มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ

Moonlanithi Vipassana
Meditation
OnlineStudy
thai    english
Article สำนักวิปัสสนา
อ้อมน้อย
กิจกรรม About Us

[ Home ] [ ลานถาม-ตอบปัญหาธรรมะ ] [ ลานกวีธรรม ] [ ลานคิด เล่า เขียน ] [ ลานกลิ่นดอกแก้ว ] [ ค้นหากระทู้ ] [ สมัครสมาชิก ] [ login เข้าระบบ ]


ธรรมะห้องเสือพิทักษ์..๒๐ ก.ค.๔๖





ถามว่า พุทโธคืออะไร ได้มาอย่างไร
ตอบ พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กว่าจะได้มาพระองค์ต้องใช้ชีวิตถึง ๔ อสงไขยแสนมหากัปป์
ตอนสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไม่มีคำว่าพุทโธ


ถามว่า ทางที่ควรดำเนินคืออะไร
ตอบ ทางที่ควรดำเนินคือทางที่ถูก ทางที่เดินไปแล้วบัณฑิตไม่ติเตียน ทางที่ดำเนินไปแล้วไม่ทำลายชีวิตตนเองให้ตกต่ำ ทางที่ดำเนินไปแล้วยกภูมิธรรมของจิตให้ผลิตมากขึ้น ทางที่ดำเนินไปแล้วประเสริฐจึงเกิดมรรคผลนิพพานให้กับตนเอง คือ สิ้นสุดทุกข์โดยถาวร

ถามว่า ทางที่ไม่ควรดำเนินคืออะไร
ตอบ ทางที่เดินไปแล้วบัณฑิตติเตียน ทางที่เดินไปแล้วเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ทางที่เดินไปแล้วชีวิตตกต่ำและเวียนว่ายตายเกิด

สรุปก็คือ กุศล เป็นทางที่ควรกระทำ และควรเลือกกระทำกุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญา
อกุศล เป็นทางที่ไม่ควรกระทำเลย เพราะการกระทำนั้น ประกอบไปด้วยความเห็นผิดมีมิจฉาทิฏฐิประกอบอยู่


ถามว่า พอท่านอาจารย์ได้เงินมาปุ๊บก็ทำทานทันทีเลย กับได้เงินมาแล้วเราเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยทำทีหลังจะมีผลแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ เป็นอสังขาริกกับสสังขาริก แต่ก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยผู้นั้นในการทำอสังขาริกนี้ การกระทำนั้นต้องมีเหตุปัจจัยหลาย ๆ เหตุ บางท่านรับมาแล้วแต่ยังไม่มีเป้าหมายที่ดีกว่านี้จะทำก็เก็บเอาไว้ เพื่อมีเจตนาที่จะทำในกุศลที่สูงกว่านั้นก็อย่างหนึ่ง มิใช่ได้ทันทีทำทันที อันนี้เขาพร้อม เพราะเหตุปัจจัยของเขาพร้อม พอได้เงินมาปุ๊บก็ทำทันที

โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 18:51:25 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 ) เก็บกระทู้นี้ไว้ใน Bookmarkส่งกระทู้นี้ให้เพื่อนของคุณ
[ 1 ] [ 2 ][ 3 ]


  สลักธรรม 1

ถามว่า ทิฏฐุชุกรรมในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ กับสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค ๘ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ เหมือนกัน แต่พูดกันคนละความหมาย
ถ้าพูดถึงองค์ธรรม .....องค์ธรรมของ ทิฏฐุชุกรรม คือ มหากุศล ๘
.....องค์ธรรมของ สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเจตสิก
แต่ในทิฏฐุชุกรรม ก็มีทาน ศีล ภาวนา
ภาวนาในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หมายถึงกุศลจิต ซึ่งเป็นบาทเบื้องต้น นำไปสู่สัมมาทิฏฐิได้
ภาวนาที่เป็นสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค และเป็นชื่อของเจตสิกในองค์มรรคคือ ปัญญาเจตสิก ที่กำหนดรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม


บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทาน ศีล ภาวนา
ทาน คือการให้ ย่อมต้องประกอบไปด้วยปัจจัย ๔ อย่าง คือ

๑. เจตนาทาน   ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศลจิต ๘ อันเป็นเหตุให้ทาน
๒. วัตถุทาน   ได้แก่ ปัจจัย ๔ ที่เป็นไทยธรรม
๓. อโลภทาน   ได้แก่ อโลภเจตสิกที่ประกอบกับเจตนาเจตสิกอันเป็นเหตุแห่งการทำทาน
๔. วิรตีทาน   ได้แก่ วิรตี ๓ ที่มีการเว้นจากทุจริตกรรมอันเป็นอภัยทาน

ถามว่า ลักขณาทิจตุกะของทานมีอะไรบ้าง
ตอบ ๑. มีการบริจาคทาน          เป็น ลักษณะ
๒. มีการทำลายความโลภ    เป็น กิจ
๓. มีความไพบูลย์ในภพชาติและพ้นจากภพชาติ  เป็นผล
๔. มีความศรัทธาเลื่อมใส     เป็นเหตุใกล้

โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 18:54:03 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


  สลักธรรม 2

บุญเหล่าใดก็ตามแม้จะหว่านลงไปเล็กน้อยแม้เท่าเมล็ดโพธิ์ดูเล็กนิดเดียว
แต่เมื่อเจริญเติบโตแล้วก็แตกกิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาต่อไป ฉะนั้นอย่าไปดูถูกทาน


ปฏิเขปทาน (ปฏิเขปธรรม)  คือ ธรรมที่ถูกทำลายไปด้วยทาน คือโลภะถูกทำลายไป
อนุญาตธรรม   คือ ธรรมที่ได้รับอนุญาตจากทานกุศลให้เกิด คือ อโลภะ (ทำลายโลภะไปอนุญาตให้อโลภะเกิด)
อุปาเทตธรรม คือ ธรรมที่ตั้งมั่นในสัมมาทิฏฐิ

ถามว่า ศีลคืออะไร
ตอบ คำอธิบายในพระพุทธพจน์ท่านได้ขยายไว้ว่า
  • ธรรมชาติใดย่อมกระทำให้กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี ตั้งไว้ด้วยดี ธรรมชาตินั้นเรียกว่า ศีล
  • ธรรมชาติใดที่ทรงไว้ซึ่งกุศลธรรมมี ศีล สมาธิ ปัญญา มีวิมุติ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า ศีล ได้แก่เจตนาเจตสิก

    เจตนา  คือ การกระทำให้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ให้มีการเคลื่อนไหวทางวาจาที่ดีไม่ให้อกุศลเกิด
    ทานเจตนา  คือ เจตนาที่เกี่ยวกับการบริจาคทาน
    ศีลเจตนา   คือ เจตนาที่เกี่ยวกับการรักษาศีล
    สมาธิ ปัญญา และมรรคผล  ย่อมต้องอาศัยศีล จึงจะมีเกิดขึ้นได้

  • โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 18:55:53 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 3


    ถามว่า ประเภทแห่งศีลมีเท่าไร
    ตอบ มี ๔ ประเภท คือ

    ๑. ภิกขุศีล  คือ ผู้รักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ตามในพระปาฏิโมกข์
    ๒. ภิกขุณีศีล  คือ ผู้รักษาศีล ๓๑๑ ข้อ ตามในพระปาฏิโมกข์
    ๓. สามเณรศีล  คือ ผู้รักษาศีล ๑๐ ข้อ ตามในพระปาฏิโมกข์
    ข้อ ๑ - ๓ ไม่ต้องสมาทานศีลแล้ว หมายความว่า ทำพิธีบวชพอสำเร็จเป็นพระแล้ว ไม่ต้องสมาทานอีก

    ๔. คฤหัสถ์ศีล   คือ ผู้รักษาศีล ๕ เป็นศีลของผู้ครองเรือน ต้องมีการสมาทานโดยเฉพาะ

    ถามว่า วิรัติ ๓ มีอะไรบ้าง
    ตอบ ๑. สัมปติวิรัติ คือ การงดเว้นจากปาณาติบาตแก่ผู้ไม่ได้สมาทานสิกขาบท มีอารมณ์อันมาเป็นที่พึ่งเว้นมาปรากฏเฉพาะหน้า องค์ธรรมได้แก่ วิรตี ๓ ที่ประกอบกับมหากุศลจิต ๘
    ๒. สมาทานวิรัติ คือ การงดเว้นของผู้สมาทานสิกขาบท ตั้งแต่เวลาสมาทาน จนถึงกำหนดที่ตั้งจิตสมาทาน
    ๓.สมุทเฉทวิรัติ คือ การงดเว้นโดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นศีลของพระอริยบุคคล (ผู้มีรากฐานของสติปัฏฐาน ๔)

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 18:58:19 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 4


    ถามว่า ศีลมี ๒ อย่าง คืออะไรบ้าง?
    ตอบ ๑. ปรันตศีล คือ ยอมให้ศีลขาดเมื่อมีเหตุปัจจัย เช่น งูเห่าแผ่แม่เบี้ยจะกัดเรา เราก็ตีงูก่อน

    ๒. อปรันตศีล คือ ไม่ยอมให้ศีลขาดแม้ตัวจะตายก็ยอม (ศีลของพระอริยบุคคล)

    ฉะนั้น วิสุทธิศีลต้องใจเด็ด ต้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เดินไป เดินไป ด้วยความมั่นใจว่า พ้นทุกข์เท่านั้นพ้นทุกเรื่อง ด้วยการมี"อำนาจใจ*คือ
  • ฉันทะ คือ มีความพอใจสิ่งเดียวคือ พระนิพพาน
  • วิริยะ คือ มุ่งต่อสิ่งเดียว คือ พระนิพพาน
  • จิตตะ คือ มุ่งต่อสิ่งเดียว คือ พระนิพพาน
  • วิมังสา คือ มุ่งต่อสิ่งเดียว คือพระนิพพาน
    หัดเป็นคนรักเดียวใจเดียว บอกกับตัวเองว่า**ที่สุดของชีวิตเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าพระนิพพาน**
    ให้ความเข้มข้นเลือดในหัวใจทั้งหมดให้พระนิพพานไป แต่สิ่งที่อยู่ในชีวิตเรา..วิบากต่างๆ ที่มันมารุมต้องมีสติให้มาก
    แก้ไขด้วยปัญญา ตั้งฉันทะไว้ "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ"


    ถามว่า ภาวนาคืออะไร
    ตอบ ธรรมชาติใดทำให้กุศลที่ประเสริฐเกิดขึ้นครั้งแรกและทำให้เจริญขึ้น ธรรมเหล่านั้น เรียกว่า ภาวนา
    ถ้าเป็นสมถกุศล ก็เป็นโลกียทั้งหมด จึงไม่พ้นทุกข์
    ถ้าเป็นวิปัสสนากรรมฐานมีโอกาสถึงกุศลจิตที่เป็นโลกุตตระ
    ภาวนาเป็นเหตุให้เกิด ปฏิเขปธรรม อนุญาตธรรม และอุปาเทตปธรรม เช่นเดียวกับ ทาน คือ ขับไล่โลภะ อันเชิญอโลภะ และตั้งมั่นเป็นสัมมาทิฏฐิ

  • โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 18:59:58 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 5


    ถามว่า ลักขณาทิจตุกของภาวนา
    ตอบ ๑. มีการกระทำกุศลให้เจริญขึ้น   เป็นลักษณะ

    ๒. มีการปหาณอกุศล          เป็นกิจ
    ๓. มีการเข้ามาสู่การปฏิบัติเกี่ยวกับสติของรูปนาม   เป็นผลปรากฏ
    ๔. มีการใส่ใจในอารมณ์       เป็นเหตุใกล้


    การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือการเจริญสติปัฏฐานหรือเจริญปัญญา
    อันดับแรกคือ ต้องศึกษาให้เข้าใจ
    เพราะ
    การศึกษาเป็นครูของความเข้าใจ
    และ
    ความเข้าใจเป็นครูของการปฏิบัติ

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 19:01:04 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 6


    ถามว่า การปฏิบัติวิปัสสนาทำอย่างไร? วิปัสสนาใช้อะไรเป็นอารมณ์? อารมณ์อะไร ที่ใช้ในการทำวิปัสสนา ?
    ตอบ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจทั้ง ๓ อย่างนี้ อาจปฏิบัติผิดได้ และเสียเวลาไปเปล่า ๆ และนอกจากเสียเวลาแล้ว ยังเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจผิดให้กับตนเองเข้าไปอีก
    ฉะนั้น การรู้ผิด การเข้าใจผิด ยึดมั่นในทางผิดจึงเป็นภัยของชีวิต

    ๑. วิปัสสนาต้องทำให้ถูกตามเหตุตามผล
    ๒. วิปัสสนาใช้รูปนามเป็นอารมณ์
    ๓. ใช้อารมณ์ปัจจุบัน

    รูปนามเป็นของมีจริง มีสภาวไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ซึ่งพิสูจน์ได้ตลอดเวลา ไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา
    เช่น ทางโสตทวาร .......
    เสียง เป็น รูป     ได้ยิน เป็น นาม
    เมื่อเสียงเกิดขึ้น การได้ยินก็เกิดขึ้น
    เมื่อเสียงดับ การได้ยินก็ดับด้วย
    เช่น เอามือตีโต๊ะ มีเสียงเกิดขึ้น แล้วก็มีการได้ยินเกิดขึ้น
    เมื่อเสียงดับ การได้ยินก็ดับ



    ฉะนั้น ความดับลง หรือความหยุด หรือความไม่ต่อ
    ตรงนี้เรียกว่า อนิจจังก็ได้ ทุกขังก็ได้ อนัตตา
    ก็ได้
    รูปนามมีอยู่ทุก ๆ ทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    จึงไม่ต้องไปหาอย่างอื่นอีกเลย


    ถามว่า เมื่อเวลากำหนดทางทวารไหน ทวารนั้นก็มีรูปนามอยู่แล้ว แล้วจะกำหนดอย่างไร?
    ตอบ ต้องศึกษาให้รู้ว่า ทวารไหนกำหนดอย่างไร
    และ ควรกำหนดเฉพาะที่มันทำให้ชีวิตนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง (วิปลาส) เช่น
    ทางตา คลื่นแสง เป็น รูป   การเห็น เป็น นาม
    ความโง่อยู่ที่หลงว่า เราเห็น


    ดังนั้น ในแต่ละทวารต้องรู้ว่า โง่อยู่ตรงไหน ตรงหลงว่าเราเห็น
    อนุสัยกิเลสที่เราชอบไว้ ก็เอาโลภะเข้ามาตัดสิน ที่ไม่ชอบก็เอาโทสะมาตัดสิน

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 19:02:33 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 7


    ถามว่า ทำไมมันมีโลภะ โทสะ?
    ตอบ เพราะมีโมหะ (โง่เอง) แท้จริงมันดับไปแล้ว
    แต่เราไม่ทันการเกิดดับ จึงหลงฟั่นเฟือนไป ดังนั้น จึงต้องกำหนดนามเห็น


    ถามว่า แล้วทางลิ้นกำหนดอย่างไร ?
    ตอบ พริกเผ็ด ไม่ใช่เราเผ็ด เอาพริกไปให้คนอื่นกัดก็เผ็ดเหมือนกัน
    ฉะนั้น พริกเผ็ด แต่เราโง่หลงว่าเราเผ็ด
    ฉะนั้น เวลาเผ็ดเกิดขึ้น ต้องกำหนดรูปเผ็ด เพื่อกำจัดโง่ออกไป เมื่อโง่หมด ก็หมดโง่


    ถามว่า เหตุที่ต้องใช้รูปนามเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อทำลายอะไร?
    ตอบ ทำลายสักกายทิฏฐิ (รื้อสัญญา คือ เรา ละสังโยชน์ คือ เครื่องร้อยรัด) คือความเห็นผิดในรูปนามว่าเป็นตัวตน
    เมื่อความเห็นผิดออกไป ความเห็นถูกจึงเกิดขึ้นได้

    ....ในที่มืด...นึกให้สว่าง...ก็สว่างไม่ได้...
    ความเห็นถูกเปรียบเหมือนแสงสว่าง ในที่มืด หากไม่เปิดไฟ ก็จะสว่างไม่ได้


    เมื่อมีไฟเกิดขึ้นมาก่อน ความมืดจึงถูกทำลายไปด้วยความสว่าง
    ฉะนั้น ต้องเอาปัญญามาทำลายความโง่ออกไป อยู่ดี ๆ ให้โง่ออกไปไม่ได้ฉันใดฉันนั้น


    ถามว่า เกี่ยวกับอารมณ์วิปัสสนาใช้อารมณ์อะไร?
    ตอบ ใช้อารมณ์ปัจจุบัน เพราะ อารมณ์ปัจจุบัน ....ทำลายอภิชฌาและโทมนัสได้สิ้นเชิง
    อดีตอารมณ์ อนาคตอารมณ์ทำลายอภิชฌาและโทมนัสไม่ได้ เพราะ
    อดีตอารมณ์ก็ดี อนาคตอารมณ์ก็ดีเป็นที่อาศัยของความยินดียินร้าย จึงต้องระวัง อย่าให้จิตตกไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตเด็ดขาด

    เช่น อดีตอารมณ์ ... เราเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะเราทุกข์ (ยินร้าย) ไม่ยินดีในทุกข์
    อนาคตอารมณ์ .... เมื่อเปลี่ยนแล้วสบาย อภิชฌาเกิด


    ถามว่า สิ่งสำคัญที่ต้องใช้ในการประกอบจิตเพื่อให้ได้อารมณ์ปัจจุบันคืออะไร?
    ตอบ ความรู้สึกตัว ในที่นี้คือ สติสัมปัชชัญญะ เพราะทำให้เกิดปัจจุบัน

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 19:04:54 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 8


    ถามว่า วิปัสสนาคืออะไร?
    ตอบ วิปัสสนาเป็นชื่อของปัญญาที่เข้าไปรู้แจ้งว่า รูปนามไม่เที่ยง รูปนามเป็นทุกข์ รูปนามเป็นอนัตตา
    ถ้าไม่มีรูปนามเป็นอารมณ์ การปฏิบัตินั้น ๆ ก็ไม่ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติวิปัสสนา


    ถามว่า แล้วทำอย่างไร? จึงเรียกว่าทำวิปัสสนา
    ตอบ ทำปัญญาให้เกิด หรือรู้ว่ารูปนาม รูปนามเป็นทุกข์ รูปนามบังคับบัญชาไม่ได้

    ถามว่า ทำปัญญาให้เกิดหมายถึงอะไร ?
    ตอบ การทำความรู้จริง โดยต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ คือ วางใจให้แยบคาย
    เช่น พระพุทธเจ้าสอนพระปัญจวัคคีย์ว่า รูปํอนตตา รูปไม่ใช่ตัวตน ที่จะยึดว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
    ถ้ารูปนี้เป็นอัตตา เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของของเรา และเป็นของของเราจริง ๆ
    รูปนี้จะไม่เป็นไปเพื่อความอาพาธ คือป่วย ไม่เป็นไปเพื่อความแก่ และไม่เป็นไปเพื่อความตาย
    แต่รูปนี้เป็นไปเพื่อความอาพาธ เป็นไปเพื่อความป่วย เป็นไปเพื่อความชรา
    และเป็นไปเพื่อความตายในที่สุด ห้ามไม่ได้
    ขอให้สุขไม่ได้ ขอให้เที่ยงไม่ได้ เป็นไปตามความต้องการของเราไม่ได้ รูปนี้จึงเป็นอนัตตา


    แม้เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นไปเช่นนี้เหมือนกัน


    ถามว่า การทำวิปัสสนาแล้วเห็นอะไร
    ตอบ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ถามว่า จิตมีลักษณะเหมือนอะไร
    ตอบ เหมือนลิง สัญชาตญาณลิงไม่เชื่อง อยู่ไม่สุข เพราะฉะนั้น ชีวิตจึงไม่สุข
    ฉะนั้นจึงต้องฝึกให้เชื่อง เอาเชือกมาผูกไว้ให้ไปทำงานเฉพาะที่ที่ควรไป ไม่ที่รูปก็ที่นาม

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 19:07:57 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 9


    ถามว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากการเห็นรูป เห็นนามแล้วได้อะไร
    ตอบ ได้การเห็นแจ้งในรูปนั้น ในนามนั้น

    ถามว่า ความเห็นแจ้งทำให้ได้รับอะไร
    ตอบ รับความไม่วิปลาส
    วิปลาสมี ๔ คือ

    ๑. อัตตวิปลาส เห็นความเป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา คือเห็นเป็นตัวเราเป็นของของเรา
    ๒. นิจจวิปลาส เห็นว่าเที่ยง เห็นว่ามั่นคง เห็นว่าไม่ผันแปร
    ๓. สุขวิปลาส เห็นว่าเป็นของดี น่าใคร่ น่าพอใจ
    ๔. สุภวิปลาส เห็นว่าสวย น่ารัก น่าทนุถนอม แท้จริงชีวิตนั้นเป็นอสุภทั้งสิ้น


    วิปลาส ๔ นี้เกี่ยวโยงกันเป็นลูกโซ่ คือ
    เมื่อเห็นว่าเป็นตัวตน ก็เห็นว่าเที่ยง
    เมื่อทุกอย่างเที่ยงแล้ว ความสุขวิปลาสก็เกิดขึ้น
    ความสวยงามก็เกิดตามมา ความสวยงามทำให้เกิดความสุข
    ทำให้เกิดความเคล้าคลึงในความรู้สึกนั้นในสิ่งที่เป็น อัตตวิปลาส

    ฉะนั้นการที่จะทำลายวิปลาสธรรมได้ต้อง....ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน....




    ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
    ฟูฟู และ พี่ดา

    โดย ฟูฟูและพี่ดา [22 ก.ค. 2546 , 19:09:59 น.] ( IP = 158.108.2.2 : : 158.108.12.229 )


      สลักธรรม 10

    แสนปลื้มใจในฟูฟูคู่พี่ดา
    ที่อุส่าห์นำความตามมาลง…


    เก่งจริงๆเลยขอบอก
    และขออนุโมทนาสาธุครับผม



    โดย พี่เณร [22 ก.ค. 2546 , 20:15:13 น.] ( IP = 203.107.205.81 : : )
    [ 1 ] [ 2 ][ 3 ]

    ขอเชิญแสดงความคิดเห็น
    จาก : *
    Code :
    กรุณากรอก Code ตัวเลขด้านบน *
    อีเมล์ : หากไม่ต้องการให้เว้นว่าง
    รูปภาพ : ไม่เกิน 150KB
    รายละเอียด :
    Icon Toy
    Special command

    * *
    กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียว.... 

    คำเตือน
    • การแอบอ้างใช้ชื่อบุคคลซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
    • การโพสรูปภาพที่ไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ อาจถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้
    • หากพบเห็นรูปภาพหรือกระทู้ที่ไม่เหมาะสมสามารถเมล์เข้ามาได้ที่ freewebboard@thaimisc.com โดยระบุ subject "กระทู้ไม่เหมาะสม" พร้อมทั้งระบุ ADDRESS ของเว็บบอร์ด

    ผู้ช่วยเหลือ-แหล่งข้อมูล

    [ คีตธรรม ] [ ตารางสี ] [ ค้นหาเพลง ]

    ลานภาพ

    อบรมวิปัสสนา

    ค้นหา

    ค้นหา-GooGle

    สร้างสรรค์โดย a2.gif (164 bytes) http://www.abhidhamonline.org