จะว่าไปแล้ว...ได้รู้จักท่านอาจารย์บุญมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๙ และในปีนั้นก็ได้เข้ารับการอบรมพระอภิธรรม หลักสูตรเร่งรัด ๑ สัปดาห์ ที่ทางมูลนิธิจัดให้กับครูกรมสามัญศึกษาและผู้ที่สนใจ ทำให้ได้รู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ผู้บรรยายหลายคนมักเรียกสั้นๆ ว่า จิ เจ รุ นิ และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการสนใจพระอภิธรรม แต่ครั้งนั้นก็เข้าเรียนอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่จะเข้าเรียนแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากับหลวงพ่อเสือมากกว่า แต่ความรู้สึกที่มีต่อท่านอาจารย์บุญมีนั้นเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส เพราะทุกเสาร์อาทิตย์จะติดรถเพื่อนไปรับส่งท่านเป็นประจำ การได้สนทนากับท่านทำให้ประจักษ์ในคุณธรรม และความเมตตาของท่านที่มีต่อเพื่อนมนุษย์มาก
ทุกวันที่ได้ไปมูลนิธิจะเห็นภาพท่านนั่งให้คำปรึกษาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก(นอกเวลาสอนของท่าน)ในห้องเล็กๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีปัญหา ท่านจะใช้เวลาคุยธรรมะจนเขาคลี่คลายความทุกข์ใจลงไปได้ ไม่เคยเห็นท่านมีเวลาว่าง เมื่ออยู่คนเดียวท่านจะใช้เวลาเขียนหนังสือ ต้องบอกว่ายิ่งใกล้ท่านก็ยิ่งซาบซึ้งกับการทุ่มเทชีวิตที่ท่านมีให้กับพระอภิธรรม เพราะ...แม้ในบั้นปลายชีวิตขนาดอาพาธหนักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มือไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ท่านก็ยังสู้อุตส่าห์บอกให้เขียน (ซึ่งตอนนั้นจะใช้เวลาหลังเลิกสอนหนังสือไปช่วยเขียนตามคำบอกของท่าน และทุกครั้งที่ไปจะพบว่าท่านนั่งคอยอยู่แล้ว)
วันนั้น...อดนึกถึงพระอาจารย์บุญมี(สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) ภาพของท่านที่นั่งอยู่หน้ากุฏิที่พัก บนโต๊ะเก่าๆ มีกระดาษปึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายมือของท่านเอง (ที่เขียนเพื่อนำไปพิมพ์ลงวารสาร ก่อนที่จะมาเป็นรูปเล่มของหนังสือต่างๆที่เราเห็นกันในวันนี้)...ก่อนหน้านี้เวลาออกจากห้องปฏิบัติแล้วต้องไปกราบท่าน แล้วท่านก็จะสอบอารมณ์ให้ แม้ช่วงที่ท่านป่วยปีสุดท้ายเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ ยังได้ไปลา และขอพรจากท่านว่าจะไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ จ.กาญจนบุรี และพอวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ท่านก็มรณภาพจากพวกเราไป คงเหลือไว้แต่ร่มโพธิ์ คือมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ (ให้พวกเราได้เข้ามาอาศัยเป็นที่พักใจ และศึกษาหาความจริง) พร้อมอาจารย์บุษกร เมธางกูร บุตรสาวไว้เป็น(ครู)ตัวแทนของท่าน.... ให้กับพวกเราทุกๆ คน
|