มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ - เว็บบอร์ด

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
ดู: 1762|ตอบกลับ: 0

เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องเมืองสวรรค์

[คัดลอกลิงก์]

91

กระทู้

100

โพสต์

2414

เครดิต

ผู้ดูแลระบบ

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เครดิต
2414
เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องเมืองสวรรค์

บอกเล่าโดยเทพวิชิต ธรรมรังษี





..เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผู้เขียนไม่ได้แต่งสรรค์ หรือเติมข้อความใดๆลงไปเลย ขอยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ท่านเทพวิชิต ธรรมรังษี ได้พูดออกมาเองทั้งหมด ผ่านร่างทรงคือ ศศิธร เมธางกูร ต่อหน้าประจักพยานนับพันคน จะจริงแท้ประการใด หวังว่าท่านคงไม่คิดว่า เทวดาชั้นดุสิตจะมาปั้นเรื่องโกหกท่านหรอกนะ


เทพวิชิต : สวัสดีครับ ท่านพ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ผมมีความยินดีเป็นอย่างมากครับ ที่มีเกียรติมาพูดที่ห้องประชุมชั้น 2 มีความลำบากใจมาก เพราะว่าองค์ปาฐกที่จะต้องมานั่งบนเค้าเตอร์นี้ ล้วนมีความแตกฉานชำนาญในการพูด ทั้งวิชาการและความรอบรู้ต่าง ๆ ฉะนั้นผม เทวดาผู้น้อย ได้เล่าเรียนมายังไม่เพียงพอ ได้ถูกเชิญให้ขึ้นมาพูดบนนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ทั้งในความจริงผมก็ได้คลุกคลีคุ้นเคยกับท่านอยู่เสมอ อาจแทบพูดได้ว่าแทบจะทุกวันก็ได้


อาจารย์บุญมี เมธางกูร ได้ตั้งชื่อเรื่องว่า นรก สวรรค์ อยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่ จะพิสูจน์ได้อย่างไร ผมผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใน ณ ที่นั่นคือสวรรค์ จึงจะมาขอพูดเรื่องสวรรค์ให้ฟัง เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะเวลามีไม่มาก ก็ขอเกริ่นข่าวเล่าความว่า ก่อนที่เราจะฟังเรื่องนรกสวรรค์นั้น เราจะต้องรู้ว่า ความสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่ฝัง อยู่ภายใต้จิตใจของท่าน ผู้ที่เป็นมนุษย์ทั้งหลายและเป็นผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายของผมด้วย ไม่มีอะไรเกินไปกว่าไม่มีปัญญา ในปัญหาของเรื่องชีวิต และเมื่อเราไม่มีปัญญาแล้ว ต่างคนต่างก็นึกคิดเอาง่ายๆว่า ตายแล้วไม่เกิด เกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว


เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ก็ก่อกรรม ทำพฤติกรรมออกไปทางกาย วาจา และใจได้โดยง่าย แต่ด้วยการไม่รู้เหตุไม่รู้ผล ไม่รู้จักตน และไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักกาล ไม่รู้จักชุมชน และไม่รู้จักเลือกคบคน สิ่งเหล่านี้จึงนำชีวิตของท่านให้ตกอยู่ภายใต้ความประมาทพลาดถลำอยู่ตลอดเวลา กระผมในฐานะเป็นตัวแทนมาจากชั้นดุสิต มีความยินดีมากที่จะพูดเรื่องสวรรค์ให้ท่านฟัง


ในเรื่องสวรรค์มีทั้งหมด ชั้นที่ 1 คือ ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นที่ 2 คือ ตาวตึงสา 3 ยามา 4 ดุสิตา 5 นิมมานรดี 6 ปรนิมมิตวสวัตตี 7 รูปพรหม อรูปพรหม ทั้งนี้ท่านก็ไม่สามารถมองเห็นได้ จะเล่าให้ฟัง เพราะผมเองก็เคยเกิดชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่1 ในพื้นของสวรรค์ชั้นที่1 นั้นมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากมายนัก ก็เปรียบเสมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ กับคนที่อยู่ในชนบท ความมีฐานะที่แตกต่างกัน ยากจน แล้วความเป็นอยู่อัตคัตกว่าเรา เราเปรียบได้อย่างนั้น แต่ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทวดานั้นก็คือ กายหยาบกับกายละเอียด


ในชั้นจาตุมหาราชิกานั้น มีความน่าสมเพชมาก(ชั้นล่างสุด) ฉะนั้น ท่านจะเป็นเทวดาก็ต้องไปให้ดี ไปให้พ้นชั้นจาตุต่ำๆ เพราะว่าที่นั่นมีการทำนา เดี๋ยวฟังนะครับอย่าเพิ่งตกใจ มีการทำนา มีการเกี่ยวพืชไร่ มีขอทาน มีสารพัด เพราะอะไรครับ เพราะเทวดาในชั้นนั้นเกิดด้วยกุศลอันมีกำลังอ่อน และเหมือนมนุษย์ที่มาเกิดเป็นลูกขอทาน ยาจก เพราะว่าอดีตชาติให้ทานไว้น้อย จึงเกิดมาไม่สมบูรณ์ใน เงินทอง ข้าวของต่างๆ เช่นเดียวกันกับเทวดา เพราะการเกิดเป็นเทวดานี่ง่ายมาก


เช่นเราตายจากมนุษย์นี้ นึกคิดไปในเรื่องดี เช่นเห็นพระเห็นอะไร อย่างที่เขาเห็นกัน จิตจับอารมณ์ดีแล้ว อันนั้นก็เป็นสตินำเกิดเป็นเทวดา แต่ด้วยกำลังกุศลที่มีกำลังที่ผลักดัน ได้รับผลของกุศลมิได้มากมาย จึงเสวยทิพย์สมบัติ เกิดเป็นเทวาชั้นจตุมหาราชิกา ฉะนั้น ในชั้นจาตุมหาราชิกาไม่มีแตกต่างกับมนุษย์มากเท่าใดนัก ต่างกันก็คือมองไม่เห็นแล้วเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาเกลื่อนมากคือ มิจฉาทิฎฐิ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาส่วนมาก 90% ตายจากเทวดาก็เกิดในอบายภูมมิหรือตกนรกทันที


เพราะอะไร เพราะว่าเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย ในมนุษย์นี้ ท่านเป็นมนุษย์ก็มองไม่เห็นสวรรค์ ท่านจึงไม่เชื่อ ใช่ไหมครับ ไม่เห็นเทวดาลอยบนฟ้า ให้ท่านเห็น ท่าจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง ฟังเขาเล่ามันเป็นเพียงนิทาน ฉันใดก็ฉันนั้น


.....................................................................................


ภาพเทพวิชิต ธรรมรังษี ปิดตาเขียนรูปผ่านร่างทรงคือ ศศิธร เมธางกูร




เทพวิชิต : เทวดาที่เกิดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจการเห็นระหว่างกันเท่านั้นเอง ไม่เคยสอดส่องทะลุทะลวง ก็ต้องมีการทำมาหากิน ทำนา ทำไร่ ชีวิตมีการกระทำทุกอย่าง ต้องดิ้นรนแก้ไข เสวยกามสุขเหมือนกับมนุษย์ ได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จึงไม่ได้มีโอกาสและด้วยความเป็นมิจฉาทิฏฐิ


จึงไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมองลงมาว่าที่ต่ำกว่าเรานั้นยังมีมนุษย์ เขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงชีวิตที่อยู่คลุกคลีกันในหมู่เดียวกัน เหมือนโลกของเขาเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มี มนุษย์ก็ไม่มี เขามิได้เห็นหรือได้ยิน นอกจากผู้ที่เข้ามาฝึกฝนอบรมและพวกเขาก็ไม่เรียกตัวเองว่าเทวดา เหมือนท่านทำไมรู้จักว่าเป็นคน เด็กเกิดใหม่ๆไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคน


พอพ่อแม่บอกว่า เราเป็นคนดีนะ คำว่าคนก็ฝังเข้าไปในใจ อันนี้ก็เหมือนกัน พวกเทวดา คือมนุษย์เรียกว่าเป็นเทวดา แต่พวกเทวดาเขาเองก็ใช้ความรู้สึกทางใจเห็นสิ่งนั้น เห็นลักษณะนี้ลักษณะนั้น โต้ตอบกันจึงได้เห็นว่าต่ำกว่าเขาก็มี สูงกว่าเขาก็มี เขาจึงไม่เชื้อชาติหน้าเหมือนกัน ทั้งนี้นอกจากบางท่านซึ่งมีส่วนน้อย อย่างที่อาจารย์บุญมีบอกว่า เทวดาก็ไม่เชื่อชาติหน้า


นี่แหละครับมันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ฝังแน่นแล้ว เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้มีการดำเนินชีวิต ดิ้นรน แก้ไข แย่งชิงกัน รบราฆ่าฟันกันตายเพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่ว่าเทวดาชั้นใดก็แล้วแต่ เกิดแล้วต้องตายเหมือนกัน เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเมื่อตายแล้ว อำนาจกรรมที่ตัวเองสร้างไว้ ด้วยมิจฉาทิฏฐิประกอบกับมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เช่นเดียวกัน จึงนำไปปฏิสนธิในอบายภูมิเป็นส่วนมาก


ในเรื่องของชั้นจาตุมหาราชิกายังซอยไปอีก 7 ชั้น ฐานะความแตกต่างกัน ก็เหมือนกับว่า คนธรรมดาพอมีพอกิน ร่ำรวยขึ้นมานิด แหม...เป็นเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี และเจ้าของเงินทั้งหมด ก็เหมือนกันทั้ง 7 ชั้น อำนาจบุญต่างๆ กัน อำนาจนี้จะช่วยอะไรในเทวดา อำนาจนั้นก็คือ ช่วยให้เกิดการเนรมิตรได้ (จาตุชั้นสูง) การเนรมิตร เช่นอยากได้น้ำกินก็เนรมิตร


แต่น้ำนั้นไม่ได้มาตั้ง อยากกินน้ำ ความรู้สึกน้ำนั้นก็อิ่ม นี่คือชั้นผม แต่เทวดาชั้นจาตุถ้าเผื่อเนรมิตรข้าว ข้าวจะเกิดขึ้น (รูปปรมาณู) แล้วต้องกิน ก็อิ่มเลย เนรมิตรน้ำน้ำก็มา เนรมิตรเสื้อ เสื้อต้องเอามาใส่เองอีกทีหนึ่ง นี่คือเทวดาชั้นจาตุ ซึ่งมีลำดับชั้น 7 ชั้น ผู้ที่อยู่ชั้น7 ก็คือผู้ที่อยู่กึ่งกลางที่จะขึ้นดาวดึงส์ ชั้นนี้จะมีผลมากขึ้น อำนาจรังสีก็จะแผ่ไปได้มากขึ้น


เมื่อกระเถิบขึ้นไปดาวดึงส์ถิ่นที่ผมเคยอยู่เหมือนกัน สวรรค์ทุกชั้นไม่มีชั้นใดเลยที่จะวิจิตรบรรจงสวยงามเท่ากับชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เคยฟังแล้ว ดาวดึงส์เทวโลก มโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญหฤหรร นี่แหละครับ จาตุมหาราชิกา ตาวตึงสา ยามา ดุสิตา นิมานนรตี ปรนิมมิตวสวัตตี พรหม อรูปพรหม


สวรรค์นี้ไม่มีชั้นไหนงามเท่าชั้นดาวดึงส์ ทุกสิ่งทุกอย่างเพรียบพร้อมไปหมด ความสวย ความวิจิตรบรรจง เมื่อใครไปเจอ คนแก่มากอายุ 80 ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงสา สวยเช้งหล่อพริ้งเลย ความกระชุ่มกระชวยมากที่สุด แล้วก็มีรัศมีของใบหน้าเอย แสงก็จะสวยมาก และมีความอิ่มทิพย์อยู่เสมอ ผิดกับชั้นจาตุ ชั้นจาตุเนรมิตรข้าว ข้าวก็มาตั้งกิน ชั้นดาวดึงส์ถ้าอยากกินข้าว อยากกินเผ็ดๆ


พอนึกปุ๊บ อยากกินแกงเผ็ดก็รสโอชะนั้นอันนั้น ก็อิ่มทันที ไม่ต้องมานั่งกิน อยากกินน้ำ ความรู้สึกน้ำนั้นก็อิ่มทันที ไม่เหมือนกับเทวดาชั้นจาตุ ความสวยทุกอย่างอยู่ในชั้นนี้ ไม่ว่าเทวดาชั้นสูงกว่า อยากจะมาเที่ยวความสวย ถ้าจะต้องลงมาชั้นนี้ เพราะว่านางฟ้าสุดสวย สุดเซ็กซี่ สวยสดสุดเซกซี่ ต้องเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์


แล้วเทพบุตรชั้นนี้ก็จะอิ่มด้วยความรู้สึกดีงาม ถามถึงบริวารเดี๋ยวจะตอบ มีคำถามมาแล้ว เล่าให้ฟังก่อน


..................................................................................


ตอนชั้นยามา


เทพวิชิต : พอกระเถิบขึ้นไปอีกชั้นคือ ชั้นสาม ชั้นยามา ชั้นนี้น่าสงสาร ชั้นยามาเป็นชั้นที่เกิดได้ด้วยอำนาจของสมาธิและมีอำนาจผ่านมาชั้นนี้ ความสงบหรือคนที่ฝึกสมาธิมาก ๆ จึงสงบอยู่ในอารมณ์ อารมณ์เดียวนั่งอยู่ได้ ๗ วัน ๗ คืน คนนั่งก็ตาย คนยืนก็ตาย คนเดินก็ตาย


จะนั่งเก่งอย่างไรก็ตายแน่ ๆ หลวงพ่อท่านบอก เพราะฉะนั้นเมื่อเขาหมดกรรม หมดอายุขัยจากอายุมีโอกาสที่จะปฏิสนธิเป็นเทวดาชั้นยามา ท่านรู้ไหมครับว่าเทวดาชั้นนี้น่าสงสารเหมือนกัน เพราะว่าเขาจะไม่มีโอกาส มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะรู้ว่าเขาได้เกิดใหม่ เพราะว่า เช่นสมมติว่าผมนั่งเป็นมนุษย์อยู่ มนุษย์นี้เก่งสมาธิมาก นั่ง ๓ วัน ๓ คืนไม่ตื่น ทำฌานสมาบัติได้


ใครเอาไฟลนก็ไม่รู้สึก เท่านี้แหละกรรมมันหมด กรรมมันหมดก็ตาย หมดอายุขัยก็ตาย พอเกิดตายขึ้นมาพอตายปุ๊บก็เกิดทันที เกิดบนสวรรค์ชั้นยามาเลยนั่งต่อไม่ได้มีอะไรเลย เป็นเทวดาที่นั่งต่อ จิตมันจับอารมณ์นั้นแล้ว ใช่ไหมครับ จากมนุษย์ปุ๊บมาอยู่ชั้นยามาก็นั่งต่อ เทวดาก็หมดอายุขัยเมื่อตายไปเกิดเป็นคน ที่นี้มานั่งต่อไม่ได้


มันค่อย ๆ เจริญเติบโต จึงยังไม่รู้ว่าตัวเองมีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ขึ้นอีก ลงอีก หรือไม่ทีนี้เกิดโทสะขึ้นมา ความเกิดก็ไม่เที่ยง ตายปุ๊บตกนรกเลยคราวนี้ นี่คือเทวดาชั้นยามา บางคนอย่างพวกฤาษีชีไพร ส่วนมากเทวดาชั้นยามา คนไทยเห็นจะมีน้อย โดยมากเป็นพวกซิกส์


ชาวฮินดูจะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามามาก พวกอินเดียนับถือศาสนาซิกส์และเป็นฮินดูเขาเก่งสมาธิ บางคนไปเป็นเทวดาแล้ว นอนอยู่ในโลงไม่เคยเห็นสวรรค์ เพราะฝึกสมาธิในโลง สวรรค์เป็นอย่างไรก็เนรมิตรโลง จับอารมณ์อยู่ในโลง ทั้งตัวเองเป็นมนุษย์ นอนอยู่ในโลง ใช่ไหม


ทรมานกายหนวดยาวเหยียด นอนอยู่จนตายเผาแล้วก็ไม่รู้ ก็เอาลอยแม่น้ำคงคาก็ไม่รู้ พอเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาก็มีโลงอยู่ก็ไปนอนอย่างนั้นอีก แล้วบางคนชอบห้อยหัว หกคะเมนตีลังกา ทรมานตน นี่พวกตึงเกินไป มีที่อินเดีย เนปาล เยอะแยะเลย เอาหัวฝังลงไปในดินหายใจกับอากาศที่มีช่องอากาศเล็ก ๆ เมื่อตายไปเป็นเทวดาหัวปักลงอย่างนี้ ติดอยู่ในอารมณ์ตามที่ตนเจตนา


แล้วทีนี้เทวดาก็ต้องมีประชุมเหมือนกัน ต้องมีผู้ตีระฆังประชุม แล้วถ้าเผื่อเทวดาได้ยินเสียงระฆังแก้วนี้ไม่มาก็จะปวดแก้วหูแทบจะแตกทนอยู่ไม่ได้ จะมากันทุกชั้น จะมาประชุมกันที่ธรรมสภา คือลงมาที่ชั้นดาวดึงส์ พวกยามาก็มา น่าสมเพชตรงนี้พวกที่อยู่ในโลง จิตมันต้องรับรู้ แต่ไม่ได้ดำเนินไป มันก็ไปทั้งโลง พอไปถึงก็ตั้งอยู่ในธรรมสภา โลงก็ตั้งอยู่


พวกหัวทิ่มก็เอาหัวลงมา คืออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะประชุมเสร็จ ไม่รู้ ไม่ชี้ ขอให้มาหายปวดหูก็แล้วกัน พวกยกแขนเดิน มันก็เดินอย่างนี้ (ทำท่าประกอบ) แล้วพวกผมมองดูก็เห็น เจ้าประคู๊น.... ขออย่าให้เกิดเป็นเทวดาชั้นยามาเลย หัวก็ตก นอนก็อยู่ในท่าเดียว จิตจะเป็นสมาธิก็จะอยู่ในท่าที่เขาทำอยู่จนมีความชำนาญ


..............................................................................


ดุสิตา เทวาสวรรค์


เทพวิชิต : ต่อไปนี้ผมขอเสนอเทวดาชั้นดุสิต ผมเพิ่งขึ้นไปหมาด ๆ ชั้นนี้นะครับ เทวดาทั้งหลายชั้นจาตุ ผู้หญิงผู้ชายมากพอ ๆกัน ผู้หญิงก็มาก ผู้ชายก็มาก เด็กก็มาก คนแก่ก็มาก นี่ชั้นจาตุ พอชั้นดาวดึงส์คนกลางคนมาก คนแก่ไม่ค่อยมี เด็กไม่ค่อยมี พอชั้นยามาคราวนี้แหละอายุมาก


เพราะว่าคนจะนั่งสมาธินาน จิตก็จับอารมณ์อันนั้น สำหรับดุสิต ไม่มีแก่ แล้วไม่มีผู้หญิง เกิดชั้นดุสิตจะไม่เป็นหญิงอีกแล้ว ก็จะเป็นเทพ (เทพบุตร) ทั้งหมด ผู้หญิงและเทวดา เทวดาชั้นอื่นถ้ามีโอกาสเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต จะเป็นผู้ชายหมด


แล้วก็น่าประทับใจ เพราะอะไรครับ เพราะผมเกิดขึ้นชั้นนี้ใหม่ ๆ เวิ้งว้างวังเวงโดดเดี่ยว หดหู่ห่อเหี่ยว หาเพื่อนไม่เจอ เพราะว่าเทวดาที่จะเกิดในชั้นดุสิตนี้น้อยมาก สวรรค์ชั้นนี้ใหญ่กว้างมาก แต่มองไม่เห็นกัน เพราะว่าคนที่จะปฏิสนธินี่ก็ต้องมีปัญญา มีอำนาจของการกระทำดีมาก


กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต เป็นคนประพฤติอยู่ในเบญจศีล เบญจธรรม มีหิริโอตตัปปะ มีปัญญาเป็นตัวนำ เกิดที่ชั้นดุสิตน้อยมากครับ ความรู้สึกอันนี้ ที่ผมเกิดครั้งแรกขอให้ท่านลองนึกดู ท่านลองนึกย้อนไปว่า ท่านไม่เคยไปวัดเลย หรือว่าท่านไปวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร


มีความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ และมีความกลัว ทำให้เราไม่กล้าทำอะไรลอกแลก ลักษณะอารมณ์จะเกิดขึ้นอย่างนั้น แต่ไม่มีพระให้ดู อารมณ์เกิดไปในที่เร้นลับ ที่มันมีความมหัศจรรย์ มีความน่าเกรงขาม ทำให้เรานั้นไม่ลุกลี้ลุกลน ผมจึงต้องมาเข้ามนุษย์ ลุกลี้ลุกลนอยู่


เพราะมันเงียบเหลือเกิน และเทวดาชั้นดุสิตนี้ส่วนมากหาคนไทยน้อยเช่นกัน จะเป็นพวกอินเดียลังกา เป็นพวกพม่าที่มาจากอดีต เพราะอะไรครับ เพราะเขาเล่าเรียนศึกษาพระอภิธรรมมาเยอะ อำนาจก็เกิดเพราะเขาก็สั่งสมปัญญากันมามากจากในอดีต


ชั้นดุสิตมีถึง ๑๑ ชั้นผมเพิ่งจะไปอยู่ชั้นที่ ๑ หลวงพ่อเสืออยู่ชั้นที่ ๑๑ ถ้าผมได้ขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วผมจะเล่าอีก ชั้นสูงกว่านี้นะครับ ผมยังไม่รู้ ผมเล่าเรื่องสวรรค์ไปหลายชั้นแล้ว ต้องให้ผมตายแล้วเกิดค่อยมาเพิ่มเติม ถ้าได้เกิดชั้นที่สูงขึ้น


ตอนนี้ได้แค่นี้ ถ้ามากกว่านี้ถามอาจารย์บุญมี เมธางกูร ท่านก็ได้


................................................................................

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ประวัติการแบน|อุปกรณ์พกพา|ข้อความล้วน|อภิธรรมออนไลน์

GMT+7, 2024-5-5 08:59 , Processed in 0.095570 second(s), 19 queries .

Powered by Discuz! X3.4, Rev.75

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้