Moonlanithi |
Vipassana Meditation |
OnlineStudy thai english |
Article |
สำนักวิปัสสนา อ้อมน้อย |
กิจกรรม | About Us |
๚ ๛ โยนิโส..เป็นประโยชน์ต่อปัญญา ๚ ๛ 2
สลักธรรม 1อย่างนี้แหละ คือ เป็นความสุขที่ได้มา
อาจจะเข้าใจอย่างนี้
แต่ความจริง ถ้าคนที่เขาเห็นแล้วว่า
๚ ๛....... สัพเพ สังขารา ทุกขา .......๚ ๛
ความสุขอันนั้นก็เป็นสังขาร
เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ต้องอาศัยเราทำสมาธิ เมื่อเราปฏิบัติ ความสุขอันนั้นจึงเกิดขึ้น
๚ ๛..... สัพเพ สังขารา ทุกขา.....๚ ๛
สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วจากเหตุ จากปัจจัย
สิ่งนั้นต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อเรารู้แน่ รู้ตลอดไปหมดอย่างนี้ว่า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วต้องดับไปๆถ้าเข้าไปรู้จนถึงอย่างนี้แน่แล้ว เหตุไรกันเล่า
เราจะมานิยมชมชื่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง
ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ท่านผู้รู้ รู้อยู่แล้วเขาจะไปนิยมอะไรว่า
สิ่งนี้ดีจริง รูปร่างมันสวย
แต่ว่าใช้ไม่ทน ประเดี๋ยวก็แตก
เราจะชอบไหม? เราก็ไม่ชอบแล้ว
การที่เราชอบก็เพราะว่า เราเห็นว่า เป็นของดี เป็นของถาวร
แม้ว่า จะแพงสักหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะใช้ทนดี
เหมือนดังท่านปัญจวัคคีย์
พระพุทธเจ้าให้ดูรูปก็เห็นว่า... รูปไม่เที่ยง
ท่านให้ดูเวทนา....ก็เห็นว่าเวทนาไม่เที่ยง
ให้ดูสัญญาก็เห็นว่า.. สัญญาไม่เที่ยง
ท่านก็ชี้ให้ดู ท่านเข้าใจภาษากัน ท่านก็รู้ว่า
ดูรูป นั้นดูอะไร
ดู เวทนา นั้นดูอะไร
ดู สัญญา นั้นดูอะไร
เมื่อให้ดู สังขารขันธ์ ท่านก็ดู
ท่านก็รู้ว่า สังขารขันธ์นั้นลักษณะอย่างไร
มีอาการปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างไร
ท่านก็รู้ท่านก็ดู ท่านก็เห็นว่า ไม่เที่ยง
ให้ดูวิญญาณ วิญญาณขันธ์ท่านก็รู้ว่า
ให้ดูอะไรท่านก็ดู
ในอดีต ท่านมีปัญญาบารมีมาสร้างสมมา
ท่านเหล่านั้นจึงมีตัวกิเลสที่จะมาบังน้อยแล้ว
ไม่ใช่หนาเหมือนปุถุชน
คำว่า ปุถุชน แปลว่า กิเลสหนามากเหมือนแผ่นดิน
เพราะว่า กิเลสหนาเหมือนแผ่นดิน
จึงเรียกว่า ปุถุชน
ถ้าคนกิเลสมากแล้วไปบวชอยู่อย่างนั้นไม่ได้นานหรอกคะ
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร [19 มิ.ย. 2546 , 04:54:47 น.] ( IP = 203.107.212.26 : : )
สลักธรรม 2ท่านพระปัญจวัคคีย์
พยายามดูครบหมดแล้วทั้ง ๕ ขันธ์
ทั้งหมดแล้วในโลกนี้ก็มีแต่ขันธ์ ๕ เท่านั้น
ท่านก็ประกาศขึ้นมาว่า...
"ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง"
แปลความว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นต้องมีการดับไปเป็นธรรมดาทีเดียว
เห็นอย่างนี้ ก็ย่อมจะเกิดความหน่าย..ไม่ยินดีในอัตภาพ
แม้ว่า ความรักตัวจะมากที่สุดก็ตาม
ใครจะรักมากเท่ารักตัวเราเป็นไม่มี
เพราะว่าเรารักตัวเรา แล้วเราก็รักไปถึงคนอื่น
ที่มาเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา
เป็นอารมณ์ที่เป็นประโยชน์ให้ตัวเรามีความสุข
เมื่อเรารักใคร เราก็จะบำรุงคนนั้นให้มีความสุข
ไม่อยากให้เขาเดือดร้อน
ทีนี้ตัวของเรานี่เรารักมากที่สุด
ทุกอย่างที่เอามาบำรุงบำเรอ
เพื่อจะให้ร่างกายนี่มีความสุข
อารมณ์อะไรที่จะมาเป็นประโยชน์ให้เรามีความสุข เราก็รักอารมณ์นั้นด้วย
นี่คือธรรมชาติของชีวิตทั่วๆไป
ทีนี้เมื่อแลเห็นแล้วว่า ตัวเรานี่ไม่มีของดี
ชิวิตเป็นไป หรือเบญจขันธ์เป็นไปเพื่อความทุกข์ ต้องมีการปรุงแต่ง..ต้องแก้ไข
ธรรมดาสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ต้องดับ
ต้องฉิบหายไปเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จะไปยินดีอะไร
ความที่รักมั่นอยู่เป็นอุปาทานยึดมั่นอยู่ว่า
เป็นตัวเรา เป็นของเราก็คลายออกได้ด้วยเหตุนี้ค่ะ
ต้องรู้จริงอย่างนี้ถึงจะคลายออกได้
เพราะฉะนั้น ถ้าสมาธิแล้ว
ไม่สามารถจะเห็นว่า มันไม่เที่ยงได้
ทำไมจึงไม่เห็นเพราะว่า ตามธรรมดา
ถ้าจิตจ่ายไปในอารมณ์ที่หยาบ ๆ
มันเปลี่ยนไปช้า ๆก็อาจจะเห็นได้
ท่านกล่าวว่า ถ้าสันตตินี้สืบเนื่องอยู่อย่างไม่ขาด
สัตว์ทั้งหลายก็ยังไม่สามารถเห็นอนิจจังได้ค่ะโดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร [19 มิ.ย. 2546 , 05:04:38 น.] ( IP = 203.107.212.26 : : )
สลักธรรม 3ทีนี้ก็เวลาที่จิตอยู่ในสมาธิ อยู่ในอารมณ์เดียว
เกิดดับเร็วที่สุดอยู่ในอารมณ์นั้น
จนไม่สามารถจะเห็นว่า
อารมณ์นั้นมันไม่เที่ยงไงคะ
อุปมาได้เหมือนพัดลมที่เปิดอยู่
ถ้าหมุนเร็วๆก็จะไม่เห็น ไม่รู้ว่าใบพัดลมมีกี่อัน
และรูปร่างเป็นอย่างไรก็ไม่เห็นเลย
ถ้าหมุนช้าก็เห็นได้ว่า มี ๓ อัน เพราะว่า
จังหวะที่ขาดว่างของมัน จะมาตัดให้เห็นได้ว่า
เป็นคนละอัน
เพราะความที่มันหมุนเร็วเหลือเกิน
เราก็ไม่เห็นมันได้
เพราะมันนิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นสมาธิจึงรู้ยากมาก
คือ จะไปเห็นจิตที่เป็นสมาธิว่ามันเกิดแล้วมันดับ
ไปนี่ ไม่มีหวังเลยคะ
ต้องเป็นคนที่มีปัญญาเฉียบแหลม
สามารถได้ "้ฌาน" และสามารถจะทำ"วสี" ในฌาน ให้คล่องแคล่วก็อาจจะยกองค์ฌานขึ้นเพ่ง
ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้เอาจิตขึ้นเพ่งนะคะ
เขาเององค์ฌานขึ้นมาเพ่ง
อย่างนี้ก็อาจสามารถที่จะเห็นได้ค่ะ
อย่างของพวกเราๆนี่
เพียงแต่ทำสมาธิให้จิตเข้าถึงฌาน
ก็ยังทำไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น เวลามีสมาธิเข้าก็ไม่รู้ว่าอะไร
ก็ดูจิตไปเฉย...
จิตจะเที่ยงหรือไม่เที่ยงก็ไม่มีรู้หรอก
เพราะฉะนั้น จึงห้ามว่า ถ้าสมาธิเข้ามากแล้ว
ก็จะปิดความจริงอันเป็นอารมณ์ของปัญญา
จะต้องให้ สมาธิเป็นไปร่วมกับอารมณ์ของปัญญา
ที่ได้ปัจจุบัน
และในที่นั้น มีศีล มีสมาธิ และปัญญา
ก็มีในที่เดียวกันจึงจะเกิดได้คะ
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร [19 มิ.ย. 2546 , 05:16:02 น.] ( IP = 203.107.212.26 : : )
สลักธรรม 4ถ้าไปทำสมาธิเสียก่อน ก็จะนิ่งไปใช้ไม่ได้
พอจะยกขึ้นสู่ปัญญา นั่งประเดี๋ยวเดียว
ความนิ่งก็เข้า
พอลุกขึ้นเดิน เดินไปหน่อยสมาธิก็เข้า
เดินเรื่อยไม่เหนื่อย เวลาเดินใจก็นิ่ง
ไม่ออกมาดูให้รู้ว่ารูปอะไร เวลานั้นก็ไม่รู้สึก
ไม่มีรูป ไม่มีนาม ความนิ่งก็ไม่เป็นปัจจัยแก่ปัญญา
เพราะฉะนั้น จะต้องใช้ความสังเกตมากที่สุดเลย
ใช้ความสังเกตมากแล้วก็ยังต้องระวังความรู้สึก
อย่าให้มันตกไปในอารมณ์ที่เป็นปัจจัยแก่กิเลส
ถ้าเราตกไปในอารมณ์ที่เป็นปัจจัย
แก่กิเลสแล้ว ปัญญาก็เกิดไม่ได้
เป็นโอกาสของกิเลส เกิดขึ้น
คือของอกุศลเกิด ..แต่กุศลไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น
เพราะอย่างนี้ จึงได้บอกว่า
ต้องระวัง ขอให้ได้อารมณ์ปัจจุบัน
แล้วต้องความรู้สึกว่า เป็นรูป กับเป็นนาม
ต้องมีอยู่เสมอ
ถ้าจะรู้ไปนิ่งๆ อย่างนั้น แต่ว่า..ตัวดูอะไรเวลานั้น
รู้ไหมว่า.. ดูรูปอะไร
หรือดูนามอะไรไม่รู้
ถ้า รู้แต่นิ่ง มันนิ่งไปเฉยๆ อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้
เพราะอารมณ์นี้เป็นสมาธิ
ไม่ใช่เป็นอารมณ์ของปัญญา
แล้วก็ไม่มี นาม ไม่มี รูปมารับรอง
นิ่งเฉยๆ ไม่รู้ว่าเป็นนามเป็นรูป
ขอให้สังเกตต้องคอยดูว่า
อ้อ...อันนี้ไม่ใช่ ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่
ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
ถ้าใช่แล้วจะต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นทีเดียว
จะต้องรู้สึกว่า เวลานี้ตัวกำลังทำอะไรอยู่
ตัวดูอะไรอยู่ ต้องรู้สึกอย่างนั้น
ถ้าไม่รู้สึก ดูเฉยๆ สติสัมปชัญญะไม่มีกำลัง พออารมณ์อะไรผ่านมานิดเดียว
แพล็บเดียวจะตกใจ คล้ายๆ กับใจหายวาบไปเลยก็มีนะคะ
บางทีนึกกลัวไปต่างๆนานา
สำหรับเรื่องการ รู้สึก และต้องระวัง
อย่าให้จิตตกไปจาก รูป จากนาม
ที่ได้นำเสนอท่านมานี้ก็คงเหมาะแก่เวลา
และความสามารถของท่านแล้วนะคะ
อย่าไปอยากได้..ฟังมากๆ...อ่านมากๆ
โดยขาดความเข้าใจเลยคะ
สู้ฟังน้อยแต่เข้าใจจริงๆ
ก็สามารถนำไปใช้ได้จริงเช่นกันนะคะ
.....พบกันใหม่ครั้งต่อไปนะคะ....
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร [19 มิ.ย. 2546 , 05:35:31 น.] ( IP = 203.107.203.96 : : )
สลักธรรม 5กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์บุษกรมากค่ะ ความสังเกตนี้เป็นสิ่งสำคัญจริงๆค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่ายค่ะและชอบการอุปมาเวลาที่จิตอยู่ในสมาธิ อยู่ในอารมณ์เดียว เกิดดับเร็วที่สุดอยู่ในอารมณ์นั้น
จนไม่สามารถจะเห็นว่า อารมณ์นั้นมันไม่เที่ยง
อุปมาได้เหมือนพัดลมที่เปิดอยู่ ถ้าหมุนเร็วๆก็จะไม่เห็น ไม่รู้ว่าใบพัดลมมีกี่อัน และรูปร่างเป็นอย่างไรก็ไม่เห็นเลย
เพราะหลายท่านมักคิดว่าวันนี้ปฏิบัติได้ดีเพราะจิตสงบ ถ้าได้อ่านโยนิโส..เป็นประโยชน์ต่อปัญญาของท่านอาจารย์แล้วจะเข้าใจดีว่าเพราะขาดการสังเกต ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพรักอย่างสูงค่ะ
โดย เล็ก [19 มิ.ย. 2546 , 10:04:02 น.] ( IP = 203.144.174.37 : : )
สลักธรรม 6ค่อยๆอ่านอย่างช้าๆชัดๆ ..เพื่อทำความเข้าใจในภาพรวมของคำว่าปุถุชน..... และการแจกแจงถึงสมาธิ..ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ .....แล้วยังพลอยทำให้การเจริญวิปัสสนาไม่บังเกิดผล ......
....มีความเข้าใจเกิดขึ้นมากตามความสามารถที่จะทำความเข้าใจได้ค่ะ.... และก็รู้ค่อนข้างสบายใจที่ไม่มีปัญหาเรื่อง..นิ่งไปเฉยๆ..ในขณะกำหนดรูปนาม ...
....กราบขอบพระคุณที่กรุณามาเสริมพื้นฐานให้มั่นคงยิ่งขึ้นค่ะ.....โดย น้องกิ๊ฟ [19 มิ.ย. 2546 , 10:19:43 น.] ( IP = 202.183.178.226 : : )
สลักธรรม 7
กราบขอบพระคุณอาจารย์บุษกรมากค่ะ
เรื่องโยนิโสมนสิการ นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ นะคะ
ตั้งใจอ่านช้า สองรอบแล้ว
ก็รู้สึกว่ามีคำถามอยู่ในใจ แต่ก็ยังถามไม่ถูกเหมือนกัน รอไปอ่านทวน อีก ๕ รอบก่อนนะคะ
โดย พี่ดา [19 มิ.ย. 2546 , 10:28:59 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.98 )
สลักธรรม 8มาเข้าห้องเรียนแล้วค่ะ
คราวนี้เหมือน Posttest เลยนะคะ เพราะจะได้ทำความเข้าใจอีกครั้งหลังเข้าห้องสอบไปแล้ว
โดยเฉพาะเรื่องการ รู้สึก และจะต้องระวัง
อย่าให้จิตตกไปจาก รูป จากนาม นี่คงต้องให้ความพิเศษจริงๆค่ะ
ขอสอบซ่อมแล้วกันนะคะคุณครูโดย น้องอุ๊ [19 มิ.ย. 2546 , 11:32:09 น.] ( IP = 202.28.169.165 : : unknown )
สลักธรรม 9
เปิดเข้ามา พบเรื่องนี้พอดี
ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 1 ก่อน แล้วจึงกลับมาอ่านต่อตอนนี้ ...ต่อ
คิดว่า จะต้องอ่านซ้ำอีกอย่างแน่นอน
กราบขอบพระคุณมากค่ะ อาจารย์บุษกรที่เมตตาให้หลักสำคัญๆ ในการปฏิบัติ
อ่านแล้วทำให้นึกถึงธรรมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญญา(วิปัสสนาปัญญา) ที่กล่าวถึง
1. ปรโตโฆสะ
2. โยนิโสมนสิการ
ซึ่งเป็นเรื่องที่ที่ท่านอาจารย์กำลังนำเสนออยู่นี้
.
ประการสำคัญที่ท่านอาจารย์ย้ำให้พวกเราได้ตระหนักคือ ความเข้าใจ
.ทำให้นึกถึงคำถามที่หลวงพ่อแสวงถามบ่อยๆ ว่า
สูงสุดของปริยัติคืออะไร
คือ ความเข้าใจ...ไม่เช่นนั้นเราก็ปฏิบัติไม่ถูก
ความละเอียดที่ท่านอาจารย์พยายามถ่ายทอด เพื่อให้เกิดความเข้าใจนั้น
ทำให้ดูเหมือนว่า ที่ผ่านๆ มา....เราเรียน และทำความเข้าใจแบบกว้างๆ
แต่มาตอนนี้ เหมือนเป็นการตัดสินใจเลือกเฉพาะทาง.แล้ว
และเป็นทางสายเอก ที่จะทำให้ชีวิตพ้นทุกข์ด้วย
ความลึกของเนื้อหา ความละเอียด ความรอบคอบของการปฏิบัติจึงมีมากกว่าเมื่อก่อน
ทำให้สามารถตรวจได้ทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
เช่น
ความรู้สึกนิ่งเฉยๆ ขณะปฏิบัติ เป็นเพราะอะไร
ถูก หรือ ผิด
เป็นต้น
เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อพวกเราที่กำลังใช้เวลาปฏิบัติในแต่ละวันอยู่ในขณะนี้
ต้องกราบขอบพระคุณอีกครั้ง ในความเอื้ออาทรที่มีให้กับศิษย์.
ทำให้เป็นแรงกระตุ้นใจ และใส่ใจกับการปฏิบัติมากขึ้นกว่าเดิม...ค่ะ
โดย วยุรี [19 มิ.ย. 2546 , 11:33:33 น.] ( IP = 203.113.39.10 : : )
สลักธรรม 10กราบขอบพระคุณอาจารย์บุษกรมากค่ะ
จะไปสังเกตขณะปฏิบัติว่า รู้นิ่งๆ ไป หรือ
ได้อารมณ์ปัจจุบัน รู้สึกว่าเป็นรูป, เป็นนามโดย เซิ่น [19 มิ.ย. 2546 , 19:17:14 น.] ( IP = 169.210.26.174 : : )
ขอเชิญแสดงความคิดเห็น คำเตือน
- การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
- หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด
ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล |
[ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ] |
ลานภาพ |
ค้นหา |
สร้างสรรค์โดย http://www.abhidhamonline.org |