อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเงาเสือพิทักษ์ (๖)
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gifhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif
การศึกษาธรรมะภายในร่มศาลาเสือพิทักษ์นั้นนอกจากจะมีการศึกษาพระอภิธรรมเป็นพื้นฐานแล้วยังมีการศึกษาพระวินัยและพระสูตรที่เหมาะสมสอดคล้องกับจริตอัธยาศัยของลูกศิษย์ทั้งหลายเพื่อจรรโลงใจให้เกิดศรัทธาความเลื่อมใสในบุคคลที่ยกมาเป็นตัวอย่างทั้งที่ประสบผลสำเร็จในทางวิวัฏฏะและที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดด้วยแรงกรรมต่อไป
วันหยุดช่วงวันอาสาฬหบูชาเราจะได้ฟังบทสวดพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรซึ่เป็นพระธรรมเทศนาสูตรแรกที่บ่มเพาะความแก่กล้าของปัญญาญาณให้แก่อุคคติตัญญูได้บรรลุธรรมในทันที...ตรงนี้น่าจะทำให้เราพิจารณาตนเองได้ว่า ทั้งฟังพระสวดและสวดด้วยตนเองมานับร้อยครั้งก็ยังไม่สามารถบรรลุสิ่งใดได้ ยังคงโลภ โกรธ หลงและทำวัฏฏะกรรมเวียนวนอยู่ทั้งวี่วัน ด้วยเหตุนี้ พระธรรมคำสอนซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงคุณมหาศาลที่ยังไม่สามารถให้คุณูปการแก่เราได้ก็เพราะตัวเราเองที่ขาดคุณสมบัติในการเข้าถึงไม่ว่าจะฟังพระสูตรบทอื่นใดที่กล่าวไว้ว่าสามารถรื้อสัตว์ขนสตว์ไปนับโกฏิชีวิตเราก็ยังหลุดรอดมาเป็นเราอยู่ในวันนี้ ...
ตรงนี้เป็นความน่าสลดใจที่หลวงพ่อท่านย้ำให้เห็นว่าเราทำชีวิตให้รอดจากอุ้งมือพุทธหลุดเข้าสู่อุ้งมือมาร มาทุกยุคทุกสมัยและท่านก็มักจะถามต่อว่า แล้วเมื่อใดเราจึงจะพ้นจากการเกิดได้และท่านได้กล่าวปลอบใจว่าแม้จะยังไม่สามารถพ้นจากทุกข์ไปได้แต่ชีวิตของแต่ละคนก็ได้สั่งสมอบรมความดีงามจนได้มีโอกาสมาพบกันในชาตินี้ซึ่งในที่สุดแล้วท่านก็ได้ปวารณาตนเองว่าพ่อจะไม่ทิ้งลูก และจะขอเป็นรองเท้าแตะข้างซ้ายและข้างขวาเพียงขอให้ลูกใส่สวมเท้าแล้วเดินก้าวไปบนทางที่พ่อวางไว้ เรามีกันสองคนพ่อลูกขอให้สวมใส่แล้วเดินตามทางของพ่อมาก็จะถึงเส้นชัยในที่สุด...เชื่อว่าลูกศิษย์เก่าๆ จะระลึกได้ถึงถ้อยคำเหล่าและน้ำเสียงของท่านได้อย่างชัดเจน
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/12200-17.jpg@n
ขอย้อนกลับไปยังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลภายหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงอนัตตลักขณสูตร(ขันธ์ทั้ง 5 ไม่ใช่ตัวตน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)โปรดพระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุอรหัตผลและได้แสดงธรรมโปรดพระยสะกับพวกอีก 54 คนจนบรรลุอรหัตผลทำให้ในขณะนั้นมีพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น 61 องค์จึงสมควรแก่การประกาศพระศาสนาไปยังถิ่นต่าง ๆ
https://image.winudf.com/v2/image/Y29tLmRvdWJsZW5pbmUuYXBwcy5oYXBweS5lc2FsYS5wb3lhLmRheV9zY3JlZW5fMl8xNTMyNjkwMzQyXzAwMQ/screen-2.jpg?fakeurl=1&type=.jpg
คาถาบทสำคัญอันถือเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนาคือ “เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสฺญจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ”ได้ปรากฏขึ้นในคราวที่พระอัสสชิได้เดินทางไปเผยแผ่พระสัทธรรม ณ กรุงราชคฤห์ โดยในระหว่างออกบิณฑบาตยามเช้าพราหมณ์อุปติสสะได้เห็นอากัปกิริยาอันสำรวมและอันทรีย์อันผ่องใสของพระเถระจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและได้เดินติดตามไปจนกระทั่งพระเถระพบสถานที่เหมาะสมสำหรับนั่งฉันภัตตาหาร
https://4.bp.blogspot.com/-bYG58t0pS1U/V8V9dAFVWhI/AAAAAAAAAGM/UqLTtbgY6jsie9j2DjfAScFJu5cf6cfOQCLcB/s320/dsc05266.jpg
พราหมณ์อุปติสสะได้เข้าไปจัดที่สำหรับนั่งและจัดน้ำมาถวายแล้วรออยู่ด้านข้างจนกระทั่งพระเถระเสร็จภัตตกิจจึงสนทนากับพระเถระด้วยความเคารพว่า “อินทรีย์ของทานผ่องใสยิ่งนักท่านประพฤติธรรมในสำนักของศาสดาองค์ใด และใครเป็นครูของท่าน”
พระอัสสชิได้ตอบว่า“ข้าพเจ้าประพฤติธรรมในสำนักของพระสมณโคดม และพระองค์เป็นครูของข้าพเจ้า”พราหมณ์อุปติสสะจึงถามว่า“ ศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร”พระอัสสชิตอบว่า“ข้าพเจ้าเพิ่งเข้ามาสู่พระธรรมวินัยได้ไม่นานจึงไม่สามารถแสดงธรรมแก่ท่านโดยพิสดารได้”พราหมณ์อุปติสสะจึงกล่าวว่า“ขอท่านจงแสดงเพียงใจความเท่านั้น”พระอัสสชิจึงแสดงธรรมในความย่อๆว่า “เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสฺญจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ”(จะต้องมีสระอุ อยู่ใต้ตัว “ตํ” ของคำว่า “เหตํ”แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในการพิมพ์จึงไม่สามารถแสดงให้เห็นอย่างถูกต้องได้จึงขออภัยไว้ ณ ที่นี้)
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3e45oMFmt2za3Jtn82Xf3elo7m_0Y0gg4IykCu3oaokinsyTSC-aj8Juv4Ajf6eaiZVYxk8bYWIhMxhdAeuWarST1G0-hAdBADAFwR8i4cMjq2_XrSV0mHESrlicasctINaQNj30UpYs/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%8A%E0%B8%B43.jpg
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif@nhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif@n
คำว่า “เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสฺญจโย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ” แปลว่า "ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้” เมื่อพราหมณ์อุปติสสะได้ฟังแล้วก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งบังเกิดธัมมจักษุและภายหลังลาพระอัสสชิแล้วก็นำคำสอนสั้นๆ นี้ไปบอกแก่โกลิตะผู้เป็นสหาย ซึ่งก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นกัน
คาถา เยธมฺมาฯ ท่านผู้รู้แสดงไว้ว่าเป็นกล่าวถึงสังขตธรรมที่เกิดขึ้นจากการประชุมปรุงแต่งของเหตุปัจจัยต่างๆ เป็นการแสดงปฏิจจสมุปปบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามายังดินแดนสุวรรณภูมิได้มีหลักฐานการจารึกคาถาเยธมฺมาฯไว้ที่ศาสนวัตถุต่างๆ เช่น พระพุทธรูป เสาศิลา และงานศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นหลักฐานในการประกาศพระศาสนา
หลวงพ่อท่านไม่เคยหักราญน้ำใจของลูกๆแม้จะรู้ว่าแต่ละคนยังเป็นเด็กน้อยในเส้นทางสายธรรมยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมในระดับสูงได้จึงอบรมคุณธรรมให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อนอย่างที่เคยกล่าวไปในเรื่องของทางที่ควรดำเนินในบุญกิริยาวัตถุ 10และทางที่ไม่ควรดำเนินในอกุศลกรรมบถ 10 และท่านก็สอนให้มองกว้างขึ้นไปในเรื่องของความกตัญญูกตเวทิตาธรรมท่านสอนว่าทุกคืนก่อนนอนหรือทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาให้สร้างมงคลชีวิตทันทีก่อนที่จะไปทำกิจอื่นๆโดยกราบไปที่หมอนแล้วกล่าวคำว่า “พุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิมาตาบิตุรังวันทามิ อุปการคุณวันทังวันทามิ”
คำกล่าวเหล่านี้เป็นการแสดงการบูชาพระคุณของผู้มีคุณแก่ชีวิตของเราพระรัตนตรัย มารดาบิดา ผู้มีอุปการคุณได้แก่ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง มิตรสหายและบุคคลอื่นที่เคยทำคุณให้แก่เราต่างเป็นผู้ที่ควรได้รับการขอบคุณเมื่อระลึกถึงคุณท่านได้ก็คือกตัญญูเมื่อตอบแทนคุณท่านได้ก็คือกตเวที เมื่อยังไม่มีโอกาสตอบแทนด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต้องใช้ใจคือมโนกรรมรำลึกถึงและกราบบูชาท่านเหล่านั้นด้วยความอ่อนน้อมดุจดังพระสารีบุตรที่แสดงความนอบน้อมต่อพระอัสสชิเถระด้วยการกราบไปยังทิศที่พระอัสสชิเถระอยู่และนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้นเพราะเหตุที่ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระแล้วบรรลุโสดาปัตติผลจึงถือว่าพระอัสสชิเถระเป็นครูของท่าน
https://tse3.mm.bing.net/th/id/OIP.LFFG8bggiO8crMN2v4uYfQHaFi?rs=1&pid=ImgDetMain&o=7&rm=3
พระสารีบุตรเป็นแบบอย่างของผู้ที่ความกตัญญูอย่างสูงเยี่ยมเพราะไม่เพียงจะระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บิดามารดาและพระอัสสชิเถระ ท่านยังระลึกถึงคุณของราธะพราหมณ์ที่เคยใส่บาตรเพียงข้าว 1 ทัพพี ความกตัญญูกตเวทิตานี้เป็นที่ทราบดีกว่าเป็นเครื่องหมายของคนดีและเป็นมงคลชีวิตหลวงพ่อท่านจึงสอนมิให้ลืมบุญคุณหรือลบหลู่บุญคุณใคร และก็สอนให้ไม่ยึดมั่นในพันธะของบุญคุณจนเสียกุศลต้องรู้ในคุณที่ผู้อื่นกระทำไว้แต่ไม่ผูกติดกับบุคคลนั้นๆ เพราะความดีก็ไม่เที่ยงในกาลใดที่ผู้มีคุณแก่เราได้ทำไม่ดีหรือทำผิดพลั้งก็อาจทำให้เกิดการจาบจ้วงดูหมิ่นลบหลู่บุญคุณท่านขึ้นมาได้
ความกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นหลักการสำคัญที่หลวงพ่อท่านสอนให้ลูกๆตระหนักถึงการเสียสละความสุขส่วนตัวอดหลับอดนอนมาเลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำกี่วันกี่เดือนกี่ปีที่พ่อแม่ทำแบบนั้น วันนี้ได้กราบเท้าท่านหรือยัง? ได้สวมกอดท่านบ้างหรือยัง?ข้าวปลาอาหารความเป็นอยู่เป็นสิ่งสำคัญแก่ร่างกายแต่ยาใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับพ่อแม่ ท่านจึงให้ลูกศิษย์บางคนที่นำพ่อแม่มาเรียนธรรมะด้วยออกมาที่หน้าชั้นเรียนทั้งพ่อแม่และให้ผู้เป็นลูกกราบที่เท้ากอด และบอกรัก ส่วนผู้ที่มีพ่อแม่อยู่ที่บ้านท่านก็ให้กลับไปทำกิจกรรมนั้นที่บ้าน...ท่านได้เริ่มต้น “ครั้งแรก” ของการบอกรักพ่อแม่ให้แก่ลูกๆเพื่อให้แต่ละคนมีครั้งที่สอง สาม สี่ และครั้งต่อๆไปด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการแสดงกตเวทิตาคุณและสร้างบรรยากาศแห่งความสุขให้กับพ่อแม่เสมอ
และสำหรับกับครูอาจารย์หรือผู้มีอุปการคุณอื่นๆก็ต้องพิจารณาหากิจกรรมแสดงความกตเวทีมีมุทิตาจิตต่อท่านเหล่านั้นอย่างเหมาะสมหากช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของท่านได้ก็ให้ตั้งใจทำหากช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ไม่ควรเพิ่มภาระให้แก่ท่านทั้งทางกายและทางใจ และให้ตั้งใจทำความดีที่ตนเองต่อไปเพราะเมื่อทำดีที่ตนก็เท่ากับช่วยให้คนอื่นลดการถูกเบียดเบียนลงได้.
อย่าลืะว่า ไม่มีใครช่วยเราได้ หากเราไม่ช่วยตนเอง
อย่ามัวรอความหวัง และรางวัลของชีวิตโดยไม่คิดจะทำ
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif@nhttps://webboard.abhidhammaonline.org/old/picdb.thaimisc.com/d/dokgaew/2497-14.gif@n
https://webboard.abhidhammaonline.org/old/abhidhamonline.org/flower.gif
หน้า:
[1]