ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 87|ตอบกลับ: 4

เพิ่งจะเข้าใจ

[คัดลอกลิงก์]

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-20 10:51


buddha_908344-2334.jpg



บางเรื่องที่คิดว่า เข้าใจแล้ว และเข้าใจดี
แต่พอย้อนกลับมาคิดอีกทีกลายเป็นเรื่องที่เพิ่งจะเข้าใจ
และที่น่าตกใจกว่าการตระหนักรู้ว่าเพิ่งจะรู้
ก็คือความตระหนกที่ว่าได้พลาดพลั้งในเรื่องนั้นไปแล้วมากต่อมาก
โดยเฉพาะในเรื่องพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ที่ดี นั่นก็คือศีล



293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-20 10:33:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-20 10:48



p054.gif

ถ้าพูดถึงคำว่า “ศีล” เชื่อว่า ทุกคนมีคำตอบในใจว่าศีลคืออะไร? แม้จะไม่สามารถตอบได้อย่างครบถ้วนครอบคลุมทุกเนื้อหาแต่ก็พอจะตอบได้ประมาณว่า ศีลคือความ

ปกติ   ศีลคือข้อห้ามข้องดเว้น   ศีลคือความไม่เบียดเบียน ศีลคือข้อปฏิบัติที่เป็นปกติที่ทางกายและวาจาให้ผลเป็นความดีงาม

สำหรับผู้ที่ศึกษาด้านปริยัติมาพอสมควรก็อาจตอบได้หลากหลายยิ่งขึ้นว่าศีลมีหลายระดับ มีศีล 5 สำหรับบุคคลทั่วไป มีศีล 8 หรืออุโบสถศีลสำหรับคฤหัสถ์มีศีล 10 สำหรับสามเณร และมีศีล 227 ศีลสำหรับพระภิกษุ

ส่วนผู้ที่ศึกษาพระปริยัติในขั้นสูงขึ้นไปก็จะทราบว่าศีลคือความประพฤติที่บริสุทธิ์มี 4 ประการ ได้แก่

ปาฏิโมกขสังวรศีล(ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ทำตามข้ออนุญาตประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย)

อินทรียสังวรศีล(ศีลคือความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง6 อาชีวปาริสุทธิศีล (ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่ประกอบอเนสนา มีหลอกลวงเขาเลี้ยงชีพเป็นต้น)

ปัจจัยสันนิสิตศีล(ศีลที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 ได้แก่ ปัจจัยปัจจเวกขณ์ คือ พิจารณาใช้สอยปัจจัยสี่ให้เป็นไปตามความหมายและประโยชน์ของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา)

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-20 10:36:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-20 10:49

p054.gif


สำหรับผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเช่นพวกเราๆก็อาจคิดว่า ทุกวันนี้เรามีศีล 5 ประจำอยู่กับตัวก็น่าจะเพียงพอแล้วและอาจคิดว่าเราสามารถรักษาศีลได้เป็นปกติอยู่เสมอและก็มีความสุขอยู่บนความภูมิใจนี้

ไม่นานมานี้ได้มีโอกาสรับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของศีลและความประมาทในการใช้ชีวิต
อะไรจะน่าตกใจเท่าเราคิดว่าเรามีศีลเป็นปกติแต่ที่จริงแล้วเราละเมิดศีลอยู่ตลอดเวลา ด้วยความยึดถือในอัตตาคือความเป็นตัวตนของเราเอง

พระอาจารย์ท่านอธิบายว่า ในการดำเนินชีวิตตามปกติเรามี“อัตตา” อยู่ตลอดเวลา  เมื่อมีตัวเราก็มีของของเราติดตามมา เมื่อมีของของเราแล้วก็ขาดความยั้งยั้งชั่งใจใช้ชีวิตแบบกระทำโดยพลการอยู่ตลอดเวลา คำว่า “พลการ” คือการกระทำตามอำเภอใจโดยถืออำนาจตัวเองเป็นใหญ่ ดังนั้นการกระทำตามอำเภอใจจังหวัดจิตที่เกิดจากอัตตานี้จึงเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นมิใช่ศีลโดยปกติ แล้วเราก็ดำเนินชีวิตแบบไม่ปกติแบบนั้นอยู่เสมอมาลองพิจารณากันว่า จริงหรือไม่? สมมุติว่า ถ้าเราอยู่ในครอบครัวหรือที่พักอาศัยที่มีมากกว่า1 คน เราภาคภูมิใจว่า สามารถรักษาศีลข้อ 2 ได้เป็นปกติ คือ การงดเว้นจากการลักทรัพย์หรือการไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ หรือขโมย แต่มีคำถามเพื่อการสำรวจเบื้องต้นสัก2 ข้อ คือ

1. ใครจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เราใช้น้ำใช้ไฟโดยที่คนจ่ายเงินเขาอนุญาตหรือยังโทรศัพท์มือถือที่เราเสียบชาร์จไฟอยู่เราได้ขออนุญาตหรือยังว่าจะใช้ไฟฟ้าเล่านี้

2. อาหารหรือน้ำดื่มที่อยู่ในตู้เย็นใครเป็นคนซื้อ? เราหยิบมากินมาดื่มโดยขออนุญาตเจ้าของเขาหรือยัง

ถ้าคำตอบคือ ไม่ได้บอกกล่าวเพื่อขอใช้หรือขอกินนั่นก็คือ โดยพลการ ซึ่งโดยพลการคือชีวิตแบบไม่ปกติ  ชีวิตแบบไม่ปกติคือ ผิดศีล

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-20 10:40:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-20 10:49

p054.gif


มีคำบาลีที่กล่าวถึงคุณของศีลว่า สีเลนะ สุคะติงยันติ = ศีลเป็นเหตุให้ถึงสุคติ

                                     สีเลนะโภคะสัมปะทา = ศีลเป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์
                                     สีเลนะนิพพุติง ยันติ = ศีลเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน
                                     ตัสมาสีลัง วิโสทะเย = เพราะเหตุนั้น พึงชำระศีลให้หมดจด


ดังนั้นเพียงแค่จะไปให้ถึงสุคติก็ยังยากมากแล้วสำหรับนิสัยพลการที่ยังมีอยู่ติดตัวยังไม่ต้องคิดไปไกลถึงพระนิพพาน

พระอาจารย์ท่านจึงย้ำว่าเพศของฆราวาสจึงเป็นอันตราย ยากจะถึงซึ่งความบริสุทธิ์ แม้จะมีจะเรียนรู้แล้วว่าศีลคืออะไรแต่อัตตาที่เป็นพื้นฐานฝังรากอยู่ในชีวิตจิตใจนั้นต้องการเครื่องมือที่มีคุณภาพมากกว่าพิธีกรรมของการอาราธนาศีลแต่ชีวิตของนักบวชหรือพระภิกษุนั้นเป็นเพศที่สามารถถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้ง่ายกว่าเพราะประกอบไปด้วยข้อจำนวนมากเพื่อชำระความหมักหมมของชีวิต

293

กระทู้

126

ตอบกลับ

8504

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8504
 เจ้าของ| โพสต์ 2025-6-20 10:44:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-6-20 10:50

p054.gif



วิถีหนึ่งที่พระภิกษุพึงทำทุกย่ำรุ่ง คือ
การบิณฑบาต

บิณฑบาตร หมายถึงการที่ภิกษุสามเณรออกไปเดินถือบาตรรับอาหารจากผู้คนในตอนเช้าแม้จะไม่ได้ออกปากร้องขอ แต่กิริยาอาการนั้นคือการขอโดยสงบ สิ่งที่ได้รับในบาตรคือข้าวของที่มีผู้เจาะจงให้โดยตรงได้มาด้วยความสุจริตจากอาการขอโดยสงบ เมื่อถึงเวลากระทำภัตตกิจก็จะมีการพิจารณาก่อนเพื่อมิให้เกิดความเพลิดเพลินแต่เพื่อให้อัตภาพร่างกายเป็นไปด้วยความสะดวกซึ่งบางคราวเราอาจเคยได้ยินคำเปรียบเปรยชีวิตของพระภิกษุว่ามีค่าเพียงบาตรเดียว

พระอาจารย์ท่านให้คำแนะนำว่าเมื่อต้องอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น และเพื่อมิให้ผู้ที่อยู่ร่วมต้องล่วงละเมิดศีลข้อ2 โดยไม่จำเป็นหรือโดยความไม่รู้ ก็ควรจะสัญญาณแก่กันว่า อนุญาตให้ใช้หรือรับประทาน ในสิ่งของที่เราได้นำมาวางไว้ในที่นั้นๆ ซึ่งคำสอนนี้ดูเหมือนจะเล็กน้อยแต่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียวเพราะเป็นคำอธิบายที่นำสู่สุคติภูมิได้ในฐานะของศีล....กราบขอบพระคุณคำอธิบายและคำแนะนำด้วยความเคารพยิ่ง.





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2025-7-1 11:14 , Processed in 0.096908 second(s), 23 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้