พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา" และผู้ที่เห็นธรรมได้แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่สิ้นความทุกข์ไปในที่สุด
ผู้ที่สิ้นความทุกข์คือผู้ที่ได้ความสุข แต่ตราบใดทุกข์ยังไม่หมด ก็ไม่มีทางสุขได้มีแต่ความสะดวกสบายที่จะใช้ชีวิต เช่น เรานั่งนานๆ ก็เป็นทุกข์ แต่เมื่อเราขยับเขยื้อนแล้วก็สบายขึ้น ท่าที่เราขยับตัวก็ไม่ใช่ท่าที่ให้ความสุข เป็นแต่เพียงท่าที่ทำให้สบายเท่านั้น
แต่เวทนาที่เสวยอารมณ์ของเราเป็นวิปลาสธรรมจึงทำให้คิดผิดไปว่าเป็นสุข
จริงอยู่ที่ความดีและความชั่วเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ความดีความชั่วเมื่อมีปริมาณมากในใจก็จะแสดงออกมาทางกาย และวาจา เรียกว่ากิเลส สิ่งที่แสดงออกมาด้วยกิเลสนั่นเองจึงบ่งชัดว่า บุคคลนั้น ขณะนั้นดีหรือขณะนั้นไม่ดี แล้วก็สรุปเรียกกันว่า คนดีคนชั่วนั่นเอง
เราต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่า เรามักแสดงออกตามความเคยชิน เช่น คำอุทาน หรือเปลี่ยนอิริยาบถในขณะที่เผลอตัว เป็นต้น
ความเคยชินเกิดจากการกระทำซ้ำๆของเราเอง และก็กลายมาเป็นธรรมชาติของชีวิต เราชินกับธรรมชาติชนิดไหน ธรรมชาติชนิดนั้นก็จะมาบงการจิตใจของเรา ให้มีการกระทำที่เรียกว่า ความดีความเลว
ถ้าหากเราศึกษาพระอภิธรรมให้เข้าใจแล้ว เราก็จะสามารถแยกชีวิตได้ถูกถึงประเด็นรากฐานเลย เมื่อเราแยกชีวิตถูก ความทุกข์ที่อยู่มากก็เบาบางลง และงดเว้นจากการกระทำที่ไม่จำเป็น เช่น การเพ้อเจ้อ การนินทา ที่มีเรื่องราวกันทุกวันนี้ก็เกิดจากวาจาเป็นสำคัญ พระพุทธจึงองค์ทรงสอนให้สังวรณ์ระวังและสำรวมอินทรีย์ ให้พูดแต่ในเรื่องที่จำเป็น
เราจะทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท หรือประมาทน้อยที่สุด ก็ขอให้ท่านระวังในเบื้องต้นว่า ให้เราพูดครึ่งเดียวของความคิด ดีกว่าคิดครึ่งเดียวของคำพูด เรามีสิทธิ์คิดได้สารพัดเลยค่ะทั้งในเรื่องดีและไม่ดี คนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี เรื่องนั้นน่าจะเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ เราน่าจะเป็นอย่างนั้น เราคิดได้สารพัด
แต่เวลาที่เราพูด อย่าพูดแบบไม่รู้จักคิด และพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง คือ เพ้อเจ้อไป เพราะไม่มีประโยชน์ทั้งเขาและเรา และอาจเกิดผลไม่ดีจนรู้สึกได้ว่า รู้อย่างนี้ ไม่พูดดีกว่า ที่จริงแล้วควรจะรู้ว่าไม่ควรพูดก่อนที่จะคิด ไม่ใช้พูดแล้วมาคิดทีหลังนะคะ
๏ บุษกร เมธางกูร ๏
|