ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 2359|ตอบกลับ: 5

คนมีครู ผู้มีทาง

[คัดลอกลิงก์]

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460

คนมีครู ผู้มีทาง

เดือนนี้มีโอกาสได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนา ณ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อยเพียงแค่ ๓ วัน วันสุดท้ายพอออกจากห้องปฏิบัติแล้ว ได้ไปนั่งที่เรือนท่านพระอาจารย์บุญมี นอกจากเพื่อถวายกุศลเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว ก็เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณท่านที่เป็นเสมือนร่มโพธิ์ให้กับพวกเราได้เข้ามาพักอาศัยเพื่อฝึกหัดสร้างสมบ่มสติให้อยู่ในเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์

สำหรับครั้งนี้ความรู้สึกซึ้งใจที่มีต่อท่านอาจารย์นั้นมีมากเป็นล้นพ้น อาจสืบเนื่องมาจากวันอาทิตย์ผ่านมาที่ท่านอาจารย์ได้นำพวกเราไหว้ครูก่อนเปิดเรียนปริเฉทที่ ๑ ของชั้นเรียนใหม่ ซึ่งทุกคนต่างยอมรับว่า พิธีในวันนั้นดูทั้งขลังและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด นับตั้งแต่การสวดพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ ๙ รูป แล้วพอตกบ่ายท่านอาจารย์ได้นำน้ำมนต์นั้นไปประพรมบนใบแก้ว(๓ ใบ)อันเป็นสัญญลักษณ์ของการขอถึงซึ่งพระรัตนตรัยที่พวกเราจะนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

จากนั้นอาจารย์ได้นำพวกเรากล่าวปฏิญาณตนถวายชีวิตแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อความแต่ละตอน ไม่ว่าจะเป็นการขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์....ให้มาเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตจนกว่าจะถึงพระนิพพานนั้น หรือแม้พระบาลีที่พวกเราต่างเปล่งวาจาออกจากใจตามท่านอาจารย์ว่า

อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจฺจะชามิ

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอสละอัตตภาพร่างกายนี้ แด่พระองค์ …


ตลอดจนคำอธิษฐานที่แสนไพเราะและกินใจทุกๆคน (ซึ่งน้องกิ๊ฟได้นำมาลงแล้วในกระทู้ที่ 11111 ) จวบจนกระทั่งพิธีสมัครตนขอเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์บุญมี ด้วยการประกาศให้เหล่าเทพยดาทั้งหลายและครูบาอาจารย์ (มีหลวงพ่อเสือเป็นประธาน) ได้รับรู้และอนุโมทนาว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราทั้งหลายต่างจะทุ่มเทชีวิตมาแสวงหาปัญญา เพื่อนำไปไขปัญหาชีวิตให้กระจ่างแจ้ง ด้วยการมาศึกษาเล่าเรียนเพียรทำความเข้าใจในพระอภิธรรม รวมทั้งจะพยายามกระทำธุระทั้งสอง คือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ ให้เกิดประโยชน์ตนอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้เพื่อมุ่งตรงต่อเส้นทางอันจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-27 11:10:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ภาพลูกศิษย์แต่ละคนที่ทะยอยเข้าไปกราบ และรับใบแก้วในพานหน้าท่านอาจารย์บุญมีนั้น ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก จนเมื่อถึงคิวของตนเอง... พอรับมาแล้วเกิดความตื้นตันใจอย่างที่สุดเมื่อนึกถึงคำพูดท่านอาจารย์บุญมีที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า

“หนู....ดีนะที่พาชีวิตมาอยู่อย่างนี้ มาศึกษาความจริง พระอภิธรรมสอนให้เรารู้จักความจริง....น้อยคนนักที่จะทำอย่างนี้ได้ คนเราหากไม่มีบุญไม่มีวาสนามาแล้ว จะมาอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก….” น้ำเสียงที่เจือด้วยความกรุณาที่ท่านมีต่อทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน จะมีอายุอ่อน แก่สักเท่าไร ทุกคนต่างเป็น “หนู” (ที่มีบุญ) ของท่านอาจารย์บุญมีทั้งสิ้น

มาวันนี้รู้สึกดีใจที่เราผู้เป็นศิษย์ได้มากระทำตามสัจจะที่ได้อธิษฐานไว้ต่อหน้าพระอาจารย์ผู้ที่เรามอบกายถวายชีวิตไว้เป็นศิษย์แล้ว ยิ่งนึกถึงคำพูดที่อาจารย์บอกว่า สิ่งที่พวกเราได้ทำในวันนั้นเป็นนิมิตหมายบอกให้รู้ว่าทั้งชาตินี้และชาติหน้าเราจะไม่ไกลจากรัศมีพระธรรม เพราะนั่นคือการประกาศใจตนเองว่าเราจะมาคลี่คลายความมืดของชีวิต ด้วยการแสวงหาแต่ความสว่างในเรื่องชีวิต ทั้งสว่างในปัญญา สว่างในเส้นทาง และในที่สุดความสว่างนั้นก็จะพาชีวิตพวกเราให้จบสิ้นจากทุกขเวทนาได้ในที่สุด …

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-27 11:11:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด

จะว่าไปแล้ว...ได้รู้จักท่านอาจารย์บุญมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๙ และในปีนั้นก็ได้เข้ารับการอบรมพระอภิธรรม หลักสูตรเร่งรัด ๑ สัปดาห์ ที่ทางมูลนิธิจัดให้กับครูกรมสามัญศึกษาและผู้ที่สนใจ ทำให้ได้รู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ผู้บรรยายหลายคนมักเรียกสั้นๆ ว่า จิ เจ รุ นิ และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการสนใจพระอภิธรรม แต่ครั้งนั้นก็เข้าเรียนอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่จะเข้าเรียนแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากับหลวงพ่อเสือมากกว่า แต่ความรู้สึกที่มีต่อท่านอาจารย์บุญมีนั้นเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส เพราะทุกเสาร์อาทิตย์จะติดรถเพื่อนไปรับส่งท่านเป็นประจำ การได้สนทนากับท่านทำให้ประจักษ์ในคุณธรรม และความเมตตาของท่านที่มีต่อเพื่อนมนุษย์มาก

ทุกวันที่ได้ไปมูลนิธิจะเห็นภาพท่านนั่งให้คำปรึกษาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก(นอกเวลาสอนของท่าน)ในห้องเล็กๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีปัญหา ท่านจะใช้เวลาคุยธรรมะจนเขาคลี่คลายความทุกข์ใจลงไปได้ ไม่เคยเห็นท่านมีเวลาว่าง เมื่ออยู่คนเดียวท่านจะใช้เวลาเขียนหนังสือ ต้องบอกว่ายิ่งใกล้ท่านก็ยิ่งซาบซึ้งกับการทุ่มเทชีวิตที่ท่านมีให้กับพระอภิธรรม เพราะ...แม้ในบั้นปลายชีวิตขนาดอาพาธหนักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มือไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ท่านก็ยังสู้อุตส่าห์บอกให้เขียน (ซึ่งตอนนั้นจะใช้เวลาหลังเลิกสอนหนังสือไปช่วยเขียนตามคำบอกของท่าน และทุกครั้งที่ไปจะพบว่าท่านนั่งคอยอยู่แล้ว)

วันนั้น...อดนึกถึงพระอาจารย์บุญมี(สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) ภาพของท่านที่นั่งอยู่หน้ากุฏิที่พัก บนโต๊ะเก่าๆ มีกระดาษปึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายมือของท่านเอง (ที่เขียนเพื่อนำไปพิมพ์ลงวารสาร ก่อนที่จะมาเป็นรูปเล่มของหนังสือต่างๆที่เราเห็นกันในวันนี้)...ก่อนหน้านี้เวลาออกจากห้องปฏิบัติแล้วต้องไปกราบท่าน แล้วท่านก็จะสอบอารมณ์ให้ แม้ช่วงที่ท่านป่วยปีสุดท้ายเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ ยังได้ไปลา และขอพรจากท่านว่าจะไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ จ.กาญจนบุรี และพอวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ท่านก็มรณภาพจากพวกเราไป คงเหลือไว้แต่ร่มโพธิ์ คือมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ (ให้พวกเราได้เข้ามาอาศัยเป็นที่พักใจ และศึกษาหาความจริง) พร้อมอาจารย์บุษกร เมธางกูร บุตรสาวไว้เป็น(ครู)ตัวแทนของท่าน.... ให้กับพวกเราทุกๆ คน

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-27 11:11:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันนั้น....อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีพระอาจารย์บุญมีแล้ว(ก็คงไม่มีมูลนิธิฯ ...ไม่มีอาจารย์บุษกร ...ไม่มีหลวงพ่อเสือ ....ไม่มีอาจารย์วิชิต) วันนี้ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร คงคลุกเคล้าหลงระเริงอยู่กับกิเลสเช่นเดิมๆ แล้วก็ยังคงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราต่างมี ต่างทำนั้นล้วนเป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น คำว่ามืดบอดต่อรัศมีพระธรรมที่เราต่างไม่ต้องการนั้น กลับกลายเป็นว่าเรากำลังสร้างหนทางนั้นอยู่ ....คิดไปแล้วมันช่างน่ากลัวที่สุด เพราะการกระทำ(กรรมส่วนใหญ่)เหล่านั้นล้วนฉุดเราลงสู่ที่ต่ำทั้งสิ้น

แต่วันนี้(ที่เรามีการไหว้ครู)....ดูน่าภูมิใจยิ่งนักที่ชีวิตของเรา(ลูกศิษย์ทุกคน)ได้แตกหน่อใหม่ที่ต่างไปจากอดีต เพราะบัดนี้เราต่างมาลิขิตชีวิตใหม่ให้เป็น “คน(ที่)มีครู (ศิษย์)ผู้มีทาง” กันแล้ว เมื่อพูดถึงครู หลายๆท่านอาจคิดว่า กว่าจะมาถึงวันนี้คนทุกคนต้องผ่านการมีครูที่สอนวิชาการต่างๆให้กับเราแล้ว ...แต่อยากจะบอกว่าครูเหล่านั้นไม่เหมือนครูที่เรามีในวันนี้ เพราะ ครู (ในอดีต-ทางโลก) ที่เรามีนั้น อาจมากมายนับเป็นร้อยจนจำกันได้ไม่หมด แค่ ๑ ชั้นเรียนก็มีหลายคนที่ผลัดเปลี่ยนกันมาสอนวิชาต่างๆ แค่ครู (ในปัจจุบัน-ทางธรรมของเรา)นั้น หากลองนับเวลาที่เรามามูลนิธิ จะกี่เดือนกี่ปี ครูก็ยังคงเป็นครูคนนี้ คือ ครูคนเดิม ครูหน้าเดิม และเป็นครูที่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้เหมือนเดิม



ยี่สิบสองปีผ่านมาแล้ว ....ยามที่มีทุกข์ ครูคนเดิมหน้าเดิมนี้แหละ ที่คอยมาปลอบปลุกให้คลายเศร้า เร่งเร้าให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้ต่อไป นานาธรรม(มะ)ที่ท่านนำมาสอน เพียงเพื่อให้เรายอมรับความเป็นจริง ท่านคอยเป็นแสงสว่างส่องเข้าสู่ใจในยามที่มืดมน ทำให้เรามองเห็นเส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ท่านคอยเป็นราวให้ยึดเกาะในยามที่เรามีพายุวิบากมากระหน่ำ และท่านคอยตอกย้ำให้เราเห็นว่า ความอดทนเท่านั้นจะช่วยให้เราผ่านวิกฤติการณ์ของชีวิตไปได้



หลายๆครั้งที่ท่านนำชีวิตของท่านมาเป็นแบบอย่างให้เราเห็น เพราะแม้ยามเจ็บป่วยท่านก็ยังเป็นผู้นำในการพาเราไปทำกุศลตามที่ต่างๆ บางครั้งพอเสร็จงานลูกศิษย์ต้องช่วยกันหามท่านมาปฐมพยาบาล หรือส่งโรงพยาบาล แม้การผ่าตัดหลายครั้งที่ผ่านมาท่านก็ยังได้นำสิ่งที่ประสบนั้นมาเป็นอุปกรณ์การสอนพระอภิธรรมให้กับพวกเราได้เข้าใจความจริงของชีวิต



ลูกศิษย์หลายๆคน ยอมรับว่า เมื่อได้มีครูผู้นี้ก้าวเข้ามาในชีวิต ท่านทำให้เรามีกำลังใจ มีความอดทน มีเมตตา ฯลฯ ซึ่งสรุปได้ว่า ท่านทำให้พวกเรารักที่จะทำความดี และพร้อมที่จะใช้ชีวิตเดินไปในหนทางที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม ท่านไม่เพียงแค่สอนพระอภิธรรมอย่างที่หลายๆคน(ที่ไม่ได้มาที่มูลนิธิ)นึกคิดเท่านั้น แต่ท่านสอนให้เราได้รู้จัก(กาละเทศะ)ว่า ...เมื่อเราอยู่ในสังคม(ชุมชน)แบบใด เราควรวางตัวอย่างไร ไม่ใช่ว่ามาเรียนธรรมะแล้ว จะต้องปฏิเสธเรื่องทางโลกไปทั้งหมด

12

กระทู้

37

ตอบกลับ

460

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
460
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-5-27 11:12:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด

มีครั้งหนึ่ง หากจำไม่ผิดคิดว่าวันนั้นเป็นวันเด็ก ในตอนกลางคืนท่านพาสมาชิกชมรมละกิเลสออกปฏิบัตินอกสถานที่ เริ่มจากไปไหว้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ ....แล้วเดินทางไปยังอนุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่สะพานพุทธ....พระบรมรูปทรงม้า (รัชกาลที่ ๕) ในแต่ละที่นั้นท่านได้นำประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่สงคราม ๙ ทัพ เป็นต้น....อีกวีรกรรมต่างๆ รวมทั้งคุณูประโยชน์ที่เหล่าบูรพกษัตริย์ได้สร้างไว้ให้แผ่นดินไทยซึ่งเป็นที่ที่เราได้อาศัยอยู่จนทุกวันนี้ ...

สุดท้ายในคืนนั้น(ประมาณเที่ยงคืน)ท่านได้พาพวกเราพร้อมจิตที่เปี่ยมไปด้วยกุศลไปหมอบกราบที่ข้างวัดเบญจมบพิตรฯ (ด้านคลอง)โดยหันหน้าไปทางสวนจิตรดารโหฐานเพื่อน้อมถวายกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ....



นอกจากในประเทศแล้ว ท่านยังได้พาลูกศิษย์ไปสักการะสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย ตลอดจนสถานที่ต่างๆในประเทศพม่า ซึ่งการนำอธิษฐานของท่านในแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน แต่ทุกที่ล้วนโน้มน้าวจิตใจพวกเราให้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น



ดังนั้นสิ่งที่ท่านนำให้พวกเราได้กระทำต่างๆเหล่านั้น ล้วนกระตุ้นความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจอย่างไม่รู้เลือน ...ทั้งหมดที่กล่าวนี้ คือส่วนที่น้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่ได้รับ(ประโยชน์)จากท่านอาจารย์จริงๆ       



ด้วยเหตุนี้เองจึงกล้าที่จะพูดว่า ครูของเราท่านนี้ ไม่เหมือนคุณครูที่ผ่านๆมาในชีวิตที่พวกเราได้พบ ....และแม้ในวันนั้น ครูท่านนี้ก็พาเราไหว้ครู พระผู้ก่อสร้างฯ ผู้ทำให้ชีวิตเราได้สัมผัสกับธุระในทางพระพุทธศาสนา คือคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ เพราะมูลนิธิฯมีครบทั้งสถานที่เรียน คือ สถานที่ของสำนักงานใหญ่ที่พุทธมณฑลสาย ๔ และสถานที่ปฏิบัติ คือ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งว่า ชีวิตเราตอนนี้มีทั้งครู และมีทั้งทาง (แห่งความดี ...ที่ครูเป็นผู้ชี้ให้เราได้เดิน เพื่อเป้าหมายคือความสิ้นสุดทุกข์) ดังชื่อเรื่องที่ว่า คนมีครู ผู้มีทาง (คือพวกเราทุกคน)นั่นเอง


0

กระทู้

18

ตอบกลับ

348

เครดิต

ผู้เยี่ยมชม

เครดิต
348
โพสต์ 2017-5-28 05:26:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย อัญชลี เมื่อ 2017-5-28 05:27

ได้มาอ่านสิ่งดีๆทำให้ระลึกและทบทวนเส้นทางที่ครูอาจารย์ได้อบรมบ่มนิสัยตน
รู้สึกถึงพระคุณของความตั้งใจของครูทุกท่านค่ะ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-23 17:07 , Processed in 0.083566 second(s), 20 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้