Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
ภาษาโลก ภาษาธรรม ที่วัดสุวรรณาราม
สลักธรรม 1จนกระทั่งรถที่เรานั่งได้มาถึงวัด และเราก็ลงกันเรียบร้อยแล้ว รถของท่านเจ้าคุณพระพิพิธธรรมสุนทร และคณะ ก็ได้เข้ามายังลานจอดรถเช่นเดียวกันพอขึ้นไปยังศาลาก็พบว่า ท่านเจ้าคุณเมธีวรญาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม และท่านยังเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิ ซึ่งท่านทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอ้อมน้อย ท่านได้มานั่งบนศาลาอยู่ก่อนแล้ว
พี่ดอกแก้วจึงได้เข้าไปกราบนมัสการท่านและพระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์รูปอื่นๆที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น และส่วนใหญ่ก็รู้จักกับพี่ดอกแก้วอยู่แล้วเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาตามกำหนด โฆษกในพิธีก็กล่าวเชิญแขกผู้มีเกียรติขึ้นไปจุดเทียนธูปในตำแหน่งต่างๆ และอาราธนาศีลตามแบบทั่วไป ....เมื่อพระเริ่มสวดพระอภิธรรมนั้น น้องกิ๊ฟก็บังเกิดความเดือดร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะฟังไม่ออกว่าท่านสวดอะไรกัน ....กว่าจะทราบว่าท่านกำลังจะสวดคำว่า นะโม ตัสสะ... ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีในการตั้งใจฟังสำเนียงของท่าน ที่ค่อยๆเอื้อนไปตามทำนอง ... นึกชมเชยพระผู้สวดอยู่ในใจว่า ท่านช่างมีความสามารถและความตั้งใจ ในการสาธยายธรรมเป็นทำนองหลวงได้อย่างน่าศรัทธา ...แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า แล้วคนฟังจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างในการฟัง... และก็นึกเลยเถิดไปอีกนิดนึงว่า ไม่เป็นไรอีกสักครู่พี่ดอกแก้วก็จะมาเฉลยให้ทราบกันแล้ว.... จึงค่อยเบาใจขึ้นโดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 01:39:55 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 2หลังจากที่การสวดครั้งที่ ๓ จบลง โฆษกในพิธีก็ได้กล่าวเชิญพี่ดอกแก้วขึ้นไปบรรยายธรรมตามที่ได้กำหนดหัวข้อไว้ ..... พอพี่ดอกแก้วขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วนั้น น้องกิ๊ฟก็เดินไปตามบริเวณต่างๆ ของศาลา เพื่อบันทึกภาพ ...
ขอบอกว่า สาระธรรมที่พี่ดอกแก้วพูดในวันนี้ ดีมาก... สั้นๆ กระชับ ได้ใจความ และความประทับใจ ผู้คนทั่วทั้งศาลาต่างตั้งใจฟังโดยไม่มีเสียงคุยกันและไม่มีใครลุกขึ้นเดินขวักไขว่... (นอกจากน้องกิ๊ฟ และคนยกน้ำและอาหารมาบริการค่ะ) พระภิกษุบางรูปนำวิทยุเล็กๆมาบักทึกคำบรรยายในครั้งนี้ด้วย และสำหรับบางรูปนั้นเมื่อพี่ดอกแก้วพูดถึงใจความสำคัญบางประการท่านก็จดลงบนเศษกระดาษที่ท่านถือมา บางรูปถึงกับหยิบหนังสือความมหัศจรรย์ของจิตที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาเปิดดูทันทีราวกับว่า เนื้อหาคำบรรยายอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ..ความสงบและความตั้งใจฟังจึงครอบคลุมไปทั่วทั้งศาลา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง พ่อค้า หรือชาวบ้าน ต่างก็นั่งฟังกันตาโต......โดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 01:42:55 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 3ตอนแรกนั้นพี่ดอกแก้วก็บอกว่า วันนี้จะขอโอกาสมานำเสนอภาษาไทยบางคำ ที่คนส่วนใหญ่มักชอบใช้กันโดยผิดความหมาย โดยเฉพาะความหมายในทางธรรม มาอธิบายให้เข้าใจกัน เช่น
......... คำว่า จุติ ที่แปลว่าตายแต่คนไทยหรือพระบางส่วนก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการเกิด แล้วก็นำไปพุดกันอย่างผิดๆ ..การเกิดนั้นจะต้องใช้คำว่าปฏิสนธิ และในการปฏิสนธินั้นก็มีเหตุให้เกิดอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะเนื่องมาจากบิดามารดาเพียงอย่างเดียว ....พี่ดอกแก้วบอกว่า คำตอบโดยละเอียดนั้นมีอยู่ในหนังสือชื่อ ใครให้คุณเกิด? ซึ่งเป็นงานเขียนของพี่ดอกแก้ว และอีกไม่นานนี้ก็จะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มออกมาเผยแพร่ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ.... แต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึงคำว่าตายกัน
....คำว่า จุติ แปลว่าตาย ..ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนั้นพี่ดอกแก้วบอกว่า เคยเห็นร้านดูแลเกี่ยวกับรถยนต์ชื่อ จุติคาร์แคร์ ..... ซึ่งท่านพระอาจารย์บุญมีอธิบายคำศัพท์นี้ในทำนองอารมณ์ดีว่า ..อย่าเข้าไปเชียวนา ...เพราะไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตหรือเปล่าถ้าซ่อมหรือซื้อรถที่ร้านนี้ เพราะคำจุติแปลว่าตายนั่นเอง ....โดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 01:46:38 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 4........คำต่อไปก็คือ คำว่า สังขาร คำว่าสังขารนี้พี่ดอกแก้วอธิบายว่า คนไทยเรานำมาใช้ในความหมายที่แคบๆ คือ หมายความว่าเป็นเพียงร่างกายเท่านั้น เวลาปวดเมื่อยเจ็บปวดก็มักจะโอดโอยกันว่า สังขารแย่แล้ว ....แท้ที่จริงสังขารนั้นเป็นการมาประชุมปรุงแต่งกันระหว่างธรรมชาติประเภทต่างๆ และก็มีความไม่เที่ยง ...เป็นทุกข์ .... บังคับบัญชาไม่ได้ ได้แก่ นามธรรมคือจิตและเจตสิกที่มาประชุมปรุงแต่งกันเมื่อมีอารมณ์มากระทบและก็ดับลงเพราะหมดเหตุปัจจัยต้องเปลี่ยนแปลงไปรับอารมณ์ใหม่ ..ต้องขอประทานโทษที่จะถามท่านเจ้าภาพว่าแต่ละท่านทราบหรือไม่ว่า ท่านมองเห็นได้เพราะอะไร? ท่านจะมองเห็นดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้านี้ได้มิใช่เพียงเพราะมีดวงตาเท่านั้น จะต้องมีแสงสว่างที่พอเหมาะ มีดอกไม้มาปรากฏอยู่ และมีความตั้งใจที่เรียกว่ามนสิการ จึงเป็นบทสรุป ๔ ข้อใหญ่ๆที่ทำให้เกิดการเห็น ... ฉะนั้น สังขารจึงไม่ใช่ความหมายทางร่างกายอย่างเดียว แต่คนเราชอบพูดกันเสียจนติดปาก
...ชีวิตของคนเรานั้นมีทั้งส่วนที่ประกอบไปด้วยรูปและนาม ที่เรียกกันว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ....ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เราก็มีขันธ์ทั้ง ๕ ครบ ซึ่งต่างจากท่านเจ้าคุณศรีธรรมโสภณ ที่ขณะนี้เหลือเพียงรูปขันธ์ที่ปราศจากจิตหรือวิญญาณครองแล้ว
และก็เช่นเดียวกัน คำว่าวิญญาณ ที่เข้าใจกันผิดและใช้ในความหมายที่ผิด เพราะวิญญาณ ก็คือ จิต ซึ่งจิตนี้มีชื่อเรียกถึง ๑๐ ชื่อ เช่น หทัย มโน มนินทรีย์ มนายตนะ เป็นต้น ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายก็เช่น ในขณะที่เรายังเป็นเด็กเราก็เรียกแทนตัวว่า เด็กหญิง/เด็กชาย โตขึ้นมาก็เรียกว่า นาย/นางสาว พอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ต้องใช้คำแทนตัวว่า ข้าพระพุทธเจ้า ....ซึ่งทั้งหมดที่พูดมาก็คือ ตัวของเราคนเดียวทั้งสิ้นแต่เมื่ออยู่ในฐานะที่ต่างกันก็ต้องใช้คำเรียกหาที่ต่างกันไปโดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 01:50:54 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 5.....คำต่อไปคือ คำว่า อาหาร .... ในภาษาธรรม อาหารหมายถึงเครื่องหล่อเลี้ยงที่มีทั้งรูปอาหาร และนามอาหาร คืออาหารกายและอาหารใจ แต่ในภาษาโลก อาหารนั้นมีความหมายว่าเป็นสิ่งที่เรากลืนกินเข้าไป เช่น ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก หรือข้าวต้ม เราจึงละเลยความสำคัญของอาหารที่เป็นนาม ที่เรียกว่า อาหารใจ และในบทสวดพระอภิธรรมก็มีการกล่าว ถึงอาหาร ไว้ด้วย คือ เหตุปัจจโย..อารัมมณปัจจโย ....วิปากปัจจโย อาหารปัจจโย ...ในทางธรรมนั้น อาหารที่เรารับประทานเข้าไปยังไม่จัดว่าเป็นอาหารที่ถูกต้อง จะเรียกว่าเป็นอาหารได้ก็ต่อเมื่อได้มีการซึมซาบเข้าไปอุปการะให้ร่างกายเจริญเติบโต ส่วนนามอาหารก็คือ จิตและเจตสิกบางประเภท
โดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 01:54:15 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 6.....คำต่อไปคือ อารมณ์
...(ขอบอกว่า พี่ดอกแก้วได้อธิบายคำว่า อารมณ์ อยู่ประมาณ ๑๐ นาที
และก็เป็น ๑๐ นาทีที่ผู้ฟังตั้งใจฟังกันอย่างยิ่ง)
ที่เราพูดกันว่า อารมณ์ไม่ดีนั้น...เป็นคำพูดที่ผิด เป็นภาษาโลกที่ใช้กันผิดๆ
เพราะในภาษาธรรมนั้นไม่มีอารมณ์ดีหรือไม่ดี
..อารมณ์เป็นสิ่งที่มาปรากฏแก่จิต ให้จิตรับรู้ทางทวารต่างๆ
แต่เมื่อจิตรับรู้แล้วมีการตัดสินอารมณ์ตามมาด้วยตัณหา ด้วยโทสะ
ก็จึงกลายเป็นว่า อารมณ์นี้ดี อารมณ์นี้เสีย ตอนนี้ชอบ ตอนนี้โกรธ
..... แท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นกิเลสที่มาเป้นผู้ตัดสินเหล่านี้ต่างหากที่ไม่ดี
...แต่ละคนทราบไหมว่า
ในแต่ละวันนั้นอารมณ์เป็นบ่อเกิดแห่งการกระทำที่ทำให้เราต้องมีภพชาติเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เป็นเพราะเรามีตัณหาจึงทำให้เราตาหัน
คือหันไปตามที่ตัณหาสั่งมา เช่น ได้ยินว่าที่นั่นมีการแจกของให้ฟรีๆ
..ด้วยความชอบของฟรีที่มีอยู่ในใจ ก็ทำให้ตาของเราหันไปทางทิศนั้น
แล้วก็เดินเข้าไปด้วยความชอบ
หรือเวลาที่ เราไปเดินตามห้างสรรพสินค้า
แล้วได้ยินเสียงปรกาศว่าเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่งประกาศลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นชั่วโมงนี้
...เมื่อมีอารมณ์คือเสียงมากระทบแล้ว
ก็ไปกวนตัณหาที่อยู่ในใจมีปฏิกิริยาทำให้ตาของเราหันไปยังจุดขายสินค้านั้นด้วยความอยากได้
...สิ่งเหล่านี้ก็คือ อภิชฌา หรือโทมนัสที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ...
อันตัณหาลวงล่อให้ก่อเกิด
ตรองดูเถิดจับสิ่งชั่วตัวตัณหา
ถ้าจับเป็นก็จะเห็นอนัตตา
ว่าตัณหามันเป็นของให้หมองใจ
...จึงเป็นคำตอบที่จะตอบทุกท่านได้ว่า ใครให้คุณเกิด?
ก็คือตัวคุณเองน่ะแหละที่ลิขิตการเกิดของตนเอง
.... เพราะการกระทำกรรมเหล่านี้จะมาปรากฏในเวลใกล้ตาย
คือทำให้จิตจับอารมณ์นั้นไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น
ถ้าหากท่านเคยโลภมาก เคยคอรัปชั่นไว้มากมาย
พอถึงเวลาใกล้ตายเหตุการณ์ต่างๆนั้นได้ย้อนกลับมาให้ท่านระลึกได้
อารมณ์ของความโลภก็เข้าสู่มรณาสันกาลและเข้าสู่มรณาสันนวิถี
จิตจับอารมณ์ของความโลภไปเกิดเป็นเปรต
....หรือถ้าหากเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย
พอใกล้ตายแล้วพูดไม่ออกบอกใครไม่ได้
ก็จะเกิดความรู้สึกอึดอัด ที่ไม่มีใครเข้าใจในความต้องการ
..ความโกรธก็จะตามมา ถ้ามรณาสันนกาลรับอารมณ์นั้นไว้แล้วส่งต่อมรณาสันวิถี
บ้านที่แน่นอนของท่านมีอยู่เพียงหลังเดียว นั่นคือ นรก....
ขณะนี้อาจจะมีหลายๆท่านที่มีความสามรถเก่งเกินผู้อื่น
แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่เก่งเกินกรรม
เมื่อถึงคราวที่กรรมส่งผลก็ต้องรับผลของกรรมนั้น คือ วิบาก อย่างปฏิเสธไม่ได้
คนเราอาจจะเก่งเกินกันแต่ไม่เก่งเกินกรรม
และคนเราอาจจะใหญ่กว่ากันแต่ไม่ใหญ่กว่าโลง
แม้ท่านจะมีฐานะสูงส่งขนาดไหน ทรัพย์สินมากมายเพียงใด
เมื่อถึงคราวตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
แม้กระทั่งรูปถ่ายก็ต้องเป็นรูปของผู้ตายคนเดียวเท่านั้นที่วางไว้หน้าโลง
ถึงเราจะรักเขามากขนาดไหน
เราก็คงไม่ยอมให้รูปของเราไปวางไว้คู้กับรูปของผู้ตายคนนั้น
สมกับคำว่า....
เมื่อสิ้นลมล้มตายกลายเป็นศพ
ถึงจุดจบเกมชีวิตปิดฉากฉาย
นอนในโลงใบแคบๆโอบแนบกาย
ไม่มีสหาย ญาติ หรือทรัพย์ ไปกับเราโดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 02:06:24 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 7....ถนนชีวิตมีอยู่ ๗ สาย
สายที่หนึ่งก็คือ มีความโลภเข้าไปมากๆก็จะไปสู่ความเป็นเปรต
สายที่สอง ก็คือ มีความโกรธเข้าไปมากๆ ก็จะไปสู่ความเป็นสัตว์นรก
สายที่สาม ก็คือ มีความหลงงมงาย โง่อยู่ในชีวิตมากๆ ก้จะไปสู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
สายที่สี่ ก็คือ มีการถือศีล ๕ บำเพ็ญธรรม ๕ เรียกว่าเบญจศีลเบญจธรรม ถนนที่ไปก็คือ มนุษยภูมิ
สายที่ ๕ ก็คือ ต้องการความสุขสบาย ไปไหนมาไหนก็เหาะได้ตัวเบาหวิวเหมือนอย่างในภาพยนต์ทีวี
ก็บำเพ็ญทาน ศีล หิริโอตตัปปะ อยู่เสมอ ก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา
สายที่ ๖ ก็คือ การทำสมาธิบำเพ็ญฌานสมาบัติ ไปเกิดเป็นพรหม อรูปพรหม
ซึ่งทั้ง ๖ สายนี้ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นเอง
เพราะว่าชีวิตของเราตกอยู่ภายใต้คำบงการของตัณหา
มีความอยากได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่ได้ดังหวังก็กลายเป็นโทสะ
เมื่อสมหวังก็จะยิ่งยึดติดมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเราจะพ้นจากตัณหาไปได้อย่างไร
...เราก็ต้องมาศึกษาอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ประการที่ว่าด้วยเรื่องของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เพื่อไปยังถนนสายที่ ๗ คือ พระนิพพานให้ได้
เช่นเราเข้าใจว่า การได้รับประทานของอร่อยๆนั้นเป็นความสุข
แท้จริงแล้วเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
ถ้าหากเราค่อยๆพิจารณาดูแต่ละอาการในการกินว่า
... ต้องเอื้อมมือไปตัก....ตักแล้วต้องนำมาใส่ปาก
.....ใส่ปากแล้วต้องเคี้ยว.... เคี้ยวแล้วต้องกลืน...
กลืนแล้วต้องบดย่อย
การที่ต้องทำเหล่านี้ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
แต่เราไม่เท่าทันอาการของเขา
..การที่เราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
..วิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่การประดิดประดอยท่าทาง
หัดทำทางนอน ท่าเดิน ค่อยๆย่าง ค่อยๆเหยียบ
เพราะการนอนการเดินเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราทำเป็นแล้ว ...ไม่ต้องหัด
....แต่สิ่งที่จะต้องฝึกหัดก็คือ การรู้ว่าจะต้องทำท่าทางต่างๆเหล่านั้นเพราะอะไร
.... เช่นในขณะที่นั่งอยู่แล้วเกิดความเมื่อย
ก็ต้องรู้ว่าก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงจากท่านั่งเดิมไปสู้ท่านั่งใหม่หรือท่ายืน
ก็จะต้องรู้ว่าเป็นเพราะมีความทุกข์คือความเมื่อยเกิดขึ้นแล้ว
ไม่สามารถที่จะทนอยู่ในท่าเดิมได้ ต้องเปลี่ยนแปลงท่าเพื่อคลายทุกข์นั้นไป..
. อย่างนี้ก็คือการเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ที่ไม่ใช่เปลี่ยนท่าทางไปเพราะอยากเปลี่ยน
....และก็ต้องมีความรู้ถูกเรื่องรูปนามเข้ามากำหนดด้วย .....โดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 02:11:19 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 8ในวันนี้จึงขอย้อนกลับไปยังเรื่องที่ท่าน ดร.พระมหาไพเราะ
ได้เคยปาฐกถาไว้เมื่อคราวก่อนเกี่ยวกับเรื่องอนิมิต ๔ ประการ คือ
ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่?
..ในที่นี้มีใครทราบบ้างว่า ตนเองจะตายเมื่อไหร่ จะอยู่รอดพ้นคืนนี้ไปได้หรือเปล่า
ไม่รู้ว่าจะตายที่ไหน?
ใครทราบบ้างว่า เราจะตายที่บ้าน หรือโรงพยาบาล
ไม่รู้ว่าจะตายด้วยโรคอะไร?
ท่านเจ้าคุณศรีธรรมโสภณท่านก็คงไม่ทราบหรอกนะคะว่า
ท่านมรณภาพด้วยโรคอะไร แม้กระทั่งท่านพระอาจารย์บุญมี
ท่านพระครูศรีโชติญาณ ท่านก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันว่า ท่านตายด้วยโรคอะไร
ไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน?
ซึ่งก็คือถนนชีวิตสายต่างๆที่กล่าวมา แต่บอกไม่ได้ว่าจะเป็นสายไหน
เพราะเราไม่รู้เลยว่ากรรมชั่วอะไร หรือกรรมดีอะไรจะมาปรากฏเมื่อใกล้ตาย
เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะระมัดระวังในการกระทำกรรมให้ดี ด้วยการพยายามทำกรรมดีให้มีมากๆโดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 02:14:15 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 9
..จากนั้นพี่ดอกแก้วก็จบลงด้วยกลอนที่มีความหมายดีมากๆ
และยังกล่าวถวายกุศลแด่ท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมโสภณด้วยค่ะ
..เมื่อลงจากเก้าอี้แล้ว
โฆษกท่านก็ประกาศให้พี่ดอกแก้วไปรับของขวัญจากท่านเจ้าคุณพระเมธีธรรมาภรณ์
....ซึ่งป่านนี้น้องกิ๊ฟก็ยังไม่ทราบว่าภายในกล่องนั้นคืออะไร (อยากรู้จัง)
นี่แหละค่ะ ค่ำคืนนี้กับกุศลที่วัดสุวรรณาราม
นับว่าพี่ดอกแก้วของเราสามารถนำพระอภิธรรม
ออกสู่ประชาชนได้อย่างน่าภาคภูมิใจอีกแล้วนะคะ
....สั้นๆแต่กระชับความรู้และความรู้สึกอย่างตรงประเด็นทีเดียว ......โดย น้องกิ๊ฟ [7 มี.ค. 2546 , 02:16:21 น.] ( IP = 203.146.239.224 : : )
สลักธรรม 10
อ่านแล้ว ต้องอุทาน(ในใจ)อย่างชื่นชมว่า
โอ้โฮ้...น้องกิ๊ฟเก่งจัง
เพราะเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหน้ากระทู้นี้
คือเนื้อหาทั้งหมดที่ท่านอาจารย์บรรยายในคืนนั้น
จำได้ยังไงกันนี่ !
ยังนึกเลยว่า...ดีจัง
เพราะผู้ที่รับฟังอาจจะยังไม่เคยทราบเรื่องที่อาจารย์บรรยายมาก่อนเลย
อย่างที่น้องกิ๊ฟบอกนั่นแหละว่า ทุกคนตั้งใจฟังมาก
ตอนจบแล้วยังได้ยินเสียงอาจารย์บอกว่า
พบกันได้ที่มูลนิธิค่ะ
แสดงว่ามีคนสนใจอยากติดตาม
ต้องขอบคุณน้องกิ๊ฟที่แสนดี...มากๆ
..ที่ยอมอดหลับอดนอน มาป้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับพี่ๆ น้องๆ ทุกคน
และขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งนะคะ
สาธุ สาธุ สาธุโดย วยุรี [7 มี.ค. 2546 , 05:40:08 น.] ( IP = 203.113.38.12 : : )
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |