจ จึงได้อดต่อความลำบากเพื่อหวังผลอันนั้น
บางท่านได้ฟังผู้ที่ได้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วบอกว่า ดี ดี ก็อยากจะดีบ้างเห้นใครเขาไปกันเป็นแถวก็อยากจะไปกับเขาบ้าง เขาได้รู้เห็นสิ่งแปลกประหลาดมา ก็อยากจะรู้จะเห็นเหมือนเขาบ้าง หรือเกิดความเจ็บป่วยเรื้อรังบางประการแล้วเขาบอกว่าหาย ก็อยากจะหายบ้าง จึงได้มาเข้าปฏิบัติ
ตามที่ได้กล่าวมานี้เป็นเจตนาที่ยังไม่ตรงต่อจุดหมายในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงควรหาทางเข้าใจในเหตุผลนี้เสียก่อน จริงอยู่ ที่มีการกล่าวว่าจะเข้าใจมาก่อนหรือไม่เข้าใจอย่างไรก็ลงมือปฏิบัติได้เหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับนั้นย่อมต่างกัน
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 15:59:54 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 8
เราควรตั้งความมุ่งหมายอย่างไรจึงจะดี?
ก็ควรจะได้ศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า สัตว์ทั้งหลายต่างตกอยู่ในสภาพของความทุกข์ ต่างดิ้นรนขวนขวายในเรื่องกินอยู่และเรื่องต่างๆ พยายามหาหนทางที่จะได้เห็น ได้ยิน คิดนึกในเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังจะมีความสุข แต่ก็หาได้พ้นไปจากทุกข์ไม่ ต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตทุกวี่วันไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เราไม่อาจได้อารมณ์ที่ดีที่เราปรารถนาได้ตามใจชอบ เราไม่อาจห้ามปรามขัดขวางไม่ให้เราแก่เฒ่า หรือตาย เราไม่อาจบังคับบัญชาร่างกายและจิตใจให้ตั้งอยู่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เราจะต้องบริหารหรือประคบประหงมร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาได้เพียงพอและเป็นไปตามความปรารถนาของเราไม่
ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ครอบครองจิตใจอยู่นั้นเล่าก็ย่อมจะพาเราไปสู่ความลำบากมิได้หยุดยั้ง ก่อให้เกิดความเร่าร้อน ทุกข์ทรมาน บีบคั้นให้ดิ้นรน ซัดส่ายไม่มีความเป็นปกติได้เลยอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตทุกชีวิตที่อุบัติขึ้นมา จึงหนีไม่พ้นจากความยากลำบากแสนสาหัส
เมื่อชีวิตได้สิ้นสุดลงในชาตินี้แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็หาได้สิ้นสุดลงตามความสิ้นไปของชีวิตไม่ เพราะบาปหรือบุญก็ดีที่ได้ทำมาแล้วก็ย่อมเป็นกำลังส่งให้จิต เจตสิก กรรมชรูปอุบัติขึ้นมาอีก คือต้องเกิดขึ้นมายังภพใหม่ชาติใหม่ให้ต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตต่อไป และถ้าไปเกิดในที่ไม่ดี ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน ก็จะน่าหวาดหวั่นอย่างสุดแสน
เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตนี้สุดแสนจะลำเค็ญไม่น่าพิสมัยแต่อย่างใด เมื่อผู้ใดมีความเข้าใจความจริงของชีวิตดังนี้แล้ว เขาก็จะดิ้นรนหาหนทางที่จะไม่ต้องแก้ไขปัญหาอีกต่อไป คือ ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นั่นก็คือความสุขอันนิรันดร์
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการปฏิบัติสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติเพื่อให้สัตว์หลุดรอดไปจากความทุกข์ทุกประการ ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงต้องตั้งความปรารถนาให้ตรงตามที่ได้กล่าวมานี้จึงจะนับว่าถูกต้องสมบูรณ์
โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 16:00:24 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 9โดย ศาลาธรรม [17 พ.ย. 2557 , 16:01:30 น.] ( IP = 118.175.245.233 : : )
สลักธรรม 10
ขอเชิญศิษยานุศิษย์ทุกท่านร่วมงานทำบุญอุทิศ
"๒๓ ปี รำลึกอาจารย์บุญมี เมธางกูร"
ณ .วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง
..กุฏิไทยมัลลิกา..
วันจันทร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์ ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์
๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล
๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
บุษกร เมธางกูร.
โดย เทพธรรม [21 พ.ย. 2557 , 17:55:01 น.] ( IP = 171.96.179.49 : : ) [ 1 ] [ 2 ]
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |