ขอย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่วงจรของการเวียนว่ายตายเกิดที่มีรากฐานจากกิเลสนั้นส่งผลให้เราเวียนว่ายไปเกิดในภพภูมิต่างๆเมื่อเกิดเป็นชีวิตในภพชาตินั้นแล้วก็ไม่ได้มีความยั่งยืนนิรันดร์กาลแต่ต้องมีความเสื่อมสลายจนสิ้นลงเป็นความตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ตามอำนาจของกรรมที่สั่งสมไว้ด้วยอำนาจจิต เรามาดูภาพช้าๆของการตายซึ่งจะมีลำดับง่ายๆ คือ จะมีมรณาสันนกาลเกิดขึ้นก่อน มรณาสันนกาลคือช่วงเวลาใกล้ตายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จิตใจของผู้ใกล้ตายกำลังจะดับแล้วไปสู่ภพชาติใหม่ในช่วงนี้จะมีอารมณ์ต่าง ๆ ที่สามารถมาปรากฏได้ทางทวารทั้ง 6ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อการไปสู่ภพชาติใหม่ในเบื้องหน้า
มรณาสันนวิถี คือวิถีจิตที่ใกล้ตาย มีกำลังอ่อนมาก และมีชวนจิตเกิดขึ้นเพียง 5 ขณะ และที่ปลายสุดของมรณาสันนวิถีก็จะมีจุติจิตบังเกิดขึ้นซึ่งเป็นจิตดวงสุดท้ายของภพชาตินี้ต่อจากนั้นก็จะมีปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกันในทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น
จุติจิตคือจิตดวงสุดท้ายของภพชาติที่ทำหน้าที่ดับ ปฏิสนธิจิตคือจิตดวงแรกของภพชาติใหม่ทำหน้าที่เกิด ซึ่งจิตทั้งสองดวงเกิดติดต่อกันโดยไม่มีจิตใดมาคั่นกลาง
อารมณ์ใกล้ตายเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะนำไปสู่ภพชาติใหม่อารมณ์ใกล้ตายมาจากอำนาจความวิจิตรของจิต ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดขึ้นในแหล่งกำเนิดทั้ง4 คือ ชลาพุชะ-เกิดในครรภ์ อัณฑชะ-เกิดในไข่ สังเสทชะ-เกิดในที่ชื้นแฉะสกปรกโอปปาติกะ-เกิดแบบผุดขึ้นทันที และในบางคราวเราอาจได้ยินคำว่า “คัพภเสยยกะ” แล้ว “คัพภเสยยกะ”คืออะไรหรือใครกัน
|