Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
พระอภิธรรมสังเขป (๒๔)
พระอภิธรรมสังเขป และธรรมบางประการที่น่าสนใจ
โดย พระนิติเกษตรสุนทร
ตอนที่ (๒๓) อ่านที่นี่
วิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้เจริญภาวนานั้น ก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้ขึ้นเองเห็นประจักษ์แจ้งในสัจธรรมความจริงอันเป็นธรรมชาติที่มิได้มีการปรุงแต่ง เช่น มีการเกิดขึ้น ก็มีการดับไปเป็นธรรมดาไม่เปลี่ยนแปลงแปรผันเป็นอย่างอื่น ต่างจากความจริงที่โลกสมมติบัญญัติอันมิใช่เป็นความจริงแท้
วิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีการเข้าไปดูปรากฏการณ์เพื่อให้เห็นประจักษ์ซึ่งสัจธรรมความเป็นจริงตามธรมมดาที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เข้าไปดูสมมติบัญญัติ และมิใช่เป็นการกระทำเพื่อแสดงฤทธิเดชดูฤกษ์ยามแต่ประการใดไม่
มนุษย์มีความปรารถนาพอใจในอิฏฐารมณ์อันเป็นอารมณ์ที่รักที่ชอบ และโดยที่โมหะความลุ่มหลงงมงายครอบงำอยู่ จึงมองไม่ใคร่เห็นสัจจธรรมความจริงตามสภาวะ เมื่ออารมณ์ใดเกิดขึ้นก็มักชอบผันแปรเปลี่ยนแปลง สัจจะความจริงนั้น ให้โน้มเอียงไปสู่อารมณ์ที่ตนรักที่ตนชอบ
แท้จริงปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นนั้น ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามสภาวธรรมดา
มิได้มีการปรุงแต่งให้เป็นอารมณ์ดีที่น่าชอบใจ หรือเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีไม่น่าชอบใจไม่
โมหะความหลงไม่รู้เท่าความจริงและติดอยู่ในสมมติบัญญัติของโลกจึงเสกสรรคิดนึกทำให้เป็นอารมณ์ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจไปตามการปรุงแต่งของจิตขณะหนึ่งๆ
โดย ศาลาธรรม [30 ต.ค. 2558 , 14:32:40 น.] ( IP = 101.51.104.88 : : )
สลักธรรม 1
เช่น เสียงที่กระทบปสาทหู เกิดการได้ยินขึ้นตามสภาวะความจริงก็เป็นแต่คลื่นเสียงกระทบกับปสาทหู ไม่ใช่เสียงเพราะหรือไม่เพราะ แต่จิตของมนุษย์ผู้ติดอยู่ในสมมติบัญญัติ จึงปรุงแต่งเสียงนั้นออกไปเป็นเสียงเจื้อยแจ้วไพเราะบ้าง เป็นเสียงหยาบคายด่าว่าบ้างเป็นขณะๆ ไป
โปรดพิจารณาดูในขณะที่ทำธุระกังวลอยู่ในสิ่งใด เสียงเพลงอันไพเราะหรือเสียงหยาบคายที่เกิดขึ้นในขณะนั้น อาจเพียงได้ยินสักแต่ว่าเป็นเสียงเท่านั้น และไม่รู้สึกว่าไพเราะหรือหยาบคายในประการใด ทั้งนี้เพราะจิตใจไปกังวลอยู่ที่สิ่งอื่น และไม่มีการปรุงแต่งเกี่ยวแก่เสียงนั้นเกิดขึ้น หรือที่ว่าเป็นเสียงหยาบคายไม่ชอบใจนั้น ในบางครั้งอาจชอบใจเสียงนั้นเห็นว่าไพเราะดี
เช่น เด็กเล็กพูดหยาบ ผู้ใหญ่พากันชอบใจ ไม่คิดว่าเสียงนั้นเป็นคำหยาบ ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตใจถูกปรุงแต่งให้นิยมชมชอบในเสียงนั้นว่าเป็นเสียงของเด็กเล็กๆ น่าฟังน่าเอ็นดู เสียงหยาบคายก็กลายเป็นไพเราะไป โดย ศาลาธรรม [30 ต.ค. 2558 , 14:33:11 น.] ( IP = 101.51.104.88 : : )
สลักธรรม 2
ตามที่กล่าวมาแล้วนี้แสดงให้เห็นว่า เสียงนั้นเป็นธรรมชาติเป็นไปตามธรรมดา หากแต่ถูกปรุงแต่งเกิดขึ้นที่จิตใจจึงจะทำให้คิดไปว่าเสียงนั้นเพราะและไม่เพราะ
โดยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงได้ทรงสั่งสอนให้มีสติสัมปชัญญะให้ทันต่อสภาวะความจริง มิให้หลงลืมไปตามสมมติบัญญัติของโลก
และการจะดูความจริงให้เห็นประจักษ์ได้นั้น จะต้องกระทำให้จิตใจสงบ ระงับจากอารมณ์ต่างๆ มิให้ฟุ้งซ่าน เอาไปผูกอยู่แต่ที่อารมณ์เดียว ให้จิตรวมลงเป็นสมาธิ จะได้ก่อให้เกิดพลังกำลัง เพ่งตรงศูนย์แห่งสัจธรรมความจริงแรงขึ้น เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านสงบระงับรวมลงเป็นสมาธิแล้ว ความจริงก็ประจักษ์ขึ้นตรงตามสภาวะ
การเห็นโดยความนึกคิดย่อมไม่ชัดเจนเท่าที่เห็นโดยสมาธิจิต เมื่อบุคคลมาประจักษ์เห็นธรรมชาติความจริงดังกล่าวนี้แล้ว ความลุ่มหลงเข้าใจผิดอันมีแต่เดิมในอารมณ์นั้น ก็จะคลี่คลายสลายตัวไปในที่สุด เพราะเมื่อสัจธรรมปรากฏ อสัจธรรมก็ย่อมสลายหายไป บุคคลนั้นก็จะไม่เข้าใจผิดในอารมณ์นั้นๆ อีก โดย ศาลาธรรม [30 ต.ค. 2558 , 14:33:28 น.] ( IP = 101.51.104.88 : : )
สลักธรรม 3
พระพุทธองค์ได้ทรงสอนให้ใช้มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นมูลฐานในการเจริญวิปัสสนาภาวนา ก็เพราะปุถุชนทั่วไปยังข้องอยู่ในตัณหา ความปรารถนาพอใจ และทิฏฐิความเห็นผิด เมื่อเจริญวิปัสสนาภาวนาไปตามมหาสติปัฏฐานนี้แล้ว ความเห็นถูกตามสภาวะเป็นจริงก็จะประจักษ์ขึ้น ตัณหาความพอใจอันเป็นเหตุให้ก่อโทษทุกข์ก็ย่อมจะหมดไปด้วย
มหาสติปัฏฐาน ๔ นั้น ได้แก่ การมีสติพิจารณารูปนามเบญจขันธ์นั่นเอง นามรูปนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในทุกอารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเกิดขึ้นตามธรรมดาของสภาวะ เช่น เมื่อเสียงกระทบปสาทหู การได้ยินก็เกิดขึ้นแต่เพียงการได้ยินเสียงนั้นเท่านั้น ยังหาได้ประกอบด้วยการปรุงแต่งให้เป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจประการใดไม่
นามรูปเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทรงอยู่ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป หาได้ยืนยงถาวรอยู่ตลอดไปไม่ การที่ต้องดับไปๆ ตั้งคงทนอยู่ไม่ได้นี้ ย่อมเป็นทุกข์อยู่ตามสภาวะ ทั้งการที่บังคับบัญชาให้ตั้งคงทน ไม่ได้ดับสลายไปมิได้นี้จึงเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน
สาระสำคัญของวิปัสสนาก็เพื่อให้เห็นสัจธรรมความจริงโดยประจักษ์แจ้งว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ และอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เพื่อมิให้ไปหลงตามสมมติบัญญัติของโลกว่าเที่ยงเป็นสุข และเป็นอัตตาตัวตน
ถ้าการเจริญภาวนานั้นมิได้เป็นไปเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ดังกล่าวแล้วก็หาใช่วิปัสสนาถูกต้องไม่ โดย ศาลาธรรม [30 ต.ค. 2558 , 14:33:52 น.] ( IP = 101.51.104.88 : : )
สลักธรรม 4
ธรรมที่เป็นกรรมฐานที่ตั้งรับรองกำหนดของสติ อย่างประเสริฐนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ชัดเจนในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นหนทางที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลายเพื่อก้าวล่วงพ้นความโศกและความร่ำไรเสีย เพื่อความดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมพ้นทุกข์ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งหนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน มีอยู่ ๔ หมวดด้วยกันคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ธรรมทั้ง ๔ หมวดนี้ เป็นมูลฐานที่จะใช้ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะนำเอาธรรมอื่นมาใช้แทนหาได้ไม่
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบ่งออกเป็น ๔ บรรพ กล่าวด้วยสติระลึกรู้ในอานาปาน อริยาบถ ๔ สัมปชัญญะ ๗ ปฏิกูล ๓๒
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบ่งออกเป็น ๙บรรพ กล่าวด้วยสติระลึกรู้ในเวทนา มีสุข ทุกข์ อุเบกขา เป็นต้น
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบ่งออกเป็น ๑๖ บรรพ กล่าวด้วยสติระลึกรู้ในจิตที่ประกอบด้วยความรัก ความโกรธ ความหลง ความฟุ้งซ่าน เป็นต้น
และ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบ่งออกเป็น ๕ บรรพ กล่าวด้วยสติระลึกรู้ในนิวรณ์ขันธ์ อายตนะเป็นต้น
รายละเอียดแห่งบรรพหนึ่งๆ มีอย่างใดบ้าง ของดไม่กล่าวในที่นี้.
ขอนุโมทนากับคุณนวลพรรณ รามวณิช ผู้บันทึกข้อมูลโดย ศาลาธรรม [30 ต.ค. 2558 , 14:34:16 น.] ( IP = 101.51.104.88 : : )
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |