ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 170|ตอบกลับ: 5

อำนาจของกรรมกับการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่

[คัดลอกลิงก์]

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-17 19:55


ตายแล้วเกิด.png

อำนาจของกรรมกับการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่


         วันนี้เป็นโอกาสดีของชีวิตอีก1 วันที่ได้มีโอกาสฟังคำอธิบายธรรมะบางประการที่เป็นการสร้างความเห็นถูกต้องได้ประการหนึ่ง
  คือเรื่องของการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่ สิ่งที่ได้รับฟังเป็นคำอธิบายโดยหลักการด้านพระอภิธรรมซึ่งมีความแตกต่างจากคำอธิบายของผู้อื่นที่มีหลักศรัทธาหรือความเชื่อเป็นส่วนตัว

ทั้งนี้ผู้ที่มีความเห็นต่างก็ขอให้อ่านผ่าน ๆเรื่องราวนี้ไปโดยอย่าได้ถือเป็นข้อความตอบโต้แต่สำหรับผู้ที่สนใจใคร่รู้ ก็ขอให้ทำความเข้าใจอย่างไม่เร่งรีบ
เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจอย่างทั่วถึง

   
สำหรับผู้ที่ยังไม่หมดกิเลสก็จะมีพืชเชื้อชั้นดีที่เกิดจากกิเลสของตนไปขับเคลื่อนจิตใจให้เกิดการกระทำกรรมชนิดต่างๆส่งให้เป็นวิบากคือผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วเป็นวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดมา การเกิดขึ้นในภพชาติใหม่ล้วนอาศัยผลของกรรมเก่าๆที่ได้ทำเอาไว้ด้วยตนเอง  กรรมเก่าๆที่ทำเอาไว้และกรรมใหม่ๆ ที่ทำในภพชาตินี้ต่างก็สั่งสมไว้ด้วยอำนาจของจิต  จิตเป็นผู้ดลบันดาลทุกสรรพสิ่งในชีวิตให้แก่เราเองและเรานี่เองที่อบรมบ่มจิตให้มีความชำนาญในสิ่งเหล่านั้นอยู่เรื่อยๆ
            

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-17 19:10:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-17 19:54



ในการศึกษาพระอภิธรรมเรามักจะได้ยินคำว่ามโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยาฯ ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จแล้วด้วยใจฯ ซึ่งเป็นถ้อยคำที่นำมาจากคาถาธรรมบทในพระสูตร และในหลายครั้งในการอธิบายพระอภิธรรมเราก็จะได้พบกับความเป็นใหญ่ของใจหรือจิตในการเรียนเกี่ยวกับเจตสิก

เจตสิกคือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ประกอบกับจิตเพื่อให้มีความเป็นไปต่างๆ  ซึ่งเจตสิกมีถึง 52 แบบหรือดวง และทั้ง 52แบบหรือดวงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดที่จิต  จิตจึงเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นหลักอยู่เสมอด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่มีจิต(หรือใจ)เกิดขึ้น เจตสิกก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นใจ(จิต)จึงเป็นใหญ่กว่าธรรมชาติทั้งปวงนอกจากนี้ในการศึกษาเรื่องของปัจจัยก็จะมีการอธิบายความเป็นของสภาพธรรมต่างๆที่ละเอียดลออยิ่งขึ้นจนน่าอัศจรรย์



293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-17 19:15:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ขอย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่วงจรของการเวียนว่ายตายเกิดที่มีรากฐานจากกิเลสนั้นส่งผลให้เราเวียนว่ายไปเกิดในภพภูมิต่างๆเมื่อเกิดเป็นชีวิตในภพชาตินั้นแล้วก็ไม่ได้มีความยั่งยืนนิรันดร์กาลแต่ต้องมีความเสื่อมสลายจนสิ้นลงเป็นความตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ตามอำนาจของกรรมที่สั่งสมไว้ด้วยอำนาจจิต
เรามาดูภาพช้าๆของการตายซึ่งจะมีลำดับง่ายๆ คือ จะมีมรณาสันนกาลเกิดขึ้นก่อน มรณาสันนกาลคือช่วงเวลาใกล้ตายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จิตใจของผู้ใกล้ตายกำลังจะดับแล้วไปสู่ภพชาติใหม่ในช่วงนี้จะมีอารมณ์ต่าง ๆ ที่สามารถมาปรากฏได้ทางทวารทั้ง 6ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อการไปสู่ภพชาติใหม่ในเบื้องหน้า


มรณาสันนวิถี คือวิถีจิตที่ใกล้ตาย มีกำลังอ่อนมาก และมีชวนจิตเกิดขึ้นเพียง 5 ขณะ และที่ปลายสุดของมรณาสันนวิถีก็จะมีจุติจิตบังเกิดขึ้นซึ่งเป็นจิตดวงสุดท้ายของภพชาตินี้ต่อจากนั้นก็จะมีปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกันในทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น


จุติจิตคือจิตดวงสุดท้ายของภพชาติที่ทำหน้าที่ดับ
ปฏิสนธิจิตคือจิตดวงแรกของภพชาติใหม่ทำหน้าที่เกิด
ซึ่งจิตทั้งสองดวงเกิดติดต่อกันโดยไม่มีจิตใดมาคั่นกลาง



อารมณ์ใกล้ตายเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะนำไปสู่ภพชาติใหม่อารมณ์ใกล้ตายมาจากอำนาจความวิจิตรของจิต ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดขึ้นในแหล่งกำเนิดทั้ง4 คือ ชลาพุชะ-เกิดในครรภ์ อัณฑชะ-เกิดในไข่  สังเสทชะ-เกิดในที่ชื้นแฉะสกปรกโอปปาติกะ-เกิดแบบผุดขึ้นทันที และในบางคราวเราอาจได้ยินคำว่า “คัพภเสยยกะ” แล้ว “คัพภเสยยกะ”คืออะไรหรือใครกัน


293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-17 19:21:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-17 19:25



คัพภเสยยกะ หมายถึงผู้นอนในครรภ์ก็คือการเกิดในครรภ์มารดานั่นเอง  ซึ่งมีอยู่สองแบบ ได้แก่ ชลาพุชะ-เกิดในครรภ์คือเกิดในมดลูก  กับอัณฑชะ-เกิดในไข่ที่ต้องอยู่ในครรภ์มารดาเสียก่อนเมื่อไข่ออกจากครรภ์มารดามาแล้วก็ค่อยออกจากไข่ในภายหลังเรียกว่าเป็นการเกิด 2ครั้ง เมื่อนึกถึงการเกิดแบบทวิชาติคือเกิด 2 ครั้งแบบนี้แล้วก็คิดว่าผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมอย่างเข้าใจดีแล้วคงไม่ปรารถนาเกิดแบบทวิชาติแต่ก็ทำให้นึกถึงบทเพลงวิหคเหิรลมขึ้นมา ...แสนสุขสมนั่งชมวิหคอยากเป็นนกเหลือเกิน.. และก็คิดถึงคำของครูบาอาจารย์ที่บอกว่า “อย่าใฝ่ต่ำ”

หรือในบางคราวเราอาจได้ยินคำว่า“คันธัพพะ” แล้ว “คันธัพพะ” คืออะไร

คันธัพพะหมายถึงสัตว์ที่จะเข้าไปปฏิสนธิในครรภ์นั้นหรือก็คือสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์นั่นเองคำว่าคันธัพพะนี้มีการให้ความหมายไว้หลายอย่างตามความเชื่อบางแห่งระบุวิญญาณที่มาเกิดในครรภ์มารดาบางแห่งระบุว่าคือตัวสเปิร์ม บางแห่งระบุว่าเป็นองค์ประกอบ 3 ประการ คือ มารดาบิดา และปฏิสนธิวิญญาณ

  • การเกิดขึ้นในภพชาติใหม่ตามความเชื่อของผู้คนทั้งหลายมีความแตกต่างกันมากมายบางคนเชื่อว่าตายแล้วสูญหายไปจากโลกนี้บางคนเชื่อว่าตายแล้วยังไม่เกิดทันทีแต่ต้องรอให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งจึงค่อยไปเกิดและบางคนก็เชื่อว่าตายแล้วเกิดทันทีซึ่งใครจะเชื่ออะไรก็ไม่สำคัญเท่าเราเชื่ออะไร จึงไม่มีประโยชน์มากนักที่จะไปถกเถียงหรือคัดค้านด้วยคำพูด  

หากมีใครสักคนมาบอกว่าการเกิดขึ้นในภพชาติใหม่ในครรภ์มารดา คือการที่จุติจิตเกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ดับไปจนกว่าปฏิสนธิจิตจะเกิดขึ้นทั้งหมดแล้วจุติจิตจึงดับโดยจะต้องมีชายกับหญิงมาอยู่ในขณะนั้นเพื่อการรวมกันของอสุจิและไข่ โดยมีครรภ์มารดามาเชื่อมต่อไว้..ฟังแล้วก็อาจจะงงๆ ว่า เหมือนมีจิตมาค้างเติ่งรอจิตอีกดวงหนึ่ง และก็ต้องรอให้อสุจิกับไข่สมเรียบร้อยแล้วค่อยมาเข้าที่เกิด สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรน่างุนงงสงสัยหากทำความเข้าใจไปทีละเรื่อง

โดยเรื่องแรกคือ  จิต คือ ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์มีสภาพการเกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา พระอาจารย์ท่านอธิบายว่า เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นและดับลงไปแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นทันทีดังนั้น จุติจิตจึงไม่ใช่จิตที่ออกจากร่างกายเมื่อตาย และจุติก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมารอปฏิสนธิจิตได้จะต้องดับไปตามสภาพของจิตตักขณะ

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-17 19:42:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด



เรื่องต่อมาคือ ปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์มารดา โดยในทางพระอภิธรรมได้อธิบายไว้ว่า ปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์จะมีได้ก็ด้วยองค์ประกอบ3 ประการ คือ (1) สตรีมีระดูงาม (2) สตรีและบุรุษสมสู่อยู่ร่วมกัน (3)มีสัตว์(ตาย)มาเกิด  ต้องมีทั้ง 3องค์ประกอบนี้เป็นพื้นฐาน

ในเรื่องนี้หลวงพ่อท่านอธิบายว่า
องค์ประกอบทั้ง 3อย่างนั้นนอกจากจะต้องมีเป็นพื้นฐานแล้วยังต้องเป็นการประชุมพร้อมกันในคราวเดียวด้วย
คำว่า สตรีมีระดูงาม  มิได้หมายถึงโลหิตประจำเดือน แต่หมายถึงช่วงที่กำลังมีไข่ตกมีไข่ที่พร้อมรับการผสมจากสเปิร์ม

คำว่า สตรีและบุรุษสมสู่อยู่ร่วมกันหมายถึง มีสเปิร์มเข้าผสมกับไข่ที่สุกพอดี ไข่ที่สุกพอดีคือไข่มีหมุนรอบตัวเองครบ50 รอบปุ๊บสเปิร์มก็เข้ามาผสมทันทีที่ครบรอบครั้งที่ 50 นั้น

คำว่า มีสัตว์(ตาย)มาเกิด หมายถึงในขณะที่สเปิร์มที่เข้าสมกับไข่ที่หมุนครบรอบที่ 50 ก็มีปฏิสนธิจิตมาเกิดขึ้นทันที

น่าอัศจรรย์ใจมากกับคำว่าไข่หมุนครบ 50 รอบโดยไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้และต้องมีสเปิร์มเข้ามาผสมพร้อมกับมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นพร้อมกันด้วย ช่างเป็นสถานการณ์ที่จำเพาะเจาะจงมากๆ  นึกถึงคำว่าโอกาสเกิดเป็นมนุษย์นั้นเท่ากับโอกาสของเต่าตาบอดที่ลอยอยู่กลางทะเลร้อยปีจึงจะขึ้นมาหายใจสักครั้งแล้วก็สอดหัวเข้าไปในห่วงของชาวประมงพอดีซึ่งการเกิดขึ้นของเด็กหลอดแก้วก็มีหลักการไม่ต่างกันนี้




293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-17 19:46:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-17 21:13


นอกจากนี้ยังทำให้เข้าใจในอำนาจของกรรมยิ่งขึ้นว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีคำว่า มีลูกง่ายหรือมีลูกยากเพราะไข่ที่หมุนไม่ครบ 50รอบก็เหมือนไข่ที่ยังไม่สุกเพียงพอที่จะเป็นเนื้อหาให้เพาะปลูกได้การสมสู่อยู่ร่วมกันระหว่างสตรีและบุรุษนั้นมีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ใช่ว่าจะมีความสมบูรณ์พอดีขององค์ประกอบนอกจากนี้อำนาจกรรมของสัตว์ที่จะมาเกิดก็ไม่สอดคล้องกับมารดาบิดาคู่นั้นแม้กระทั่งการผสมเทียมในหลอดแก้วที่สามารถคัดเลือกความสมบูรณ์ของไข่และสเปิร์มได้แต่การควบคุมจังหวะและโอกาสที่สัตว์ตายแล้วมาเกิดนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก

ดังนั้นการศึกษาพระอภิธรรมก็เป็นไปเพื่อทำความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งองค์ประกอบของธรรมชาติที่ไม่มีความเป็นตันตนคนสัตว์ ได้เห็นถึงคำว่า “อนัตตา”(ไม่ได้อยู่ในการบังคับบัญชาของใคร) ต้องอาศัยเหตุปัจจัยที่พร้อมเท่านั้น  พระอภิธรรมอาจเป็นบทธรรมที่เข้าใจยากแต่เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชีวิตของผู้ศึกษา

การถ่ายทอดออกมาครั้งนี้ขอกราบเป็นเครื่องบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลวงพ่อเสือ ตลอดจนครูบาอาจารย์
ที่แจกแจงความรู้ให้ข้าพเจ้าด้วยความเคารพสักการะยิ่ง




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2025-7-1 10:51 , Processed in 0.099578 second(s), 23 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้