ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 75|ตอบกลับ: 3

อยู่อย่างปลอดภัยในร่มเสือพิทักษ์ (5)

[คัดลอกลิงก์]

303

กระทู้

166

ตอบกลับ

9215

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
9215
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน

กราบ 2.png




“ใครทำ ใครได้ ใครพบ ใครพ้น”อีกคำสอนหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาตนเองที่หลวงพ่อเสือท่านมอบไว้ให้แก่ลูกศิษย์การศึกษาและปฏิบัติธรรมในศาลาเสือพิทักษ์ เป็นการสอนให้มองไปที่ตนเอง เพื่อให้ทะลุปรุโปร่งในสภาพที่แท้จริงของชีวิตซึ่งมีอยู่เหมือนกันทั้งหมดในสิ่งมีชีวิตหรือปุถุชนที่มีขันธ์ 5 ได้แก่รูปขันธ์คือรูปธรรม เวทนาขันธ์คือเจตสิก สัญญาขันธ์คือเจตสิก สังขารขันธ์คือเจตสิกและวิญญาณขันธ์คือจิต  เมื่อสรุปแล้วก็จะมี3 ประเภทใหญ่คือจิต เจตสิก และรูป ซึ่งสังขารขันธ์ที่เป็นเจตสิกธรรมนั้นมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเสมือนสีที่เติมลงไปในน้ำเปล่า(จิต) ให้มีความแตกต่างกันในระดับความเข้มข้นของสี

ใครทำ ใครได้ ....ท่านอบรมลูกศิษย์เพื่อปรุงใจให้ฝักใฝ่ในการทำกุศลต่าง ๆ เท่าที่จะสามารถโดยไม่ไปเปรียบเทียบหรือตำหนิผู้อื่นที่ยังไม่ได้กระทำ รวมทั้งให้รู้จักระมัดระวังในการกระทำบาปชั่วเพราะในที่สุดแล้ว ผู้รับก็คือ เราเองที่เป็นผู้กระทำไม่ว่าจะไปเกิดในภพชาติใดวิบากแห่งกรรมก็ติดตามไปให้ผลแบบไม่ผิดตัวจนกว่าผลกรรมจะหมดแรงท่านจึงมีคำขยายในวงจรของวัฏฏะส่วนนี้ว่า ใครทำใครได้ ทำมากได้มากทั้งดีและชั่ว

ใครพบ ใครพ้น ....เป็นคำสอนที่นำพาออกจากวงจรความเคยชินอย่างใดอย่างหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาของเราเมื่อศึกษาธรรมแล้วมีความเข้าใจถูกตรงก็จัดว่าได้พบกับสุตมยปัญญารวมทั้งการนำไปพิจารณาไตร่ตรองเป็นระดดับของจินตามยปัญญาก็เท่ากับพ้นไปจากความโง่หรือความหลงผิดในระดับพื้นฐานและเมื่อพัฒนาขึ้นไปในระดับของภาวนามยปัญญาเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติที่ถูกต้องก็เท่ากับพ้นจากทางแห่งความเสื่อมโดยเมื่อพัฒนาสูงยิ่งขึ้นไปในระดับของวิปัสสนาปัญญาที่สามารถกำจัดกิเลสได้อย่างงสิ้นเชิงก็จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ในที่สุด

303

กระทู้

166

ตอบกลับ

9215

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
9215
 เจ้าของ| โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด





ทุกการกระทำจึงส่งผลต่อผู้กระทำไม่มีใครทำอะไรแทนกันได้ ทางเลือกในการใช้ชีวิตเป็นสิทธิของแต่ละคนเมื่อเดินมาพบกับความสว่างก็เท่ากับพ้นจากความมืดเมื่อเดินออกไปจากความสว่างก็จะต้องพบกับความมืดเป็นเรื่องธรรมดา พูดถึงเรื่องของความมืดหรือสว่างแล้วก็นึกถึงสิ่งที่ท่านสอนเกี่ยวกับประเภทของบุคคลเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจลูกศิษย์ว่าในพระสูตรนั้นมีการกล่าวถึงว่า บุคคลในโลกนี้มี 4 จำพวก คือ (1) ผู้มืดมาแล้วก็มืดไป(2) ผู้มืดมาแล้ว ก็สว่างไป (3) ผู้สว่างมาแล้ว ก็มืดไป (4) ผู้สว่างมาแล้วก็สว่างไป โดยท่านยกตัวอย่างให้เขาใจง่ายว่า

ผู้ที่เกิดมายากจนขัดสนลำบากแล้วยังประพฤติทุจริตชั่วเนรคุณ ตายไปก็เข้าสู่อบายภูมิ
เป็นผู้มืดมา มืดไป

ผู้ที่เกิดมายากจนขัดสนลำบาก ประพฤติตนสุจริตมีการบำเพ็ญทานศีลภาวนาตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เป็นผู้มืดมา สว่างไป

ผู้ที่เกิดมาในตระกูลดี  แต่มีประพฤติทุจริตชั่วเนรคุณ  ตายไปก็เข้าสู่อบายภูมิ
เป็นผู้สว่างมา มืดไป

ผู้ที่เกิดมาในตระกูลดี  ประพฤติตนสุจริตมีการบำเพ็ญทานศีลภาวนาตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  
เป็นผู้สว่างมา สว่างไป


ด้วยเหตุนี้ ฐานะชาติตระกูลดี หรืออาชีพดีไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้เป็นคนดีเพราะเมื่อใดก็แล้วแต่ที่ชีวิตพ้นไปจากปัญญาคือแสงสว่างก็สามารถเดินทางผิดไปสู่ความมืดได้ จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะสามารถประการกิเลสซึ่งมีสภาพธรรมที่แท้จริงคือเจตสิกในสังกัดตระกูลโลภะ ตระกูลโทสะ และตระกูลโมหะซึ่งเป็นอกุศลเจตสิกนั่นเอง

303

กระทู้

166

ตอบกลับ

9215

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
9215
 เจ้าของ| โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด



IMG_4726.JPG

ผู้ที่เคยมาพักอาศัยในร่มเงาของศาลาเสือพิทักษ์มีจำนวนหลายชีวิตที่แยกตัวไปแล้วกระทำสิ่งที่เจริญบางชีวิตกระทำความเสื่อมให้เกิดบาดแผลใหญ่บางชีวิตก็ทำสลับกันไปทั้งเจริญและเสื่อม ..จึงมีผู้ตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเมื่อเขาเหล่านั้นได้มาศึกษาธรรมะจนเข้าใจดีแล้วจึงได้ย้อนกลับไปทำอกุศลหรือความเสื่อมเหล่านั้นให้เกิดขึ้นอีก แทนที่จะพัฒาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น

คำตอบที่จะมอบแก่ทุกท่านก็คือ “ธรรมะไม่ใช่วัคซีนกันพิษสุนัขบ้าหรือวัคซีนป้องกันโรค”อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกว่า การเรียบจน ท่องจบ จดจบ แม้กระทั่งอัด(เสียง)จบก็ไม่ช่วยให้เกิดผลดีอะไรถ้าไม่นำไปปฏิบัติให้จบ เราก็ควรรู้กันดีอยู่แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้รวมถึงชีวิตจิตใจของเราต่างก็ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ดีก็ไม่เที่ยง ชั่วก็ไม่เที่ยง จึงอย่าไปจำหนิใครเขา “ให้ดูดีเก็บไปใช้ดูชั่วเก็บมาละ”

และก็เป็นธรรมดาที่สภาพแวดล้อมของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยมาเรียนธรรมะมารับการอบรมจิตใจ เมื่อมีอาชีพการงานธุระเข้ามามากเข้าก็เหมือนค่อยๆ เดินเข้าสู่ความมืดมนของโมหะระคนด้วยโลภะและโทสะตามอารมณ์ที่มากระทบและก็เท่ากับการห่างหายไปจากการอบรมจิตใจด้วยพระธรรมที่เป็นแสงสว่างของชีวิตการอยู่ห่างไกลกัลยาณมิตรเช่นครูหรือบัณฑิตผู้รู้ จึงง่ายต่อการเดินสู่ทางต่ำที่เป็นความเคยชินชำนาญของชีวิตแต่เก่าก่อน

และแม้กระทั่งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดบัณฑิตผู้รู้แล้วแต่ไม่นำพาการพัฒนาตนเองก็ไม่ต่างจากทัพพีในหม้อแกงหรือได้เคยพัฒนาตนเองมาบ้างแล้วแต่ไม่อาจต้านทานกำลังแรงแห่งกิเลสได้ก็เหมือนกับรากแก้วมาพบหิน ปิดกั้นความเจริญเติบโตไม่ให้มีความก้าวหน้า  บางครั้งก็ส่งผลให้เกิดการแห้งตายได้เหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติดีปฏิบัติงามมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็เกิดดีแตกทำชีวิตให้ขมขื่นมากมาย เช่น มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความอยากได้ใคร่ดีช่างเม้าท์ตำหนิติติงนินทาผู้อื่น การมีโทสะจนยากที่ระงับ ความก้าวร้าว และประพฤติทุจริตต่างๆ ...เหล่านี้ล้วนแสดงถึงความเป็นไตรลักษณ์ซึ่งเป็นปกติธรรมดา หลวงพ่อท่านบอกว่า อะไรที่ไม่ได้ใช้มันก็เสื่อม  



ความดีที่เคยมีเมื่อไม่ได้เพียรกระทำด้วยความต่อเนื่อง วินัยในการทำความดีนั้นก็เสื่อมคลายไปเมื่อความดีคลายจากไปก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดความชั่วขึ้นมาได้  หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปกำจัดสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ให้ตั้งใจและมีความความเพียรที่จะกระทำบางสิ่งให้มากยิ่งขึ้นเหมือนฝึกม้าแข่ง ถ้าอยากให้ตัวไหนแข่งชนะก็นำตัวนั้นมาฝึกแล้วปล่อยอีกตัวหนึ่งไว้ในคอก โดยไม่จำเป็นต้องฆ่าทิ้ง  เมื่อเรามาพบแสงสว่างและต้องการให้ชีวิตสว่างไปเราก็ต้องมีความเพียรกระทำความดีให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อให้สว่างไปถึงสัมปรายภพ  เราต้องเพียรฝึกม้าอย่างมุ่งมั่นก็จะพบชัยชนะในที่สุด



303

กระทู้

166

ตอบกลับ

9215

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

เครดิต
9215
 เจ้าของ| โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด




ดังนั้นอดีตของแต่ละคนมีความมืดความสว่างมาไม่เท่ากัน จึงมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน แม้จะได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นเดียวกันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต่างกันก็ตามไม่เว้นแม้กระทั่งฝาแฝด จึงเป็นธรรมดาที่จะเห็นความพลาดถลำตกต่ำได้มากกว่าความสำเร็จแต่จะเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยหากเราพากเพียรจากจุดตกต่ำให้ขึ้นไปอยู่จุดแห่งความสำเร็จได้อีกครั้ง




ณ อิสิปตนมฤคทายวัน คืนเพ็ญเดือนแปดพระจันทร์เสวยอาสาฬหฤกษ์  ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 นั่งประนมหัตถ์ ณเบื้องหน้าองค์พระชินสีห์ สดับพระธรรมเทศนาอันมีเนื้อหาที่ปฏิเสธทางสุดโต่งสองสายและคำแนะนำเข้าสู่ทางสายกลางเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4  ในบัดดลนั้น บัวดอกแรกแห่งพระพุทธสาวกก็ได้พบแสงสว่างเบ่งบานณ ลานป่ากวาง พ้นจากความมืดมนไปตลอดกาล  พระโกณทัญญะเกิดธัมมจักษุและขอบรรพชาในพระศาสนา..พระรัตนตรัยจึงครบองค์สามในวันดังกล่าว  ส่วนปัญจวัคคีย์อีก๔ ท่านที่เหลือ คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิได้บรรลุธรรมในลำดับถัดมาในวันแรก 1 ค่ำ  2ค่ำ  3 ค่ำ และ 4 ค่ำ ตามลำดับนาม







ในโอกาสวันอาสาฬหบูชา จึงขอน้อมนำกุศลธรรมทั้งปวงทางกายวาจา และใจที่ได้ประกอบด้วยดีแล้ว พร้อมทั้งมโนภาพแห่งการเดินทางไปนมัสการสังเวชนีย์สถานณ ธัมเมกขสถูป อิสิปตนมฤคทายวัน กราบถวายสักการะพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า.







ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ข้อความล้วน|อุปกรณ์พกพา|ประวัติการแบน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2025-7-15 15:21 , Processed in 0.105283 second(s), 23 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.9

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้