วันนั้น ท่านอาจารย์อธิบายสิ่งที่ท่านพูดถึงก้านร่มซึ่งเป็นโครงสร้างของร่มที่ยังคงอยู่นั้นว่า นั่นหมายถึงความดีที่พวกเราทุกคนมีอยู่ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ก็เพราะเรามีความดี นั่นคือเบญจศีล-เบญจธรรมที่ติดตัวมา เมื่อเรามาทำความดีต่อไปเท่ากับเรากำลังปะแต่งร่มให้สวยงามเพื่อเป็นที่กำบังแดด หรือความร้อนให้กับตนเองได้
ท่านอาจารย์ยังย้ำต่อไปว่า “พี่ต้องรีบหาร่มคันนั้นให้เจอ ถ้าพี่ยังปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นสักวันมันก็คงจะผุผังไปกับกาลเวลา....” เพราะจะว่าไปแล้ว ลูกศิษย์ที่อยู่ฟังท่านอาจารย์ในวันนั้นล้วนอยู่ในช่วงปัจฉิมวัยกันทุกคน ทำให้ได้คิดว่าถ้าเราไม่รีบหาร่มของพ่อให้เจอแล้ว เราอาจจะต้องเสียใจที่หากวันนั้นเป็นวันที่โครงร่มคันนั้นผุผังไปตามอำนาจกรรมที่จบลงโดยที่เราไม่อาจแก้ไขอะไรอีกได้เลย
ถ้อยคำหลายๆประโยคของอาจารย์ในวันนั้น ทำให้ต้องกลับมาขบคิดถึงชีวิตของตนเอง
“รูปร่าง ...ชีวิตนี้ เราอาศัยมานานมากแล้ว ใช้มาตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งเป็นอาจารย์ เป็นโน่นเป็นนี้ ได้ตำแหน่งนั้น ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์นี้ นับว่าเราใช้ชีวิตกันมานานมากแล้ว แต่เราไม่เคยหันมาดูแลชีวิตนี้กันเลย ตอนนี้เราผ่านสิ่งต่างๆเหล่านั้นมานานแล้ว ถึงเวลาที่เราควรจะหันกลับมาดูแลชีวิตนี้กันเสียบ้าง....
ที่ผ่านมาเราดูแลพ่อ ดูแลแม่ ดูแลคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นหลาน หรือใครๆก็ตาม เราคอยดูแล ให้เงิน ให้อะไรได้สารพัด แต่อย่าถึงกับให้ชีวิตเลย เราต้องกลับมาดูแลชีวิตของเราเองด้วย
..ตอนนี้พี่กำลังจะเขียนมอบบ้าน(ที่หมู่บ้านธรรมะ)ให้กับมูลนิธิ ..ดูๆไปแล้วไม่ต่างกับคนหลายๆคนที่สร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างกุฎิ แล้วมอบถวายให้กับพระพุทธศาสนา แต่ปรากฏว่าตนเองนั้นไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยหันมาศึกษาพระธรรม คือไม่เคยหันกลับมาดูแลชีวิตตนเองในทางที่ถูกต้องเลย ...พี่ก็เหมือนกัน ตั้งเจตนาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า เราจะไม่เพียงถวายบ้าน แต่จะถวายชีวิตนี้ให้อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ”
|