ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 4211|ตอบกลับ: 7

อภิวาทวันทา..มาฆะบูชาปุณมี

[คัดลอกลิงก์]

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2020-2-7 19:11



ประทีปธรรมนำแสงแห่งพุทธะ..........................................เพ็ญมาฆะเดือนสามงามพิสุทธิ์
วันสำคัญยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ...........................................เปรียบประดุจรากแก้วโพธิธรรม

พระพุทธองค์ทรงแสดงพระโอวาท....................................ด้วยประกาศหลักการสามแรกฉนำ
มอบแด่พระพุทธสาวกได้น้อมนำ.......................................สอนบทธรรมสร้างรอยทางอย่างพุทธา

"สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง".........................................คือบทตั้งโอวาทไตรสิกขา
ไม่ทำบาป ทำบุญ มีปัญญา...............................................คือหัวใจพระศาสนาที่ควรครอง

"ขันตีปรมังตะโปตีติกขา"............................................ทรงวางหลักศาสนาไม่หม่นหมอง
มีขันติ ไม่เบียดเบียน สงบตรอง.........................................บรมธรรมที่ควรปองคือนิพพาน

"อนูปวาโท อนูปฆาโต " ท่อนสุดท้าย...........................ทรงมุ่งหมายให้มีมิตรทุกสถาน
ไม่ว่าร้ายทำร้ายผู้พบพาน.................................................รู้ประมาณอยู่สงัดเพียรหัดใจ

พระโอวาทประกาศก้องครรลองสงฆ์.................................จาตุรงคสันนิบาตอุดมสมัย
เป็นวันแห่งความรักของเวไนย..........................................เป็นวันแห่งการให้ทางสายงาม

ขอก้มกราบบูชาพระพุทธชัย..........................................ทรงอำนวยชีพให้พ้นพงหนาม
ได้หลีกละลดเลิกสิ่งที่ทราม...............................................เพราะถ้อยความโอวาทประกาศมา

ขอก้มกราบบูชาปวงพระธรรม.........................................แสดงเหตุผลล้ำให้ศึกษา
ขอก้มกราบบูชิตพระสังฆา.............................................ที่สืบต่อพระศาสนาอริยะวงศ์

เพ็ญเดือนสามงามนักประจักษ์จิต....................................เมื่อเพ่งพิศพระโอวาทมุ่งประสงค์
เพ็ญเดือนสามงามแสงแห่งพุทธองศ์...............................เมื่อดำรงชีพด้วยรักภักดีธรรม



พี่ดอกแก้ว




267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:00:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด



อภิวาทวันทา..มาฆบูชาปุณมี


..วันมาฆบูชา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบพระโอวาทปาติโมกข์ไว้หรือจะเรียกว่าให้หลักการหรือแนวทางก็คือวินัยธรรมที่ให้ไว้กับพระอริยะสงฆ์เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่มาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันในวันนี้

หลักการและหลักทางที่มีวินัยธรรมคุมอยู่นั้นก็เป็นการบอกทางให้พุทธบริษัททั้งหลายมีแนวทางในการดำรงชีวิตให้ตรงต่อทางพ้นทุกข์ เป็นกรอบเป็นวินัยที่จะทำให้จิตใจนั้นไม่พลาดและไม่ตกอยู่ในความประมาท

ความสำคัญสำหรับโอวาทปาฏิโมกข์เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพุทธศาสนิกชน เมื่อวาระมาฆฤกษ์ได้เวียนมาถึงในวันพรุ่งนี้ เรานักศึกษาอภิธรรมทั้งหลาย ได้ทราบ ได้รู้ และได้ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งที่อุดมคุณค่า ทำให้เราได้รู้จักชีวิต ทำให้เราเข้าใจชีวิตและสามารถดำรงชีวิตไปในแนวทางที่พระองค์ทรงชี้แนะได้ คือ ละความฃั่ว กระทำความดี และเพียรบำเพ็ญจิตให้บริสุทธิ์หมดจดการกิเลสจากเครื่องเศร้าหมอง เราจึงควรกระทำใจระลึกในพระคุณนั้นด้วยการสวดมนต์บูชาระลึกถึงพระองค์

และเมื่อเราได้มาร่วมกันสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยอันมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ก็เพื่อว่า ขอวาระตรงนี้ที่ได้มาประชุมกันเป็นการระลึกล่วงหน้าไปยังวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา พวกท่านก็คงไม่ได้มาที่นี่ซึ่งไม่ได้จัดให้มีกิจกรรมอะไร เพราะตามวัดต่าง ๆ ที่ใกล้บ้านและโดยเฉพาะที่พุทธมณฑลก็ได้จัดให้มีกิจกรรมเช่น การตักบาตร ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ การกระทำคุณงามความดี ทำกุศลต่าง และในช่วงเย็น แต่ละวัด ๆ ก็มีการเวียนเทียน

แต่ละคนก็คงมีโอกาสที่จะใส่บาตรในช่วงเช้า และแม้จะมีหลาย ๆ ท่านก็ที่ไม่มีโอกาสในช่วงนั้น แต่ก็คงจะมีโอกาสไปเวียนเทียนเพื่อระลึกนึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ พระองค์ทรงให้อะไร?

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:00:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ตั้งแต่พระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกนี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะราฃกุมาร เมื่อพระองค์ได้เรียนศิลปวิทยาจนกระทั่งจบทุกศาสตร์หมดแล้ว พระองค์ก็ได้ตรัสถามพระอาจารย์ว่า ....พอจะบอกได้ไหมว่า มีวิทยาการอันใดพิเศษที่จะกระทำให้ทุกข์นั้นหมดไปได้ เพราะเท่าที่เราเรียนมาในวิทยาการทั้งหมดนี้ เราไม่เห็นเลยว่าจะทำให้ทุกข์หมดไปได้ ทุกข์คืออะไร

พระอาจารย์ก็ตอบว่า ทุกข์นั้นก็คือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ...ทรงถามต่อไปว่า แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย พระอาจารย์ได้ตอบว่า ..ไม่ทราบ..เมื่อไม่มีใครทราบจึงทรงออกแสวงหาโมกขธรรมนั้นเองเป็นเวลา ๖ ปี ในที่สุดพระองค์ก็บรรลุโมกขธรรมว่าทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายได้

บัดนี้ พวกเราก็รู้ว่าทุกข์ที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย แต่เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ทำอย่างไรจะพ้นไปจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ท่านโกณฑัญญะผู้เป็นพระอาจารย์นั้นท่านก็ทราบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ไปได้ จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ตรัสรู้ทุกข์ ว่าทุกข์ จริง ๆ นี่มันคืออะไร ตั้งอยู่ที่ไหน แล้วเป็นอย่างไร คือพระองค์ทรงแจ้งในทุกข์ทั้ง ๕ ได้แก่ ทุกขเวทนา สังขารทุกข์ สภาวทุกข์ ทุกขลักษณะ ทุกขสัจจะ คำเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้เรียนมาเราก็ไม่รู้

หรือ เรารู้แบบคำรวมๆก็คือทุกข์ .. ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา มรณังปิทุกขัง ...อย่างที่เราสวดมนต์กันเมื่อเช้า ก็ยังจัดว่าพวกเรายังเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือสวดไปอย่างนั้นเองน่ะ แต่ก็ยังดีที่สวดเพราะยังเป็นบุญปาก แต่ถ้าหากเรารู้ด้วยก็ได้ทั้งเป็นบุญปากและบุญใจ

ทุกข์ทั้ง ๕ เหล่านี้เป็นทุกข์อันเป็นผลที่เนื่องจากตัณหา คือ สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

ตัณหาในที่นี้ก็คือสิ่งที่ทำให้เรานี้ต้องเวียนว่ายตายเกิด นั่นก็หมายถึง โลภมูลจิต

ถ้าเราเรียนกันอย่างนี้ แล้วเราเพียงแค่จำได้ว่า โลภมูลจิตมี ๘ ดวง เป็นสัมปยุต เป็นอสังขาริก เป็นสสังขาริก เป็นโสมนัส เป็นอุเบกขา แต่เราไม่เข้าใจว่า นี้แหละเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ แล้วทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร .... เราก็จะไม่สามารถลุล่วงทุกข์ไปได้ ก็เหมือนกับท่านโกณฑัญญะที่ตอบได้แค่ว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์ แต่ไม่รู้วิธีที่จะสามารถไปพ้นจากทุกข์ได้นั่นเอง

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:00:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ตัณหา คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ องค์ธรรมได้แก่ โลภะมูลจิตทั้ง ๘ คือความปรารถนาในอารมณ์ เป็นความปรารถนาในกามต่าง ๆ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั่นเองที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

พระองค์ตรัสรู้อริยสัจจ์องค์ที่ ๓ เรียกว่า นิโรธ นิโรธหรือนิพพานเป็นคนละชื่อกัน แต่ลักษณะอย่างเดียวกันก็คือความสิ้นสุดทุกข์ ความสิ้นทุกข์นั้นก็คือ ความสิ้นสุดจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย โดยมีทางที่ดำเนินไปก็คือมรรคมีองค์ ๘ ที่เริ่มต้นจากสัมมาทิฏฐิ

ก็จะเห็นว่าพระองค์ได้ตรัสรู้อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ประการ แล้วทรงก็นำการตรัสรู้นั้นมาอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์กลุ่มแรกก็คือท่านปัญจวัคคีย์ ตามที่เราท่องบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเยฯ คงต้องบอกอย่างเนี้เลยว่าที่เราท่องได้นี้ ไม่ใช่เรารู้ เพราะพระองค์ทรงหมุนธรรมจักรที่เราท่องกันนี้ให้แก่พระปัญจวัคคีย์ที่เป็นผู้รู้ แล้วเราก็นำมาท่องกันเป็นบทสวด

พระองค์ได้หมุนธรรมจักรให้พระโกณฑัญญะรู้แล้ว ทรงหมุนอนัตตลักขณสูตรให้กับปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ รูปได้รู้ยิ่งไปอีกด้วย วงล้อพระธรรมจักรที่ทรงหมุนไปและพระอนัตตลักขณสูตรนั้นให้เกิดพระสาวกขึ้นมา ๕ รูปเป็นพยานในการตรัสรู้ของพระองค์คือพระรัตนตรัยครบแล้ว จนเทวดาส่งข่าวกันสะเทือนเลื่อนลั่นไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ

พระพุทธองค์ทรงใช้พระชนม์ชีพของพระองค์ทรงอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์มาจนกระทั่งวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปต่างมีจิตใจระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ต่างเดินทางมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันต์ที่มาในขณะนั้นเป็นฐานรองรับที่ดี เหมือนแก้วน้ำที่ดีเมื่อนำมาตั้งแล้วก็สามารถรับน้ำได้จนเต็มไปหมด

พระพุทธเจ้าจึงเทน้ำที่ควรเทลงในแก้วน้ำที่ดี พระองค์ทรงให้หลักโอวาทปาติโมกข์ว่า การดำเนินทางชีวิตของเราควรจะมีหลักการ ควรจะมีหลักกรรม ควรจะมีหลักกระทำ ให้ถูกต้อง เรียกว่าวินัยธรรม พระองค์ก็วางโอวาทปาติโมกข์ให้คือ สัพพะหาปัสสะ อะการะณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลสูปสัมปทา การกระทำกุศลให้ถึงพร้อม สจิตตปริโยทปนัง การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๓ ประการนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพราะหลัก ๓ ประการนี้ เป็นหลักวินัยธรรม ซึ่งเมื่อผู้ใดรักษาอยู่ ทำอยู่ ย่อมพ้นมลทินทั้งปวง และขณะที่ยังไม่พ้นนี้ก็เป็น เอตัมมังคลมุตตมัง ....เป็นมงคลชีวิต

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:01:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการชำระจิตของตนเองให้ผ่องแผ้วคือเว้นกั้นจิตโดยอาศัยตัณหาและอวิชชา ก็คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์และความไม่รู้ เพราะเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์และประกอบไปด้วยความไม่รู้ ทำให้ชีวิตนั้นเดินทางปไปอยู่อย่างไม่หยุดไม่หย่อน เดินทางไปเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตาย แล้วเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารซึ่งมีถึง ๓๑ ภูมิ ซึ่งมีถนนอยู่ ๗ สาย

สายที่ ๑ ไปเป็นเปรต สายที่ ๒ ไปลงนรก สายที่ ๓ ทำให้ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน สายที่ ๔ ทำให้เป็นมนุษย์ สายที่ ๕ ทำให้เป็นเทวดา สายที่ ๖ ทำให้เป็นพรหม สายที่ ๗ คือพระนิพพาน

ถนนชีวิต ๗ สายที่สัตว์โลกเดินทางอยู่ ๖ สายนี้ล้วนท่องเที่ยวโคจรอยู่ในแหล่งกำเนิดทั้ง ๔ เกิดในครรภ์มารดา เกิดในฟองไข่ เกิดในของโสโครก และเกิดด้วยอำนาจบุญและบาปเรียกว่าโอปปาติกะ

พระองค์ได้วางหลักการว่า จะพ้นจากสิ่งเหล่านี้คือใน ๓๑ ภูมิ ในถนนชีวิต ๗ สายที่เดินมา และในแหล่งกำเนิดทั้ง ๔ ได้จะต้องไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตตัวเองให้ผ่องแผ้ว และระหว่างการเดินทางนั้นต้องมี ....

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:01:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าขันติเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะว่าเป็นความอดกลั้น ความอดกลั้นนี้แหละเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลสอย่างยิ่ง

เราก็จะเห็นว่าจริง ฉะนั้น ผู้เข้าปฏิบัติจึงต้องมีชีวิตแบบ อย่าอยู่อย่างอยาก เช่น อยากเดิน อยากยืน อยากนอน อย่าอยากสารพัด แต่ทำด้วยการรู้ว่า จำเป็นต้องทำ ซึ่งมันค้านกับชีวิตปกติของเราทุกวันนี้ คือค้านด้วยความอยาก ร้อนเราก็อยากเปิดพัดลม อยากอาบน้ำ อยากกิน อย่างน้ำนี่บางครั้งเราไม่ได้หิวหรอก

ถามว่าน้ำอัดลมแก้กระหายได้ไหม? ไม่ได้ แต่แก้อยาก ...โอเลี้ยง แก้กระหายได้ไหม? ไม่ได้ แก้อยาก .... แต่ทีนี้น้ำของพวกเรามันเป็นน้ำที่เจือไปด้วยกิเลส ก็คือมีผู้กิเลสทำ และมีผู้กิเลสอยาก ผู้ผลิตก็รู้เลยว่ากิเลสมนุษย์นี้มันเป็นอย่างไร กิเลสเจอกิเลสก็ออกมาเป็นน้ำอัดลม กิเลสเจอกิเลสออกมาเป็นซาสี่

จริง ๆ แล้วที่เรากระหายก็คือน้ำ แต่เราไม่ได้ทำแก้กระหายบ่อยนัก เราทำแก้อยากบ่อยเกิน ชีวิตของเราจึงสวนทางกับการดำรงชีวิตที่อย่าอยู่อย่างอยาก เมื่อเราต้องไปปฏิบัติ แล้วห้ามทำในสิ่งที่อยาก ...มันจึงทำยาก มันต้องใช้ขันติอย่างแรง ไม่กินน้ำอัดลม ไม่กินกาแฟเหมือนเวลาช่วงเบรค ช่วงพัก ที่เราเรียนมาจนง่วงจนเหนื่อย นั่งหลังขดหลังแข็งกัน ตาก็ต้องมองสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนประกาน มือก็ต้องเขียน หูก็ต้องฟังก็เกิดความเมื่อยล้า จึงต้องมีพักเบรค เพื่อผ่อนคลายจากการนั่งมานาน ๆ ดูมานาน ๆ นั่งมานาน ๆ

แต่พอเบรคปุ๊บ ก็เอ้า กาแฟ เห็นไหม? ชีวิตของเรามันอยู่อย่างอยาก ฉะนั้น ต้องมีขันติ พอเวลาเข้าห้องปฏิบัติ เรากำลังไปสร้างชีวิตเรา สร้างจิตเรานี้ เราต้องอาศัยขันติความอดกลั้น เพราะความอดกลั้นต่อความอยากเป็นการเผากิเลสคือโลภะอย่างยิ่ง

เมื่อเผากิเลสได้พระองค์จึงแนะนำ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ...ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าพระนิพพานเป็นธรรมอันยิ่ง ธรรมอันยิ่งคือดีที่สุด แต่สำหรับเราอะไรดีที่สุด น้ำอัดลมดีที่สุด หรือเวลาทานอาหาร บางคนก็รสเค็มดีที่สุด บางคนก็รสเผ็ดดีที่สุด ซึ่งเราไม่ค่อยได้นึก

เรารู้แหละว่านิพพานเป็นธรรมที่ดีที่สุด แต่เรารู้เฉพาะตอนที่มีคนบอกให้เรารู้ แต่เราจะรู้และเตือนตนเองว่าพระนิพพานดีที่สุดนั้นมันไม่มี มันมีกิเลสมาให้รู้ว่า นี่ดีที่สุดสำหรับฉัน นั่นก็คือ นานากามน่ะเองที่ดีสุดสุด รูป รส กลิ่น เสียง ในขณะนั้นดีที่สุด

แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ผู้รู้กล่าวว่านิพพานเป็นธรรมที่ดีที่สุด

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:02:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี ท่านก็สอนต่อว่าผู้กำจัดสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้ เบียดเบียดสัตว์อื่นอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ แล้วจะทำอย่างไรเล่า ท่านก็วางหลักในวันเพ็ญมาฆะว่า .. อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

การไม่พูดร้าย การไม่กล่าวร้าย ก็คือหยุด ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ในวจีทุจริตทั้งหลาย การไม่พูดร้าย เรื่องร้าย ๆ ไม่เอาไปพูดแล้วเล่าต่อ จริง ๆ สิ่งนั้นมันร้ายจริง ๆ แต่หยุดที่เราสักคนหนึ่ง เรื่องนั้นแทนที่มันจะเพิ่มปริมาณขึ้นมันก็หยุดที่เรา ถึงแม้ใครจะเห็นว่าไม่ถูกต้อง ใคร ๆ ก็ลงมติว่าไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่ร้าย...เราก็แค่รู้ อย่าเล่า

ซึ่งตอนนี้มันสวนกระแส สื่อมวลชนต่าง หนังสือพิมพ์ ข่าวหน้า ๑ ไปจนถึงหน้าสุดท้ายไม่มีข่าวมงคล มีแต่ข่าวอัปมงคล เช่น ข่าวสมีที่นั่นโผล่ที่นี่โผล่ เป็นต้น ข่าวเดียวนี้มันโกระจายไปตั้งเท่าไร ซึ่งท่านบอกว่าห้ามกล่าวร้าย เพราะใครทำใครได้ เห็นเขาทำบาปนี้แล้วเราอย่าทำตามก็แล้วกัน เพราะเรื่องวุ่นวายจะไม่มีที่สิ้นสุดถ้าไม่หยุดที่ตน

การที่เราเอาเรื่องไม่ดีออกมาพูด นั่นแหละ เราพูดร้ายและเรากำลังทำร้ายผู้อื้นมากขึ้น เขามีบาดแผลเดียวแต่เรากำลังย้ำบาดแผลนั้น ฉะนั้นเลือดมันจึงนองแผ่นดิน กลิ่นคาวมันทั่วโลก ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสั่งห้าม ให้มาทำอะไรเล่า ? ให้มาสำรวม ...

ปาติโมกเข จ สังวโร ในโอวาทปาติโมกข์ ก็คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำความกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้หมดจดจากกิเลส ก็คือมาสำรวมในปาติโมกข์นี้ แล้วการสำรวมแล้วยังต้องอยู่อย่างไร ?

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ เป็นผู้รู้จักประมาณในการโภชนา ทานมากไปหนังท้องตึง หนังตาหย่อน แล้วก็จะไปอิสราเอล แล้ว เลบานอน

ปนฺตญฺจ สยนาสนํ การจะนั่งจะนอนก็ให้นั่งให้นอนเลือกที่สงัด สงัดนี้ไม่ใช่สงัดจากการตื่นนะ ฉันหาที่สงัดจากหมู่คณะ ณ วันนี้เราฟังมากเรื่องไหม? เราฟังมาเยอะแยะ เพีงแต่เปลี่ยนละครคนเล่นเท่านั้นเอง เนื้อเรื่องก็เหมือนเดิมนั่นแหละคือดีกับไม่ดี แต่เปลี่ยนตัวเล่น

บางทีเราดูละครก็เท่านี้ พระเอก นางเอก นางร้าย และก็เปลี่ยนตัว เปลี่ยนสคริบเรื่องก็มีชั่วกับดี เราก็รู้มานานแล้ว จึงบอกให้ปลีกออกมาบ้าง ปลีกออกมาเพื่ออะไร? ปลีกออกมาเพื่อหาที่สงัด ...อธิจิตฺเต จ อาโยโค หมั่นทำให้จิตเราให้รู้ยิ่งขึ้นไป ให้สูงกว่าที่เรารู้อยู่นี้ คือจิตชั่วก็ไม่ดี จิตดีก็เกิด มาทำให้จิตลอยออกจากกรรมเสีย ลอยกรรมชั่วกรรมดีออกไป ให้จิตนั้นเฟื่องฟูออกมาในทางที่ควรดำเนิน

267

กระทู้

80

ตอบกลับ

7346

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
7346
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-7 17:03:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2020-2-7 17:05



ธรรมทั้ง ๖ ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ โอวาทปาติโมกข์คาถา ...เป็นวินัยธรรมที่ผู้ใดเดินแล้ว ปฏิบัติตามแล้ว สันติสุขก็จะเกิดขึ้นกับชีวิต

ฉะนั้นในโอกาสที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันมาฆบูชา จะเวียนมาถึงเราก็มีโอกาสที่จะทำความดี อยู่บ้านก็ได้ เราก็ ทำจิตให้ดี สร้างชีวิตให้ดี เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง แม้วันนี้ยังหาไม่เจอ แต่เราก็ได้ออกก้าวเดินไปแล้ว



ดีที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเกินพระนิพพาน ฉะนั้นวันพรุ่งนี้จึงควรมีดีที่สุดอยู่อย่างเดียว ก็คือว่า เช้าตื่นขึ้นมาถ้าเรามีโอกาสใส่บาตรเราก็ไป ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เราก็เอาชีวิตของเราใส่บาตรพระพุทธเจ้า เข้าห้องพระ สวดโอวาทปาติโมกข์ สำรวมจิต สำรวมกาย สำรวมวาจา ปฏิบัติขัดกลากิเลสเรา เอาชีวิตที่มีขันธ์ ๕ นี้แหละ ใส่บาตรพระพุทธเจ้าเสีย แล้วก็พักผ่อนทำงานที่ควรทำ แล้วเย็นถ้ามีโอกาสก็ไปเวียนเทียนกัน อย่างดีพรุ่งนี้ก็ควรสมาทาน สมาทานความดีเข้ามาสู่ชีวิต

ท้ายที่สุดนี้ก็อยากจะบอกกับทุกท่านว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เกิดขึ้นเลยนอกจากกรรมกับวิบาก หลวงพ่อท่านฝากเตือนมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านบอกคราวที่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง ท่านก็ให้มาระลึกถึงกรรมกับวิบากให้รู้ว่าอะไรเป็นกรรมอะไรเป็นวิบาก

ในโลกแห่งชีวิตไม่มีอะไรนอกจากกรรมกับวิบาก ถ้าเผื่อเรามองกรรมออกมองวิบากออกแล้วสะท้อน เห็นว่ามันเป็นอดีต กรรมในอดีตแล้วเราเลือกทำกรรมใหม่ วิบากที่ได้รับก็มีใหม่ ๆ มา

ท่านฝากบอกว่า ไกลพ่อน่ะไกลได้ ไม่ว่า.... ไม่รักพ่อไม่เป็นไร แต่อย่าไม่รักดี แล้วอย่าไกลจากธรรมะ อย่าคิดว่าอะไรสำคัญ อย่าคิดเที่ยวหาอะไรอีกเลย พยายามดูตัวเองให้ดีที่สุด โดยเฉพาะร่างกายและจิตใจ

อย่าคิดว่ามีอะไรเก่งเกินกรรม อย่าคิดว่ามีคำทำนายทายทักอะไรดีกว่าการ คำทัก ของพระพุทธเจ้าว่า การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ ก็ขอเอาคำหลวงพ่อมาฝากในวันมาฆบูชานี้





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-11-21 15:44 , Processed in 0.102680 second(s), 20 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้