ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 30|ตอบกลับ: 4

อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเงาเสือพิทักษ์ (3)

[คัดลอกลิงก์]

297

กระทู้

140

ตอบกลับ

8773

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8773
โพสต์ เมื่อวานซืน 16:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน


กราบ 2.png




เมื่อความหลากหลายของมนุษย์ได้มาแสดงความแตกต่างระหว่างที่อยู่ร่วมกันในบ้านเสือพิทักษ์มั่นใจได้เลยว่า ภาระหนักจะต้องแบกอยู่บนบ่าของผู้ดูแลหรือครูผู้สอนอย่างแน่นอน และก็เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้เข้ามาศึกษาธรรมหรือปฏิบัติธรรมบางท่าน จะมีพื้นฐานความเข้าใจว่า“ตนเองดีกว่าผู้อื่น” อาจจะคิดว่าดีกว่าคนอื่นมากหรือดีกว่าอยู่หน่อยหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับบุคคลที่นำตนเองไปเปรียบเทียบ แล้วความรู้สึกที่คิดว่า “ดีกว่า” นี้ ก็เป็นเหมือนกำลังใจอย่างหนึ่งที่ผลักดันให้พยายามมาศึกษาหรือปฏิบัติธรรมเพื่อให้ตนเองดีขึ้น

การเปรียบเทียบว่าดีกว่าหรือต่ำกว่ามาจากความมีมานะซึ่งเป็นกิเลสที่เกี่ยวข้องกับการสำคัญตนหรือถือตน มีความละเอียดละได้ยากยิ่งทั้งยังเป็นเครื่องร้อยรัดให้ยึดติดในความเป็นตัวตนให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยไป และนอกจากความถือตนโดยประการต่าง ๆ แล้วแต่ละคนก็ยังแบกเสบียงบาปส่วนตัวมาประชันขันแข่งกันอยู่ตลอดเวลา

การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากจึงต้องมีการจัดระเบียบเพื่อความเรียบร้อย
สำหรับพระสงฆ์ก็คือพระวินัย
สำหรับประชาชนทั่วไปก็คือกฎหมาย
สำหรับกลุ่มหรือสมาคมต่าง ๆก็จะมีข้อบังคับข้อห้ามตามแต่ละกำหนดไว้อย่างชัดเจน


และสำหรับกลุ่มผู้มาศึกษาหรือปฏิบัติธรรมนอกจากเบญจศีลเบญจธรรมขั้นพื้นฐานแล้วจะต้องอาศัยมโนธรรมมาเป็นหลักสำคัญในการตัดสินใจที่จะกระทำเรื่องต่างๆ พูดโดยรวมมโนธรรมก็คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำมโนธรรมจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจหลักพระธรรมตลอดจนการเจริญสติปัญญาและการเจริญพรหมวิหารธรรม

ด้วยเหตุนี้ การอบรมและดูแลบุคคลที่มีความถือตน(มานะ)อยู่แล้วให้มีความรู้ความเข้าใจหลักธรรม  เพื่อสร้างมโนธรรมและเดินเข้าสู่เส้นทางประพฤติปฏิบัติอันประเสริฐที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์จึงเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการฝึกคนให้เป็นคนดีและนอกจากจะประพฤติตนดีแล้วยังต้องมีสติปัญญาอีกด้วย


297

กระทู้

140

ตอบกลับ

8773

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8773
 เจ้าของ| โพสต์ เมื่อวานซืน 16:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด



หลวงพ่อเสือท่านบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ฝังปลูกลงในจิตใจลูกๆแต่ละคน  ด้วยการสร้างความเข้าใจถูกอย่างง่ายๆ ให้ลูกๆ จดจำกันได้ขึ้นใจเสียก่อนโดยท่านจะปรับปรุงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้มีระเบียบวินัยในแบบที่ทำได้ง่าย ๆไม่เดือนร้อนผู้อื่น แต่จะเดือดร้อนกิเลสของแต่ละคนเป็นอย่างมาก เช่นการให้การบ้านไปคัดลอกถ้อยคำบางคำหรือบางสำนวนเพื่อให้ผู้คัดลอกได้เตือนใจตัวเองแบบย้ำๆและเกิดความทรงจำที่หนักแน่นจากการเขียนด้วยลายมือตนเอง เช่น เมื่อใครพูดจาไม่ดีส่อไปในทางเพศท่านจะให้ไปคัดลายมือ 50 หรือ 100 หรือ 500 จบ ด้วยคำว่า “พูดดีมีมงคลพูดจาสัปดนมงคลไม่มี” หรือเมื่อใครที่กำลังโกรธผู้อื่นเป็นฟืนเป็นไฟไม่สามารถสงบใจได้ท่านก็จะให้ไปคัดคำว่า “ไม่มีใครพูดให้เราโกรธ แต่เราโกรธเอง”



จากตัวอย่างที่นำมาเล่านี้ถ้าหากพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าไม่ใช่ถ้อยคำที่ใช้เบรคอารมณ์ของลูกศิษย์ ให้ถอนตัวคืนสู่กุศลในระยะอันรวมเร็วได้เท่านั้นยังเป็นข้อคิดถ้อยภาษาที่มีหลักธรรมมารองรับอย่างถูกต้องไม่ได้เป็นเพียงถ้อยโวหารที่สร้างความคล้องจองเท่านั้น อย่างเช่น “ไม่มีใครพูดให้เราโกรธแต่เราโกรธเอง” หากเป็นนักศึกษาพระอภิธรรมแล้วอย่างน้อยๆ ก็จะรู้ถึงคำว่า โยนิโสมนสิการ อสังขาริก  สสังขาริก โทสเจตสิก และอาฆาตวัตถุ 10ประการ และเมื่อเข้าถึงคำเหล่านี้การหยุดยั้งความโกรธ ก็จะมีคุณภาพมากขึ้นกว่าการหยุดยั้งเพราะการนำสำนวนนั้นมาบริกรรมเพื่อข่มใจหรือหยุดยั้งเพราะเกรงใจหลวงพ่อท่าน



297

กระทู้

140

ตอบกลับ

8773

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8773
 เจ้าของ| โพสต์ เมื่อวานซืน 16:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด


คุยกันมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอแวะไปที่คำว่าอาฆาตวัตถุสักหน่อยหนึ่งอย่างที่เล่าไว้ข้างต้นว่าผู้มาศึกษาหรือฝึกปฏิบัติธรรมบางคน จะถือตนว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความดีอย่างใดอย่างหนึ่งเหนือผู้อื่นและมีตนเองเป็นศูนย์กลางในการตรวจจับสิ่งรอบตัวมาเปรียบเทียบกับตน ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ตนเองมีอยู่ถ้ามีมโนธรรมมากก็จะตัดสินเป็นกุศลได้มากในเรื่องของตนเอง รวมทั้งในเรื่องของผู้อื่นที่บังเอิญไปรับรู้


บางคราวเราก็ไม่ชอบใครบางคนทั้งที่เราไม่รู้จักหรือไม่เคยคบหาเพราะเรานำพฤติกรรมของเขามาเปรียบเทียบกับหลักตัดสินที่อยู่ในใจเรา แล้วเราก็ยึดถือเข้าไปร่วมกับพฤติการณ์นั้นด้วย เสมือนเราเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรง  แต่สำหรับบางคนแม้จะทราบเรื่องราวนั้นและตัดสินได้ว่าเขากระทำสิ่งไม่ดีแต่ก็ไม่ได้ไปเพ่งโทษด้วยจิตอันเป็นอกุศลโดยพิจารณาได้ถึงบริบทของกาลสมัยแห่งความวิบัติและตั้งเป้าหมายที่จะกระทำกรรมที่นำไปสู่ผลที่เป็นสุข


บางคราวเราก็รู้สึกขัดใจกับใครบางคนที่เขากำลังพูดจาอยู่กับคนอื่นก็จริงแต่เราฟังแล้วเราก็รู้สึกไม่ดีกับคำพูดเหล่านั้นเพราะเขากำลังพูดอยู่กับคนที่เรารู้จัก และเรารู้สึกดีกับคนนั้น...ความมีตนเป็นใหญ่ของเราจึงกรูเข้ามาบงการจิตของเราให้เกิดอาฆาตวัตถุชนิดหนึ่งคือความไม่พอใจกับบุคคลที่กำลังพูด หรือแสดงอาการที่ไม่น่าสบอารมณ์กับบุคคลที่เรารักชอบหรือรู้สึกดีหรือรู้สึกเป็นมิตรรวมทั้งเกิดความเพ่งโทษตำหนิติเตียนการกระทำของผู้พูดว่ากำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ...


เมื่อต้องมาพบกับอารมณ์ภายนอกแต่จิตของเรามีมานกิเลสที่เป็นพืชเชื้อจึงส่งต่อกระบวนการคิดให้กลายเป็นกรรมที่ส่งผลให้ชีวิตขาดทุนทั้งที่เป็นเรื่องของคนอื่นแต่เกิดจิตโกรธที่เราหลายแสนหลายล้านวิถีนอกจากความโกรธแล้วก็ยังอาจมีการลบหลู่คุณธรรมหรือบุญคุณของคนอื่นอีกด้วย



297

กระทู้

140

ตอบกลับ

8773

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8773
 เจ้าของ| โพสต์ เมื่อวานซืน 16:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด


เมื่อเราเห็นใครสักคน ถูกตำหนิ หรือโดนดุจึงไม่ควรด่วนตัดสินเฉพาะภาพที่พบเห็น เพราะเราไม่รู้เลยว่าภายใต้การแสดงออกเช่นนั้นมีแรงจูงใจมาจากสิ่งใดมีกระบวนการทำงานของจิตประภทใดประกอบไปด้วยความปรารถนาดีประการหนึ่งประการใดหรือไม่  และการที่เราไปตัดสินว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ ก็หมายถึงเราได้พิพากษาผู้กระทำพฤติกรรมเช่นนั้นไปแล้วว่า“ทำสิ่งที่ผิด”  จึงต้องย้อนกลับมาตระหนักให้ได้ว่า เรามีวิจารณญาณดีกว่าผู้กระทำมากน้อยเพียงไร  และการที่เราสรุปพฤติกรรมนั้นว่า “ดุหรือตำหนิ”นั้นสมควรแล้วหรือไม่ เพราะเราไปมองว่า

คนดุ.....เป็นคนผิดเป็นผู้กระทำ
คนถูกดุ ...เป็นเหยื่อเป็นผู้ถูกกระทำ
คนดุ..กลายเป็นอาชญากรทางอารมณ์
คนถูกดุ...กลายเป็นผู้ควรได้รับการเยียวยา

คำว่า “โดนดุ โดนตำหนิ”เป็นคำที่ผู้อาวุโสน้อยกว่าชอบใช้กับผู้ที่อาวุโสมากกว่าในกรณีที่มีการอบรมหรือสอนแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังโดนลงโทษด้วยวาจาแล้วก็อาจกลายเป็นความไม่พอใจในตัวผู้พูดตามมา

คำว่า “โดนดุ โดนตำหนิ”  เป็นคำที่ผู้ฟังใช้ผิดไปจากวัตถุประสงค์ของผู้พูดและก็ใช้ผิดกันมาตลอดเพราะผู้พูดได้พูดเพื่อประสงค์จะให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องราวนั้นๆไม่ได้ประสงค์ให้เกิดความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจว่ากำลังถูกลงโทษ



297

กระทู้

140

ตอบกลับ

8773

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
8773
 เจ้าของ| โพสต์ เมื่อวานซืน 16:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พี่ดอกแก้ว เมื่อ 2025-7-5 19:30



ในการอบรมหรือสอนหรือชี้แจงประเด็นอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ฟังก็ต้องหันกลับมามองที่ตัวเอง คือการตั้งใจพิจารณาว่าสิ่งที่ได้รับฟังนั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ผู้ฟังได้กระทำผิดไปจากแนวทางหรือเปลี่ยนแปลงไปจากข้อมูลเดิมที่เคยพูดไว้ (โกหก)หรือพลาดพลั้งกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจหรือขาดความละเอียดรอบคอบ (ประมาท) หรือกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่กาลเทศะ


หากรับฟังแล้วเกิดความรู้สึกตัวว่า “เราทำผิด”  ก็ต้องมีความรู้สึกตัวว่า เราพลาดหรือรู้สึกตัวว่าเราขาดความรอบคอบอีกแล้ว นี่คือการมองมาที่ตัวเอง เป็นการมองได้ถึงความพลาดที่ตัวเองทำให้ตนจะสามารถแก้ไขได้ ปรับตัวเองได้ (ถ้าอยากเป็นคนดี)


แต่ถ้ารู้สึกว่า “โดนดุ” นั่นคือมองไปที่คนอื่นว่าเขาว่าเรา เขาทำกับเราเอาอีกแล้ว ตรงนี้ละ มันเป็นความคิดว่า “เราไม่ผิด” ในขณะนั้นก็เป็นการเพ่งมองไปที่ผู้พูดจิตไม่พอใจก็เกิดขึ้น การมองอย่างนี้ก็คือ การไม่ยอมรับในความผิดพลาดตนเองเลย  ผู้ที่มีนิสัยแบบนี้จะช่วยแก้ไขนิสัยได้ยากมากเหมือนวลีที่ปรากฏในนิทานเซน คือ “ชาล้นถ้วย”


ในการอยู่ร่วมกันจำเป็นที่จะต้องมีการอธิบายหรือการสอนจากผู้ใหญ่ไปสู่ผู้น้อยจากครูไปสู่ศิษย์ ซึ่งอาจมีคำพูดที่สร้างความกระทบกระเทือนใจ(กิเลส)ของผู้ฟังอยู่บ้างหลวงพ่อท่านจึงให้เราท่องกันเสมอว่า “ไม่มีใครพูดให้เราโกรธ แต่เราโกรธเอง” และ“คิดแก้ไข ใจให้มีกุศล มองตนให้มาก เรื่องยุ่งยากจะหมดไป”เพื่อให้เรากลับมาทบทวนที่ตนเองมากกว่าการเพ่งโทษคนอื่นรวมทั้งละคลายความถือตนลงบ้างในบางขณะเพื่อที่จะเติมหลักธรรมเข้าไปสู่ชีวิต.



หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะเป็นข้อคิด
ให้เกิดการมองใหม่ และเริ่มต้นใหม่ที่ดีแก่ชีวิตได้นะคะ







ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2025-7-7 15:10 , Processed in 0.071722 second(s), 23 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้