มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


อายุวัฒนามีนามาส (๒)





เหตุที่ทำให้เกิดอกุศลจิต
โดย ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร


อกุศลจิตทั้ง ๑๒ ประเภท ได้แก่ โลภะมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมูลจิต ๒ เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะจิตขาดปัญญารู้เท่าทันความจริง เป็นจิตที่ประกอบด้วย "อโยนิโสมนสิการ" คือ การทำจิตใจไม่แยบคาย หรือการคิดพิจารณาไม่ลึกซึ้งนั่นเอง

เมื่อมีอโยนิโสมนสิการหรือพิจารณาเรื่องราวของชีวิตไม่ลึกซึ้งแล้ว อกุศลจิตที่ยังไม่เกิดก็ย่อมจะเกิดขึ้นมา และอกุศลจิตที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ย่อมจะเจริญยิ่งขึ้น

เมื่อมีอโยนิโสมนสิการหรือพิจารณาเรื่องราวของชีวิตไม่แยบคายแล้ว กุศลจิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก็ถูกสกัดกั้นลงเสีย และกุศลจิตที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จะถูกทำลายลงโดยทันที

เหตุให้เกิดอโยนิโสมนสิการ มี ๕ ประการ คือ

๑. ปุพฺเพอกตปุญฺญตา ไม่ได้สร้างสมบุญไว้ในปางก่อน

๒. อปิปฏิรูปเทสวาส อยู่ในประเทศที่ไม่สมควร (ไม่มีสัปบุรุษ)

๓. อสปฺปริสูปนิสฺสย ไม่ได้คบหาสมาคมกับสัปบุรุษ

๔. อตฺตมิจฺฉาปณิธิ ตั้งตนไว้ผิด

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:28:06 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ


  สลักธรรม 1

ในข้อแรกคือ ปุพฺเพอกตปุญฺญตา แปลว่า ไม่ได้สร้างสมไว้ในปางก่อน คำว่า บุญ นั้นหมายถึงความดีงาม หมายถึงกุศลธรรม

บุญนั้นแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่ๆ ๒ ประการด้วยกัน บุญอย่างหนึ่งนั้นเป็นบุญที่เกิดขึ้นมาโดยปราศจากปัญญาเข้าไปพิจารณา เช่น เมื่อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายสั่งสอน หรือได้ฟังใครมาพูดว่าให้ทานต่อคนยากจน คนง่อยเปลี้ยเสียขาพิการนั้นได้บุญมาก หรือถวายจตุปัจจัยต่างๆ แก่ภิกษุ ก็ควรกระทำ หรือรักษาศีลนั้นดีมีบุญเกิดมาก หรือเจริญกรรมฐานต่างๆ นั้นเป็นกุศลสูงที่สุด จึงได้ลงมือกระทำกุศลเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง

อย่างไรก็ดี ผู้ที่ทำบุญแต่ขาดปัญญาที่จะพิจารณาถึงผลในการกระทำของตน เพราะมิได้ศึกษาเล่าเรียน หรือมิได้มีใครช่วยเสนอแนะนำความเข้าใจในปัญหาที่ว่า บุญคืออะไร บุญที่ทำเอาไว้แล้วเก็บเอาไว้ที่ไหน บุญที่ได้ทำเอาไว้แล้ว จะก่อให้เกิดผลขึ้นมาได้อย่างไร จะเป็นความจริงหรือไม่ แล้วจะเกิดผลแห่งบุญนั้นๆ ขึ้นเมื่อใด

เมื่อไม่มีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ก็ทำไปเรื่อยๆ ด้วยหวังว่าทำเผื่อเอาไว้ เผื่อบุญที่ทำไปแล้วจะบังเกิดผลขึ้นมาได้บ้าง ถ้าไม่บังเกิดขึ้นมาเลยก็แล้วไป ก็ยังทำให้จิตใจแช่มชื่น หรือคิดว่าทำบุญเสมอๆ แล้วก็คงจะช่วยให้ร่ำรวยขึ้นได้ หรือคิดว่าเป็นการทำลายสัญชาตญาณเห็นแก่ตัวออกไปเสียบ้าง

และบางคนอาจจะคิดค้ากำไรจากธรรมชาติ เอาข้าวใส่บาตรไปขันเดียวแล้วอธิษฐานว่า ขอให้กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้บริจาคทานนี้ จงได้ส่งเสริมให้ข้าพเจ้าเกิดขึ้นในชาติใดฉันใด ขอให้มีกินมีใช้อย่าได้ขาดตกบกพร่องเลย ยิ่งกว่านั้นบางคนเอาข้าวใส่บาตรพระไปขันเดียว ขอให้เกิดชาติหน้าให้ได้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีก็มี

นอกจากบุญที่เกิดขึ้นมาโดยปราศจากปัญญาตามผมได้กล่าวไปแล้ว ยังมีบุญอยู่อีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นบุญที่เกิดจากปัญญาในปัญหาของชีวิต มีความรู้ว่า คนตายลงแล้วเกิดอีกได้จริงหรือไม่ บาปและบุญที่ได้ทำไปแล้วนั้น จะคืนสนองมายังผู้กระทำได้จริงอย่างไร ทั้งนี้โดยได้รับการศึกษาเล่าเรียน หรือการฟังธรรมะ หรือการคิดพิจารณาให้แยบคาย ความเห็นที่ผิดๆ จึงเกิดขึ้นมาไม่ได้

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:28:42 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )


  สลักธรรม 2

คำว่า "แต่ปางก่อน" นั้นหมายถึงชาติที่เกิดขึ้นมาแล้วก่อนๆ นั่นเอง อาจจะเป็นชาติที่แล้วมา หรืออาจจะเป็นชาติที่ในๆ เข้าไปยิ่งกว่านั้นอีกหลายชาติก็ได้

การกระทำทั้งหลายเมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ก็มิได้สูญสิ้นหายไปไหน หากแต่เก็บเอาไว้ภายในจิตใจ แล้วรอคอยโอกาสที่จะแสดงผลของมันขึ้นมา เหมือนกับผู้ที่สนใจการศึกษาประวัติศาสตร์ หรือการดนตรีมาในอดีตอันยาวไกล ครั้นมาเกิดในสมัยนี้ จึงได้ชอบประวัติศาสตร์ และการดนตรีเป็นพิเศษ ทั้งเมื่อศึกษาแล้วก็ก้าวหน้ายิ่งกว่าใครๆ ด้วยการงานที่ทำมาแล้วเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จนผู้คนทั้งหลายพากันพูดว่า "มีพรสวรรค์" แต่คนทั้งหลายก็ไม่มีใครเคยอธิบายให้เห็นจริงได้ว่า พรสวรรค์นั้นคืออะไร

ธรรมชาติอย่างหนึ่งชนิดที่ชอบหนุนเนื่องให้จิตของตนเป็นไปในกุศลต่างๆ จะเป็นการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็เหมือนกัน เมื่อจิตใจขาดเหตุผลข้อเท็จจริงในการกระทำของตน แม้จะทำอยู่เสมอแล้วได้ชื่อว่า มีบุญมาก ได้ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลซึ่งจะช่วยให้ชีวิตของตนดำเนินไปได้ดีในอนาคตก็จริงก็ได้ชื่อว่าเป็นบันไดเบื้องต้นเท่านั้น หาใช่บันไดขั้นสูงที่ใกล้จะถึงขั้นบนไม่

เหตุนี้เอง จึงเป็นกุศลจิตที่ยังอยู่ในระดับที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนานเท่านาน ไม่เหมือนกับปัญญาบารมี ไม่เหมือนกับกุศลจิตที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมีความเข้าใจในปัญหาของชีวิต ซึ่งเรียกว่า โยนิโสมนสิการมาตั้งแต่อดีต ซึ่งก็คือในอดีตเคยอบรมสั่งสมมามาก หรือได้เคยพิจารณาในปัญหาชีวิตมาแล้วมากมาย จึงมีกุศลจิตเกิดขึ้นพร้อมกับมีปัญญาบารมีด้วย

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:29:00 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )


  สลักธรรม 3

เมื่อในชาติอดีตมีจิตที่เป็นกุศลที่มีกำลังไม่มาก เพราะด้วยเหตุแห่งการอบรมบ่มนิสัยมาไม่เพียงพอ จึงได้ชื่อว่ามิได้สร้างสมบุญเอาไว้ในชาติปางก่อน

และเพราะมิได้สร้างบุญเอาไว้ให้มีกำลังเพียงพอในชาติปางก่อนนี่เอง จึงได้ไม่ถูกนำพาให้มาเกิดในประเทศที่สมควรคือไม่มีสัปบุรุษอันเป็นข้อที่สอง

แม้จะมาเกิดอยู่ในประเทศที่มีพุทธศาสนา ในประเทศที่มีสัปบุรุษ ก็เหมือนอยู่ห่างไกล เพราะอำนาจแห่งกุศลผลบุญมิได้ให้กำลังชักนำให้เพียงพอ แม้จะอยู่ใกล้ก็เหมือนอยู่ไกล แม้ได้ยินได้ฟังมาบ้างก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้คิดพิจารณา หรือมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมายเหลือเกินที่จะต้องคิดต้องทำ แล้วก็คิดก็ทำไปตามความสนใจนั้นเพลิดเพลินไป จึงเกิดอโยนิโสมนสิการ ทำใจให้แยบคายไม่ได้

เมื่อมิได้เกิดอยู่ในประเทศที่สมควรแล้ว ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะไม่ได้คบหาสมาคมกับสัปบุรุษอันเป็นข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่เกิดขึ้นมาเป็นคนแล้วมีความคิดพิจารณามีเหตุมีผลเป็นของตนดีแล้ว แต่ขาดความคิดหรือมิได้เอาใจใส่ที่จะเข้าไปพิจารณาหาความจริงความลึกซึ้งในเรื่องของชีวิตเสีย

เมื่อไม่ได้คบหาสมาคมกับสัปบุรุษ มิได้ฟังธรรมของสัปบุรุษ ดังนี้แล้ว จิตใจก็อาจตั้งไว้ผิดๆ ได้โดยง่าย เมื่อจิตใจตั้งไปผิดได้ง่ายดังนี้แล้ว อกุศลจิตจึงได้โอกาสเกิดขึ้นมา และในขณะนี้ก็ได้ชื่อว่า อโยนิโสมนสิการ คือการทำใจไม่แยบคายด้วยมิได้พิจารณาในปัญหาของตนเองให้เข้าใจ

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:29:17 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )


  สลักธรรม 4


พี่ดอกแก้วไขปัญหา (๒)
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร


ถาม อยากทราบว่า พระพุทธองค์ ทรงเทศนาเรื่องปัจจัย ๒๔ ด้วยความประสงค์อะไร?

ตอบ การที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาเรื่องปัจจัย ๒๔ นั้น ก็เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้รู้ ความเป็นเหตุเป็นผลของพระปรมัตถธรรม ๔ ประการค่ะ

เพราะพระองค์ทรงแบ่งพระปรมัตถธรรมไว้ว่า ธรรมที่เป็นเหตุอย่างหนึ่งเรียกว่าปัจจัย ธรรมที่เป็นผลอย่างหนึ่งเรียกว่าปัจจยุปปันนธรรม ธรรมที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นผล คือนอกจากเหตุผลอย่างหนึ่งเรียกว่าปัจจนิกะ รวม ๓ ประเภทค่ะ

หมายความว่า ธรรมดาสังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งหมด ในอดีต อนาคต และปัจจุบัน รวมในกาลทั้ง ๓ นี้ ย่อมเกิดมาตามเหตุตามผลค่ะ เมื่อปราศจากเหตุแล้ว ผลก็ย่อมเกิดไม่ได้ คำว่า "ผล" นั้นเพราะมีเหตุปัจจัยนั่นเอง

เช่นใครๆก็ย่อมรู้แล้วว่า อสังขตคือพระนิพพาน อาศัยผลธรรมที่มีเหตุ เมื่อมีเหตุปัจจัยแล้วพระนิพพานก็ต้องปรากฏให้เห็น และการที่พระนิพพานปรากฏนั้นก็อาศัยเหตุธรรม เมื่อไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยแล้ว พระนิพพานก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนและจะปรากฏได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นการที่พระองค์ทรงเทศนาก็เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย รู้เหตุธรรมของสังขตธรรมและอสังขตะ และมีความสามารถที่จะต้องปฏิบัติต่อไป การปฎิบัตินั้นนำไปสู่พระนิพพานธาตุซึ่งเป็นผลธรรมใหญ่โตที่สุด

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:29:54 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )


  สลักธรรม 5



ถาม คำว่า "กัมมัฎฐาน" กับคำว่า "ภาวนา" ต่างกันอย่างไร ? เพราะบางแห่งก็เรียกว่า กัมมฐาน ๔๐ บางแห่งก็เรียกว่า ภาวนา ๔๐

ตอบ คำว่า "กัมมัฎฐาน" นั้นมาจากศัพท์ที่ว่า " กมฺมสฺส ฐานํ" กมฺมฏฐานํ แปลว่าเป็นที่ตั้งแห่งการเพ่ง ฉะนั้น เรียกว่ากัมมัฎฐาน ได้แก่จำนวนของกัมมัฎฐานทั้ง ๔๐ องค์ และรวมวิปัสสนากัมมัฎฐานทั้ง ๓ องค์ด้วยค่ะได้แก่ อนิจจกัมมัฎฐาน ทุกขกัมมัฏฐาน และอนัตตกัมมัฎฐาน

ส่วนคำว่า "ภาวนา" มีวิเคราะห์ศัพท์ว่า "ภาเวตพพฺพาติ" ภาวนา แปลว่า ควรพึงเจริญเนืองๆค่ะ ดังนั้นชื่อว่า ภาวนา แปลว่า ได้แก่สมถภาวนาและวิปัสสนา

โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:30:35 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )


  สลักธรรม 6



ถาม ขอเรียนถามต่อว่า "ผู้เพ่งกัมมัฏฐาน" กับ "ผู้เพ่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน" ทั้ง ๒ คนนี้ต่างกันอย่างไร ?

ตอบ "ผู้เพ่งกัมมัฏฐาน" มี ๒ อย่างค่ะ คือ บางคนต้องการสมาธิ ส่วนบางคนต้องการฤทธิ์ ผู้ที่ต้องการสมาธิเมื่อได้สมาธิแล้วก็เลยไปทางวิปัสสนาและเป็นอริยบุคคลไปก็มีค่ะ เช่น พระภิกษุที่เพ่งกัมมัฏฐานในสมัยพุทธกาลเป็นต้น หรือฤาษีนอกศาสนาที่ต้องการฤทธิ์ หรือต้องการเกิดเป็นพรหมค่ะ ส่วนผู้เพ่งวิปัสสนาล้วนๆนั้น ท่านต้องการแต่ปัญญา คือโลกุตตรเท่านั้น

เพราะฉะนั้นวิปัสสนาภาวนา เรียกว่าปัญญาภาวนาค่ะ แต่บางคนที่มีบุรพาธิการแล้ว เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ท่านก็ได้สำเร็จฌานและอภิญญาด้วยก็มีค่ะ


โดย ศาลาธรรม [3 มี.ค. 2559 , 13:30:54 น.] ( IP = 101.51.107.144 : : )

ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
จาก : *
Code :
กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
รายละเอียด :
Icon Toy
Special command

* *
กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

คำเตือน
  • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
  • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

ลานภาพ

อบรมวิปัสสนา

ค้นหา

ค้นหา-GooGle

สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org